น้ำตาลาไทร...
ท้องทุ่งนามีนบุรีสีทองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตาของฤดูเก็บเกี่ยว แสงแดดอ่อนๆที่ค่อยๆหรี่รังสีเมื่อยามใกล้พลบค่ำนั้นเป็นสัญญาณแห่งการใกล้สิ้นสุดวันของชาวนาชาวบ้าน ณ ท้องทุ่งมีนบุรีแห่งนี้เพื่อเตรียมการเก็บคราดไถและไล่ควายกลับเข้าบ้านของตนหลังจากที่ทั้งคนและควายทำงานกันมาตลอดทั้งวัน
ทิดอ่ำ ชายหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งแห่งท้องทุ่งมีนบุรีเองก็เช่นกัน เขากำลังเก็บคราดไถเตรียมเดินทางกลับบ้าน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ได้บารมีของสมภารวัดมีนบุรีช่วยชุบเลี้ยงให้ข้าวก้นบาตรประทังชีวิต บ้านของทิดอ่ำนั้นเป็นกระท่อมเล็กๆอยู่ที่ปลายที่นาของเขาอันเป็นสมบัติเพียงไม่กี่อย่างที่โจรเหล่านั้นไม่ได้เอาไปจากครอบครัวของเขา และด้วยเพราะที่นาผืนนี้ เขาจึงพอได้มีที่ทำกินประทังชีวิตอย่างพอมีพอกินไม่ต้องไปขายตัวเป็นลูกจ้างใคร
“กลับบ้านกันเถิดจ้ะ พี่อ่ำ” เสียงใสๆจากนางเรียม เพื่อนเล่นในวัยเด็กดังขึ้น และที่นาของครอบครัวของนางนั้นก็อยู่ติดกับที่นาของทิดอ่ำ
“ข้ากำลังจะกลับแล้วล่ะ นางเรียม” ชายหนุ่มตอบ พลางแบกคันไถขึ้นบ่าอย่างทะมัดทะแมง
ทั้งสองคนพากันจูงควายลัดเลาะไปบนคันนา ที่ขอบฟ้ายามนี้ดวงตะวันกำลังค่อยๆไล่ระดับลับลงพร้อมกับที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเมื่อยามใกล้พลบค่ำ ดวงบุหลันค่อยๆส่องแสงพร้อมกับเสียงกลองดังตุ้มตั้มเป็นสัญญาณจากวัดมีนบุรีว่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะพากันทำวัตรเย็นส่งเสียงกังวานไกลเป็นท่วงทำนองแห่งพระพุทธศาสนา
“คืนนี้ พี่จะพาข้าไปเที่ยวงานมหรสพวัดกูบแดงไหมจ๊ะ ข้าอยากไปจัง” นางเรียมกล่าวขึ้นระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ
“ข้า ... เอ่อ ข้าขอคิดดูก่อนได้ไหม”
“พี่อ่ำก็เป็นแบบนี้ตลอด งานวัดบางกะปิ คราวที่แล้วพี่ก็บอกข้าอย่างนี้ แล้วก็ปล่อยข้าเป็นสายบัวแต่งตัวเก้อคอยอยู่ที่บ้าน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเง้างอนอยู่ในที
“ข้าเหนื่อยน่ะ ทำนามาทั้งวัน เจ้าก็เห็น ”ทิดอ่ำกล่าว และเบือนหน้าหนี
“ข้าก็เคยบอกพี่แล้ว ว่าให้หาคนมาช่วย ...แล้วข้าก็...”
“เอ็งอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกเชียวนะ เอ็งเป็นผู้หญิง พูดจาเหมือนแม่แปรกเช่นนั้นไม่งามเลย”
นางเรียมถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าหม่นๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ฉันถามพี่จริงๆเถอะนะ ว่าพี่มีหญิงงามนางใดอยู่ในใจหรือเปล่า”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเรียมเอ่ยถามทิดอ่ำเช่นนี้ ทุกๆครั้งที่ชายหนุ่มพูดจาในทำนองปฏิเสธความสัมพันธ์ที่หญิงสาวมีให้ นางก็มักจะถามเขาเสมอด้วยคำถามนี้ แต่เขาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด
“ไม่มีหรอก นางเรียมเอ๊ย”
“พี่ไม่เคยมองหน้าข้าสักทีเวลาตอบคำถามนี้แก่ข้า หากพี่ตอบข้ามาตามตรง ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เทียวไล้เทียวขื่อพี่เช่นนี้อีก”
ทิดอ่ำมองหน้านางเรียมอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพยักหน้ายอมรับข้อสงสัยที่นางเรียมเพียรถามมาตลอดตามจริง
“ถ้าเจ้าสัญญาเช่นนั้น ข้าก็ขอยอมรับ ว่าข้านึกชอบพออยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง สำหรับเจ้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ข้าคิดกับเจ้าเพียงพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเรียมรับคำด้วยสีหน้าหดหู่ ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น พี่ชายพอจะบอกน้องสาวคนนี้สักหน่อยได้ไหมจ๊ะ ว่านางเป็นใคร อยู่บางไหนกัน”
“ข้าก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนบางไหน ข้ารู้แต่เพียงว่านางชื่อราตรีเท่านั้น”
.
.
ตกพลบค่ำ เมื่อควันไฟท้ายหมู่บ้านที่จุดไล่ยุงค่อยๆจางหายไปตามฤทธิ์ของพระเพลิงที่สิ้นลง ตะเกียงเจ้าพายุตามบ้านแต่ละหลังก็ค่อยๆดับลงทีละดวงเป็นสัญญาณของการพักผ่อนของชาวบ้าน หากแต่มีดวงไฟจากตะเกียงดวงหนึ่งที่ค่อยๆขยับเคลื่อนที่ช้าๆตามการเคลื่นไหวของทิดอ่ำที่ถือตะเกียงเจ้าพายุดังกล่าว เขาค่อยๆเดินลัดเลาะไปยังท้ายหมู่บ้านบริเวณไม่ไกลจากที่นาของเขา ก่อนจะส่งเสียงเรียกกึ่งดังกึ่งเบาพอให้คนที่อาจจะรอเขาอยู่บริเวณนั้นได้ยิน
“แม่ราตรี พี่มาแล้ว เจ้าอยู่หรือไม่จ้ะ”
“ข้าอยู่นี่จ้ะ พี่อ่ำ” เสียงนั้นดังออกมาจากอีกฟากของต้นไทรใหญ่ขนาดสี่คนโอบ แสงไฟจากตะเกียงของนางนั้นขับผิวนวลของนางให้ยิ่งนวลเด่นประชันกับแสงนวลเหลืองคืนเดือนเพ็ญคืนนี้
ทิดอ่ำเดินตรงไปหานางด้วยรอยยิ้มระคนเสียงถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
“เจ้าทำให้พี่เป็นห่วงเสียจริงๆ เมื่อไหร่กันนะที่เราจะได้พบกันตอนไก่ขันบ้าง”
“ก็ข้าชื่อราตรีนี่จ๊ะ” นางพูดกลั้วหัวเราะ
“นามนั้นหาได้เกี่ยวกับเรื่องที่พี่วิงวอนเจ้าเลย ... อีกอย่างหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่แม่ราตรีว่าพี่นั้นทนทรมานสักเพียงไหนที่ต้องอดรนทนเก็บความคิดถึงเจ้าไว้นับตั้งแต่ตะวันขึ้นถึงตะวันพลบ และได้เจอหน้าเจ้าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น” ชายหนุ่มพรอดคำหวานพร้อมกับค่อยๆตระกองกอดนางราตรีให้นั่งลงที่รากต้นไทร
“เพียงเท่านี้ พี่ก็เรียกว่าทุกข์ทรมานแล้วหรือจ๊ะ ... พี่คงไม่รู้หรอก ว่าความทุกข์ทรมานที่แท้จริงเป็นเช่นไร” นางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าๆก่อนจะเบนหน้าหนีจากชายหนุ่ม
“เจ้าพูดราวกับเจ้าเคยผ่านทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงมาก่อน” ชายหนุ่มเชยคางของหญิงสาวขึ้นถาม
“คงไม่ผิดจากที่พี่อ่ำคาดเดานักหรอกจ้ะ”
“พี่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ และแม้ว่าพี่จะมิใช่คนร่ำรวยอย่างเศรษฐีบางไหน แต่พี่สัญญาว่าพี่จะรักและดูแลเจ้าให้มีความสุขตลอดไป” เขากอดแม่ราตรีแน่นขึ้น จนรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวเบาๆจากคนในอ้อมกอด
“ขอบคุณพี่มากจ๊ะ” นางตอบพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาคลอเสียงสะอื้น
“เจ้าจะร้องไห้ทำไม แม่ราตรีของพี่” ทิดอ่ำบอกก่อนจะลูบน้ำตาของหญิงสาวเบาๆ “ได้โปรดพาพี่ไปหาพ่อกับแม่ของเจ้าเถิด จงบอกพี่มาว่าเจ้าเป็นคนบางไหน แล้วพี่จะให้ผู้ใหญ่แม้นเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอเจ้ามาเป็นสะใภ้คนใหม่ของท้องทุ่งมีนบุรีในทันที”
“ข้า...ข้า” แม่ราตรียิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้นไปอีก “ขอเวลาให้ข้าอีกสักนิดเถิดนะจ๊ะ พี่อ่ำ”
“พี่รอได้ แม่ราตรี เจ้าจงหยุดร้องไห้เสียเถิด ความจริง เราก็รู้จักกันได้เพียงไม่นาน หากแต่เจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกต้องตาแต่แรกพบ ประหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันแต่ชาติปางก่อนก็ไม่เกินจะกล่าวเลย” ทิดอ่ำบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอนศีรษะของนางให้ซุกลงบนอกกว้างของตน
ทั้งสองคนตระกองกอดอยู่เคียงข้างกันภายใต้เงาร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านทะมึนทึบไปทั่วบริเวณ จนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฑิฆัมพร ชายหนุ่มจึงขอตัวลากลับ
“พี่ไม่อยากให้ถึงเวลาที่เราต้องจากกันเลย”
“ไม่มีใครชอบการจากลาหรอกจ๊ะ โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก”
“เพราะอย่างนั้น ... พี่จึงอยากไปสู่ขอเจ้าในเร็ววันไงเล่า” ทิดอ่ำบอกแล้วคว้าแม่ราตรีไปกอดอีกครั้ง แต่นางก็ผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มในทันที
“รีบไปเถิดจ้ะ เดี๋ยววันพรุ่งจะตื่นเลยไก่ขัน”
ทั้งคู่โบกมือลาก่อนที่ทิดอ่ำจะค่อยๆหายไปในความมืด ทิ้งไว้แต่เพียงแม่ราตรีและหยดน้ำใสๆที่หางตาของนาง
“หยุดเสียทีเถิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เสียงขายชราคนหนึ่งดังขึ้น
“ข้าไม่หยุด ท่านไม่รู้หรอกว่าข้ารอคอยให้เวลานี้มาถึงนานแค่ไหน” นางแผดเสียงทั้งน้ำตา
“ข้ารู้ว่าเจ้ารอคอยเขามานาน ... แต่เจ้าทั้งคู่ต่างยังไม่หมดกรรม และหากเจ้ายังดื้อรั้น ก็รังแต่จะสร้างกรรมเพิ่มขึ้น และเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้น ทำให้บุญบารมีที่เจ้าสั่งสมมาค่อยๆหมดลง ซ้ำยังจะส่งผลร้ายต่อเจ้าหนุ่มนั่นด้วย” เจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากต้นไทร
“การรอคอยนั้นทรมานนัก ท่านเทพารักษ์ พอๆกับการพลัดพราก ข้าจึง...”
“เอาเถิด สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงการพร่ำเตือนเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเทวดา มนุษย์ คนธรรพ์ หรือสัมภเวสีต่างก็มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด “ชายชราบอกทิ้งท้ายแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะหายเข้าไปในต้นไทรอีกครั้ง
.
.
กลางแดดที่แผดร้อนยามบ่าย ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดบนหน้าผากและทั่วสรรพางค์กาย เขาเพิ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงบ่ายได้ไม่นานเขาก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา อาการดังกล่าวนั้นมีมาตั้งแต่เช้าแล้ว หากแต่ทิดอ่ำก็ยังคงแข็งใจทำงานต่อไป จนคล้อยบ่าย ที่ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัด เขาล้มลงกลางผืนนาที่ร้อนระอุ ท่ามกลางต้นข้าวที่ขึ้นสูงบดบังร่างไร้สติของเขา
.
.
เรื่องสั้นจบในตอน : น้ำตาลาไทร
ท้องทุ่งนามีนบุรีสีทองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตาของฤดูเก็บเกี่ยว แสงแดดอ่อนๆที่ค่อยๆหรี่รังสีเมื่อยามใกล้พลบค่ำนั้นเป็นสัญญาณแห่งการใกล้สิ้นสุดวันของชาวนาชาวบ้าน ณ ท้องทุ่งมีนบุรีแห่งนี้เพื่อเตรียมการเก็บคราดไถและไล่ควายกลับเข้าบ้านของตนหลังจากที่ทั้งคนและควายทำงานกันมาตลอดทั้งวัน
ทิดอ่ำ ชายหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งแห่งท้องทุ่งมีนบุรีเองก็เช่นกัน เขากำลังเก็บคราดไถเตรียมเดินทางกลับบ้าน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ได้บารมีของสมภารวัดมีนบุรีช่วยชุบเลี้ยงให้ข้าวก้นบาตรประทังชีวิต บ้านของทิดอ่ำนั้นเป็นกระท่อมเล็กๆอยู่ที่ปลายที่นาของเขาอันเป็นสมบัติเพียงไม่กี่อย่างที่โจรเหล่านั้นไม่ได้เอาไปจากครอบครัวของเขา และด้วยเพราะที่นาผืนนี้ เขาจึงพอได้มีที่ทำกินประทังชีวิตอย่างพอมีพอกินไม่ต้องไปขายตัวเป็นลูกจ้างใคร
“กลับบ้านกันเถิดจ้ะ พี่อ่ำ” เสียงใสๆจากนางเรียม เพื่อนเล่นในวัยเด็กดังขึ้น และที่นาของครอบครัวของนางนั้นก็อยู่ติดกับที่นาของทิดอ่ำ
“ข้ากำลังจะกลับแล้วล่ะ นางเรียม” ชายหนุ่มตอบ พลางแบกคันไถขึ้นบ่าอย่างทะมัดทะแมง
ทั้งสองคนพากันจูงควายลัดเลาะไปบนคันนา ที่ขอบฟ้ายามนี้ดวงตะวันกำลังค่อยๆไล่ระดับลับลงพร้อมกับที่ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเมื่อยามใกล้พลบค่ำ ดวงบุหลันค่อยๆส่องแสงพร้อมกับเสียงกลองดังตุ้มตั้มเป็นสัญญาณจากวัดมีนบุรีว่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะพากันทำวัตรเย็นส่งเสียงกังวานไกลเป็นท่วงทำนองแห่งพระพุทธศาสนา
“คืนนี้ พี่จะพาข้าไปเที่ยวงานมหรสพวัดกูบแดงไหมจ๊ะ ข้าอยากไปจัง” นางเรียมกล่าวขึ้นระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ
“ข้า ... เอ่อ ข้าขอคิดดูก่อนได้ไหม”
“พี่อ่ำก็เป็นแบบนี้ตลอด งานวัดบางกะปิ คราวที่แล้วพี่ก็บอกข้าอย่างนี้ แล้วก็ปล่อยข้าเป็นสายบัวแต่งตัวเก้อคอยอยู่ที่บ้าน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเง้างอนอยู่ในที
“ข้าเหนื่อยน่ะ ทำนามาทั้งวัน เจ้าก็เห็น ”ทิดอ่ำกล่าว และเบือนหน้าหนี
“ข้าก็เคยบอกพี่แล้ว ว่าให้หาคนมาช่วย ...แล้วข้าก็...”
“เอ็งอย่าได้พูดเช่นนั้นอีกเชียวนะ เอ็งเป็นผู้หญิง พูดจาเหมือนแม่แปรกเช่นนั้นไม่งามเลย”
นางเรียมถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าหม่นๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ฉันถามพี่จริงๆเถอะนะ ว่าพี่มีหญิงงามนางใดอยู่ในใจหรือเปล่า”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเรียมเอ่ยถามทิดอ่ำเช่นนี้ ทุกๆครั้งที่ชายหนุ่มพูดจาในทำนองปฏิเสธความสัมพันธ์ที่หญิงสาวมีให้ นางก็มักจะถามเขาเสมอด้วยคำถามนี้ แต่เขาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด
“ไม่มีหรอก นางเรียมเอ๊ย”
“พี่ไม่เคยมองหน้าข้าสักทีเวลาตอบคำถามนี้แก่ข้า หากพี่ตอบข้ามาตามตรง ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เทียวไล้เทียวขื่อพี่เช่นนี้อีก”
ทิดอ่ำมองหน้านางเรียมอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพยักหน้ายอมรับข้อสงสัยที่นางเรียมเพียรถามมาตลอดตามจริง
“ถ้าเจ้าสัญญาเช่นนั้น ข้าก็ขอยอมรับ ว่าข้านึกชอบพออยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง สำหรับเจ้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ข้าคิดกับเจ้าเพียงพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเรียมรับคำด้วยสีหน้าหดหู่ ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น พี่ชายพอจะบอกน้องสาวคนนี้สักหน่อยได้ไหมจ๊ะ ว่านางเป็นใคร อยู่บางไหนกัน”
“ข้าก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนบางไหน ข้ารู้แต่เพียงว่านางชื่อราตรีเท่านั้น”
.
.
ตกพลบค่ำ เมื่อควันไฟท้ายหมู่บ้านที่จุดไล่ยุงค่อยๆจางหายไปตามฤทธิ์ของพระเพลิงที่สิ้นลง ตะเกียงเจ้าพายุตามบ้านแต่ละหลังก็ค่อยๆดับลงทีละดวงเป็นสัญญาณของการพักผ่อนของชาวบ้าน หากแต่มีดวงไฟจากตะเกียงดวงหนึ่งที่ค่อยๆขยับเคลื่อนที่ช้าๆตามการเคลื่นไหวของทิดอ่ำที่ถือตะเกียงเจ้าพายุดังกล่าว เขาค่อยๆเดินลัดเลาะไปยังท้ายหมู่บ้านบริเวณไม่ไกลจากที่นาของเขา ก่อนจะส่งเสียงเรียกกึ่งดังกึ่งเบาพอให้คนที่อาจจะรอเขาอยู่บริเวณนั้นได้ยิน
“แม่ราตรี พี่มาแล้ว เจ้าอยู่หรือไม่จ้ะ”
“ข้าอยู่นี่จ้ะ พี่อ่ำ” เสียงนั้นดังออกมาจากอีกฟากของต้นไทรใหญ่ขนาดสี่คนโอบ แสงไฟจากตะเกียงของนางนั้นขับผิวนวลของนางให้ยิ่งนวลเด่นประชันกับแสงนวลเหลืองคืนเดือนเพ็ญคืนนี้
ทิดอ่ำเดินตรงไปหานางด้วยรอยยิ้มระคนเสียงถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
“เจ้าทำให้พี่เป็นห่วงเสียจริงๆ เมื่อไหร่กันนะที่เราจะได้พบกันตอนไก่ขันบ้าง”
“ก็ข้าชื่อราตรีนี่จ๊ะ” นางพูดกลั้วหัวเราะ
“นามนั้นหาได้เกี่ยวกับเรื่องที่พี่วิงวอนเจ้าเลย ... อีกอย่างหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่แม่ราตรีว่าพี่นั้นทนทรมานสักเพียงไหนที่ต้องอดรนทนเก็บความคิดถึงเจ้าไว้นับตั้งแต่ตะวันขึ้นถึงตะวันพลบ และได้เจอหน้าเจ้าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น” ชายหนุ่มพรอดคำหวานพร้อมกับค่อยๆตระกองกอดนางราตรีให้นั่งลงที่รากต้นไทร
“เพียงเท่านี้ พี่ก็เรียกว่าทุกข์ทรมานแล้วหรือจ๊ะ ... พี่คงไม่รู้หรอก ว่าความทุกข์ทรมานที่แท้จริงเป็นเช่นไร” นางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าๆก่อนจะเบนหน้าหนีจากชายหนุ่ม
“เจ้าพูดราวกับเจ้าเคยผ่านทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงมาก่อน” ชายหนุ่มเชยคางของหญิงสาวขึ้นถาม
“คงไม่ผิดจากที่พี่อ่ำคาดเดานักหรอกจ้ะ”
“พี่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นทุกข์ และแม้ว่าพี่จะมิใช่คนร่ำรวยอย่างเศรษฐีบางไหน แต่พี่สัญญาว่าพี่จะรักและดูแลเจ้าให้มีความสุขตลอดไป” เขากอดแม่ราตรีแน่นขึ้น จนรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวเบาๆจากคนในอ้อมกอด
“ขอบคุณพี่มากจ๊ะ” นางตอบพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาคลอเสียงสะอื้น
“เจ้าจะร้องไห้ทำไม แม่ราตรีของพี่” ทิดอ่ำบอกก่อนจะลูบน้ำตาของหญิงสาวเบาๆ “ได้โปรดพาพี่ไปหาพ่อกับแม่ของเจ้าเถิด จงบอกพี่มาว่าเจ้าเป็นคนบางไหน แล้วพี่จะให้ผู้ใหญ่แม้นเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอเจ้ามาเป็นสะใภ้คนใหม่ของท้องทุ่งมีนบุรีในทันที”
“ข้า...ข้า” แม่ราตรียิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้นไปอีก “ขอเวลาให้ข้าอีกสักนิดเถิดนะจ๊ะ พี่อ่ำ”
“พี่รอได้ แม่ราตรี เจ้าจงหยุดร้องไห้เสียเถิด ความจริง เราก็รู้จักกันได้เพียงไม่นาน หากแต่เจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกต้องตาแต่แรกพบ ประหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันแต่ชาติปางก่อนก็ไม่เกินจะกล่าวเลย” ทิดอ่ำบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอนศีรษะของนางให้ซุกลงบนอกกว้างของตน
ทั้งสองคนตระกองกอดอยู่เคียงข้างกันภายใต้เงาร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านทะมึนทึบไปทั่วบริเวณ จนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฑิฆัมพร ชายหนุ่มจึงขอตัวลากลับ
“พี่ไม่อยากให้ถึงเวลาที่เราต้องจากกันเลย”
“ไม่มีใครชอบการจากลาหรอกจ๊ะ โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก”
“เพราะอย่างนั้น ... พี่จึงอยากไปสู่ขอเจ้าในเร็ววันไงเล่า” ทิดอ่ำบอกแล้วคว้าแม่ราตรีไปกอดอีกครั้ง แต่นางก็ผละออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มในทันที
“รีบไปเถิดจ้ะ เดี๋ยววันพรุ่งจะตื่นเลยไก่ขัน”
ทั้งคู่โบกมือลาก่อนที่ทิดอ่ำจะค่อยๆหายไปในความมืด ทิ้งไว้แต่เพียงแม่ราตรีและหยดน้ำใสๆที่หางตาของนาง
“หยุดเสียทีเถิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เสียงขายชราคนหนึ่งดังขึ้น
“ข้าไม่หยุด ท่านไม่รู้หรอกว่าข้ารอคอยให้เวลานี้มาถึงนานแค่ไหน” นางแผดเสียงทั้งน้ำตา
“ข้ารู้ว่าเจ้ารอคอยเขามานาน ... แต่เจ้าทั้งคู่ต่างยังไม่หมดกรรม และหากเจ้ายังดื้อรั้น ก็รังแต่จะสร้างกรรมเพิ่มขึ้น และเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้น ทำให้บุญบารมีที่เจ้าสั่งสมมาค่อยๆหมดลง ซ้ำยังจะส่งผลร้ายต่อเจ้าหนุ่มนั่นด้วย” เจ้าของเสียงค่อยๆเดินออกมาจากต้นไทร
“การรอคอยนั้นทรมานนัก ท่านเทพารักษ์ พอๆกับการพลัดพราก ข้าจึง...”
“เอาเถิด สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงการพร่ำเตือนเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเทวดา มนุษย์ คนธรรพ์ หรือสัมภเวสีต่างก็มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด “ชายชราบอกทิ้งท้ายแต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะหายเข้าไปในต้นไทรอีกครั้ง
.
.
กลางแดดที่แผดร้อนยามบ่าย ชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดบนหน้าผากและทั่วสรรพางค์กาย เขาเพิ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงบ่ายได้ไม่นานเขาก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา อาการดังกล่าวนั้นมีมาตั้งแต่เช้าแล้ว หากแต่ทิดอ่ำก็ยังคงแข็งใจทำงานต่อไป จนคล้อยบ่าย ที่ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัด เขาล้มลงกลางผืนนาที่ร้อนระอุ ท่ามกลางต้นข้าวที่ขึ้นสูงบดบังร่างไร้สติของเขา
.
.