ลำนำรักเทพบรรพกาล (ภาค มหาเทวีผู้สร้าง) : Angels and Devils. #บทที่๑๔ #(ความลับของเทพบรรกาล.)

“พ่อหมอ..พ่อหมอมารุต อยู่ไหมขอรับ”

สรษดาสะลึมสะลือ เมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวของชายสูงวัยดังมาจากหน้าเรือน พลางผงกศีรษะขึ้น หยีตามองหาแสงตะวัน ซึ่งยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเสียด้วยซ้ำ และเหลียวมองอีกคนที่นอนเคียงข้าง ยังคงหลับลึกไม่สนความเป็นไปของโลกอีกเช่นเคย 

เด็กหนุ่มจับแขนที่พาดกอดเขาออกไปให้พ้นตัวอย่างเบามือ และลุกขึ้น

ห้าเดือนแล้ว ที่เขาไม่ได้ไปไหนตามความตั้งใจเดิม..ส่วนสาเหตุนั้น ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดถึงยังทนอยู่กับเจ้าหมอยาสติเพี้ยนผู้นี้ ซึ่งนอกจากวิชาการแพทย์ที่เยี่ยมยอดกับฝีมือการประดิษฐ์อาวุธชั้นเลิศแล้ว เจ้าหมอนี่ก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง..หากวันไหนไม่ได้ทำอะไร ก็จะนั่งปักหลักประดุจเสาหิน สนใจอ่านแต่ตำรับตำราข้ามวันข้ามคืน ไม่สนใจข้าวปลา นอกจากการร่ำสุรา แล้วก็วางไหเหล้าไว้เกลื่อนพื้น..เขาเห็นแล้ว รู้สึกหงุดหงิดกับความไร้ระเบียบวินัยจนสุดทน..ต้องลงมือเก็บกวาด ทำความสะอาดเรือนเสียเดี๋ยวนั้น 

และเจ้าหมอนี่ยังมีวิถีการนอนที่น่าอเนจอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากง่วงเมื่อใด ก็สามารถทิ้งตัวนอนหลับได้ภายในระยะเวลาไม่กี่อึดใจ ปลุกก็ไม่ยอมตื่น และเพื่อเห็นแก่นางเฒ่างูดิน เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้ที่นางเฒ่านับถือเสียนักหนาต้องนอนหลับบนพื้นอันแข็งกระด้าง คาบันไดบ้าง ตากน้ำค้างบนหลังคาบ้าง หรือบางครั้ง เขาต้องไปตามแบกกันที่ลำธาร เมื่อเจ้าหมอนี่นั่งเกาะหินหลับ ขณะอาบน้ำ

“ชาติที่แล้วข้าคงไปเผาบ้านเผาเรือนของท่านกระมัง ชาตินี้ถึงต้องมาคอยชดใช้ให้เช่นนี้”

แม้จะพร่ำบ่น แต่ไม่ว่าอย่างไร..เขาก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ทำเป็นไม่สนใจเจ้าหนุ่มสติเพี้ยนผู้นี้ได้..

นอกจากนั้น..ไม่ว่าเขาจะพาตนเองออกมานอนนอกห้องสักกี่ค่ำคืน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในทุกเช้า จะพบเจ้าของเรือนนอนกอดก่ายเขาอยู่บนเตียงในห้องนอน..เป็นเช่นนี้ทุกวัน ความกระอักกระอ่วนใจที่เคยมี ค่อยๆจางหายจนกลายเป็นความเคยชิน..เมื่อตื่นขึ้นมา ต้องเห็นหน้าเจ้าหมอนี่เป็นคนแรก

“พ่อหมอ..”
ผู้มาเยือนยามรุ่งสาง ลงจากหลังควายและดึงเชือกจูงเดินมาใกล้เรือนพัก ชูคบเพลิงในมือ มองขึ้นไปบนชานบ้าน ยังไม่มีผู้ใดออกมา จึงตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจอีกครั้ง พลางครุ่นคิดว่า จะขึ้นบนเรือนดีหรือไม่

แต่ไม่กี่อึดใจ บนนอกชานร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่ม ผู้เป็นญาติห่างๆ ตามที่หมอมารุตเคยบอกไว้ก้าวเดินออกมา
“อ้อ ! เจ้าไผ่เรอะ..พ่อหมออยู่ไหม”

“อยู่..แต่ยังไม่ตื่น ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมีเรื่องเร่งด่วนอันใด ถึงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเช่นนี้”

“ขอโทษทีที่ข้ามาปลุกเจ้า..เป็นเพราะร้อนใจ ว่าหลานชายของข้านั้นจู่ๆก็ป่วยหนัก ต้มยาให้กินหลายหม้อแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย มีแต่จะทรุดลง..ข้าเลยจำต้องมาพึ่งใบบุญของพ่อหมอนี่ล่ะ”

“เช่นนั้นท่านกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะปลุกท่านหมอให้ไปรักษาหลานชายของท่านเอง”

หัวหน้าหมู่บ้านรับคำ แต่ต้องเงยใบหน้าขึ้นอีกครั้งตามคำเรียกของอีกฝ่าย

“อ้อ ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน..อย่าลืมเตรียมเบี้ยไว้จ่ายค่ารักษาด้วยนะขอรับ”

ผู้สูงวัยยิ้มแห้ง..นับตั้งแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัว ผู้ที่ต้องการได้รับการรักษาจากหมอเทวดา จะต้องจ่ายค่ารักษาตามอาการทุกคน แต่หากใครไม่มีเบี้ย ก็จะถูกเรียกรับเป็นไก่หรือปลาที่เลี้ยงตามบ้านเป็นค่ารักษาแทน โดยไม่มีการรักษาฟรีเช่นแต่ก่อน และหมอยาก็เออออตามญาติหนุ่มไปเสียทุกอย่าง

“ได้สิ..งั้นข้าไปก่อนนะ” แล้วก็กลับขึ้นไปขี่บนหลังควาย กระตุ้นให้มันก้าวเดินไปไม่กี่อึดใจก็หันกลับไปมองบนชานบ้าน ซึ่งบัดนี้ไร้เงาของเด็กหนุ่มแสนเย็นชาผู้นั้นแล้ว

ในครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้นี้เมื่อหลายเดือนก่อน เขาถึงกับทึ่งในความงดงามแห่งบุรุษเพศ ซึ่งสมบูรณ์แบบราวกับไม่ใช่มนุษย์ แม้ดวงตาข้างหนึ่งจะมีสีผิดแปลกไป แต่นอกเหนือจากนั้น เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จะมีก็แต่นิสัยที่ค่อนข้างเย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น

..แต่จะว่าไปแล้ว ตัวเขาเองก็พอจะรับรู้ได้ว่า ท่านหมอมารุตนั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์ เพราะในครั้งแรกที่ได้พบกันก็เมื่อตอนเขายังเด็ก ซึ่งบิดาของเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อน ได้ตามหมอผู้นี้มารักษาลูกบ้านหลายสิบคนที่กำลังติดโรคระบาด เขาจำได้ว่าบิดานั้นควบขี่ควายแทบไม่ได้หยุดพัก ยังต้องใช้ระยะเวลาเดินทางไปกลับเป็นวันๆ แต่หมอหนุ่มผู้นี้กลับเดินเท้ามายังหมู่บ้านราวกับอาศัยอยู่แค่หมู่บ้านถัดไปเท่านั้น และไม่ว่า เวลาจะผ่านไปกี่ปี รูปลักษณ์ของหมอหนุ่มก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ในขณะที่ตัวเขาเริ่มแก่ชรา

และด้วยความที่ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมมาพอตัว จึงได้เห็นพวกอมนุษย์ที่แฝงกายใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์มามาก จึงไม่มีความเกรงกลัวใดๆ  ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา สองเผ่าพันธุ์นี้ย่อมอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งเจ้าหนุ่มที่มาอยู่ใหม่ผู้นี้ ก็คงจะไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน ไม่เช่นนั้น คงไม่เดินทางเข้าออกหมู่บ้านเป็นว่าเล่น ยามไปส่งเหล้าหรอก 

เมื่อคิดถึงเหล้าที่เด็กหนุ่มนำไปขายที่หมู่บ้าน ก็ชักเปรี้ยวปากอยากดื่มอีกสักอึก สองอึก..เพราะเหล้าที่เจ้าหนุ่มทำนั้นแสนจะนุ่มละมุนคอ แต่ทว่า ดีกรีความร้อนแรงชวนให้ติดอกติดใจเป็นที่สุด..ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากคล้ายจะลงแดง รีบควบขี่ควายคู่ใจกลับหมู่บ้าน

..เมื่อผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว สรษดาถืออ่างใส่น้ำเดินกลับเข้าห้องมาปลุกมารุต
“ตื่นขึ้นมาทำมาหากินได้แล้ว..ทำตัวให้สมกับที่ลั่นวาจาไว้ว่าจะเลี้ยงดูข้าหน่อยเถอะ”

หมอยาหนุ่มยังไม่ยอมลืมตา แต่ปากขยับตอบโต้ออกไปอย่างงัวเงีย
“ข้าก็เลี้ยงดูเจ้าอยู่นี่ไง..ไม่ได้ผิดวาจาเสียหน่อย”

“เดือนแรกที่ข้ามาอยู่ ท่านให้ข้ากินแต่ผลไม้เหี่ยวๆพวกนั้นน่ะเรอะ ที่เรียกว่าเลี้ยงดู..แต่สำหรับข้า นั่นเหมือนเป็นการหากินเองเสียมากกว่า เพราะหากข้าไม่ออกไปตกปลา ล่าสัตว์ ป่านนี้ก็ยังต้องกินแต่ผลไม้ จนตัวเหี่ยวแห้งไปแล้ว”

มารุตแค่นยิ้มกับคำประชดประชัน แต่ดวงตาทั้งคู่ยังปิดสนิท เพราะเมื่อค่ำคืน ได้ถอดจิตออกไปท่องจักรวาล เพื่อเสาะหาวัตถุดิบที่จะนำมาทดลองประดิษฐ์อาวุธชนิดใหม่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมา มันจึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่อยากลืมตาขึ้นมาสักนิดเดียว

..แต่ร่างก็ถูกฉุดรั้งขึ้นมานั่งจนได้..

“ถ้าท่านยังชักช้าอยู่เช่นนี้..เด็กนั่นอาจจะตายได้นะ” สรษดาพูดกับร่างที่นั่งขัดสมาธิ คอพับคออ่อน

“ช่างปะไร..หากเด็กนั่นตาย ก็เป็นเพราะเส้นชะตาของเขามีเพียงเท่านี้ หาใช่เพราะข้าเสียหน่อย” ตอบพลางทำท่าจะเอนตัวลงนอน แต่ถูกมือแข็งยื้อไว้
“หากท่านไม่สนใจชีวิตผู้อื่นก็ไม่เป็นไร..แต่ท่านต้องใส่ใจข้านะ”

มารุตเงยใบหน้า เปิดเปลือกตาข้างหนึ่งมองผู้พูดด้วยความฉงน
“มีครั้งไหนที่ทำให้คิดว่า ข้าไม่ใส่ใจเจ้าเรอะ”

“ใช่ ท่านใส่ใจข้า..แต่ยังไม่มากพอสำหรับการใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์”

คราวนี้หมอหนุ่มลืมตาขึ้นมองเขาเต็มสองตา เรียวคิ้วขมวดมุ่นดั่งต้องการคำอธิบาย

สรษดาแค่นยิ้ม พลางฉุดร่างชายหนุ่มให้ลงจากเตียงมานั่งลงกับพื้นหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งครั้งหนึ่งสรษดาเคยสงสัยว่า เหตุใดหมอหนุ่มผู้นี้ถึงมีตลับชาด แป้งหอม เฉกเช่นสตรี จึงเอ่ยถามออกไป ซึ่งอีกฝ่ายตอบได้อย่างไม่มีเคอะเขิน

“ข้าใช้เป็นบางครั้งน่ะ น้ำปรุงก็มีนะ..เจ้าสนใจไหม”

เขารีบปฏิเสธ และลุกหนีมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจในรสนิยมที่แปลกประหลาดของหมอหนุ่ม..แต่ทว่า จนถึงทุกวันนี้ เขาก็ไม่เคยเห็นมารุตใช้สิ่งของพวกนั้นสักครั้ง จะมีก็แค่ใช้สีผึ้งทาริมฝีปากในบางวัน

สรษดายกอ่างน้ำพร้อมผ้าผืนเล็กมาวางให้ตรงหน้า และนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง
“ล้างหน้าล้างตาของท่านเสีย” 

จากนั้นก็หยิบหวีไม้มาหวีผมยาวอันยุ่งเหยิงของมารุตให้เรียบลื่น ดำขลับ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมขยับทำตามในสิ่งที่บอก แต่กำลังจ้องมองเขาผ่านกระจก
“อะไรอีกเล่า”

“ตลอดมา..ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยเลี้ยงดูสิ่งใดมาก่อน จึงไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวเช่นไร..หากเจ้าไม่พอใจสิ่งใดในตัวของข้า ก็จงพูดมา ข้าจะได้ปรับปรุงจนกว่าเจ้าจะพอใจ”

เด็กหนุ่มมองสบสีหน้าจริงจังของผู้พูดก็ทอดถอนใจยาว มุมปากหยัดยิ้ม
“ท่านช่างคิดเล็กคิดน้อยเช่นอิสตรีไปได้อย่างไรเล่า..ไม่ใช่ว่าข้าไม่พอใจท่าน แต่ในเมื่อพวกเราอยู่ในสถานะมนุษย์ ก็ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ ข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่งห่มและพวกของใช้ ซึ่งหลายอย่างจำเป็นต้องใช้เบี้ยซื้อสิ่งเหล่านี้ในการดำรงชีพ..แต่ท่านกลับไม่ได้ใส่ใจในเหตุผลข้อนี้นัก ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตารักษาฟรี บางครั้งก็ยังให้สมุนไพรที่หายากโดยไร้สิ่งตอบแทน ทั้งๆที่ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า บางคนนั้น นำสมุนไพรของท่านไปขายต่อในราคาแพงเกินกว่าชาวบ้านทั่วไปจะมีปัญญาซื้อได้”

“แต่เจ้าก็ตามไปเอาคืนไม่ใช่เหรอ” หมอยาหนุ่มตอบโต้อย่างรู้ทัน

“ก็เพราะข้าไม่ชอบให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบไงเล่า รวมทั้งท่านเองก็สมควรจะคิดเช่นนี้นะ..เป็นถึงเทวดา แต่กลับยอมให้มนุษย์เอาเปรียบอยู่ได้..รู้ถึงไหน อายถึงนั่น..และเพราะท่านเฉื่อยชาเช่นนี้ ข้าถึงต้องต้มเหล้าไปขายเพื่อแลกเบี้ยมาประทังชีวิตเราทั้งสองอย่างไรเล่า”

ในน้ำเสียงช่วงท้ายประโยคของสรษดาคล้ายหงุดหงิด เพราะทำไปทำมา ดูเหมือนว่าเขากำลังเป็นฝ่ายเลี้ยงดูเจ้าหมอยาสติเพี้ยนผู้นี้เสียเอง ซึ่งรวมถึงการ ซักผ้า หุงหาอาหาร ทำความสะอาดเรือน ก็ล้วนแต่เป็นเขาทั้งสิ้น

มารุตได้ฟังดังนั้นก็รีบเสนอความคิด
“แค่เบี้ยเอง..หากเจ้าต้องการ ข้าเนรมิตให้ได้นะ หรือไม่ ข้านำเครื่องประดับที่วิมานเอามาแลกเป็นเบี้ยก็ได้ เจ้าต้องการสักแค่ไหนล่ะ บอกข้ามาเลย จะได้ไม่ต้องลำบากลำบนต้มเหล้าไปขายให้พวกมนุษย์..ข้าเห็นแล้วให้เสียดายนัก มิสู้เจ้าทำให้ข้าแต่เพียงผู้เดียวดีกว่า”

เพราะฝีมือการทำสุราของสรษดาได้รับการถ่ายทอดมาจากนางเฒ่างูดินจนหมดไส้หมดพุง รสชาติที่ได้จึงไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะเหล้าสามฤดูที่ตนโปรดปรานที่สุด จึงรู้สึกหวงแหน ไม่อยากให้เขาทำให้ผู้ใดดื่ม นอกจากตนเท่านั้น

สรษดาถอนใจเฮือก
“ท่านลืมกฎของสวรรค์ไปแล้วเรอะ..หากจำแลงเป็นมนุษย์ ให้จงกระทำตนเยี่ยงมนุษย์ ห้ามอวดตน ห้ามใช้อิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้อื่น..ท่านอยู่มานาน น่าจะเข้าใจมากกว่าข้านะ”

ปรวาณในร่างหมอหนุ่มทำปากยื่น บ่นอุบอิบ
“ กฎของสวรรค์มีตั้งมากมายหลายพันข้อ ข้าจำไม่หมดหรอก..อีกอย่าง ข้าก็ไม่ใส่ใจสิ่งใดอยู่แล้ว นอกจากเจ้า”

มารุตพูดออกไปตามใจคิด แต่ผู้ฟังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยกับประโยคท้าย
 “หึ! ท่านนี่เป็นขบถหรือไร” แล้วลงมือรวบผมยาวของอีกฝ่ายขึ้นเกล้าเป็นมวยสูง  “เอ้า เสร็จแล้ว..คราวนี้ก็ล้างหน้าล้างตาได้แล้ว” 

เมื่อหมอยาทำตามที่บอก เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปเลือกผ้านุ่ง รวมทั้งเครื่องประดับเข้าชุด และเนื่องจากอากาศช่วงนี้ค่อนข้างอบอ้าว เขาจึงหยิบผ้าไหมผืนยาวสำหรับคลุมพาดบ่าให้แทนเสื้อ 

“เจ้านี่ ช่างพิถีพิถันเสียจริง”

มารุตเอ่ยชม ขณะหมุนตัวดูความเรียบร้อยของตนที่กำลังสะท้อนอยู่ในกระจกเงาตั้งพื้นบานใหญ่ ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่ใคร่ใส่ใจนัก หยิบจับอะไรได้ก็สวมใส่อย่างนั้น ไม่เพียงแค่เสื้อผ้า แต่ยังรวมทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน ซึ่งตลอดมา เขาใช้ชีวิตเพียงลำพัง กินง่ายอยู่ง่าย แค่ผลไม้ก็เพียงพอประทังชีวิตอมตะนี้แล้ว จึงไม่เห็นถึงความจำเป็นในการปรุงอาหารให้มันยุ่งยาก ส่วนเรือนนี้ ก็แค่อาศัยนอนเป็นบางวัน เพราะเวลาส่วนใหญ่ของเขาหายไปกับการเก็บสมุนไพร ตระเวนรักษาคนไข้ หรือบางครั้ง ก็ขึ้นวิมานไปประดิษฐ์อาวุธเป็นเดือนๆกว่าจะกลับลงมาอีกครั้ง ดังนั้น ภายในเรือนจึงดูรกๆนิดหน่อย

ต่างจากสรษดาที่ติดนิสัยเจ้าระเบียบมาตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งโอรสสวรรค์ และเมื่อมาอยู่ภายใต้การดูแลของนางเฒ่างูดิน นางก็จะสรรหาอาหารดีๆและฝีมือทำอาหารของนางเฒ่านั้นก็ไม่เป็นรองใคร และยังคอยปัดกวาดเช็ดถูเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ ทำให้สรษดาเคยชินกับสิ่งเหล่านั้น 
จนเมื่อต้องมาอาศัยร่วมชายคากับมารุต ที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ระเบียบวินัย ทั้งเรื่องการกิน การอยู่ มันจึงทำให้เขาหงุดหงิดไปเสียหมด แม้ปากจะคอยพร่ำบ่น แต่เหมือนว่าจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของอีกฝ่ายเสียมากกว่า จนทนไม่ได้ ต้องลงมือทำเสียเอง ตั้งแต่เรื่องเก็บกวาดทำความสะอาดเรือน ซักผ้า หุงหาอาหาร ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจทางอ้อมให้กับนางเฒ่างูดินก็แล้วกัน
(ต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่