ลำนำรักเทพบรรพกาล (ภาค มหาเทวีผู้สร้าง) : Angels and Devils. #บทที่๑๒# หญิงสาว..ผู้ละทิ้งวัยเยาว์

ยามบ่ายจัดของฤดูร้อน..

นางเฒ่างูดินเสร็จสิ้นภารกิจรับใช้เจ้านายจากเรือนใหญ่เดินออกมานั่งหลบร้อนใต้ต้นมะขาม พลางใช้พัดใบลานโบกไปมา ทว่า..ความร้อนลุ่มที่เกิดจากความกลัดกลุ้มภายในใจมิอาจบรรเทาเบาบาง เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองกำลังจะเข้าสู่สภาวะสงคราม จากการบอกเล่าของบรรดาพ่อค้าแขกมัวร์ในตลาด ซึ่งกำลังรีบรุดออกจากเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงภัยสงครามจากหัวเมืองทางเหนือ กำลังลุกลามบานปลายไล่ลงมาตามเมืองต่างๆ และหากเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่า ฤดูฝนนี้ ดินแดนอันสุขสงบที่นางอาศัยมายาวนาน คงนองไปด้วยเลือดและน้ำตา 

และระยะนี้ ภายในเมืองมีการสับเปลี่ยนกำลังทหารมากกว่าเมื่อก่อน ซึ่งคาดเดาว่า เจ้าเมืองน้อยเองก็รับรู้ข่าวสารนี้แล้ว และคงกำลังวางแผนรับมือสงครามในครั้งนี้เช่นกัน

หญิงชราทอดถอนใจ ชีวิตนับร้อยปีที่ผ่านมาได้แต่เฝ้ามองเผ่ามนุษย์เข่นฆ่ากันนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยยกเหตุผลนานัปการเป็นข้ออ้างในการฆ่าฟัน เหยียบย่ำซากศพของผู้บริสุทธิ์ขึ้นสู่จุดหมาย ซึ่งนางได้แต่เฝ้ามองด้วยความหดหู่ใจ และไม่เคยนึกเลยว่า ในบั้นปลายของชีวิตจะต้องตกอยู่ในสถานะที่น่าสลดเช่นนี้
แล้วก็แค่นยิ้ม พึมพำกับตนเอง

“มันคงเป็นชะตากรรมของข้าสินะ”

ในยามนี้ ชีวิตของนางไม่ต่างอะไรกับไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อาจเริ่มต้นอะไรใหม่ได้อีกแล้ว แต่ก่อนจะลาลับจากไป จิตใจยังมีเรื่องให้พะวง ซึ่งนางคงต้องเร่งรีบสะสางเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น คงจากไปอย่างไม่สงบเป็นแน่

นางเฒ่าพ่นลมหายใจยาว เร่งขยับพัดในมือ ก่อนลุกขึ้นเดินฝ่าไอแดดกลับเรือนมาแล่เนื้อปลา เนื้อไก่นำไปตากแห้ง เตรียมตุนไว้เป็นเสบียงให้หลานชายไว้กินกลางทางยามต้องเดินทางไกล และขณะที่กำลังง่วนกับการตากแห้ง สรษดาเดินแบกกล้วยทั้งเครือออกจากสวนมาวางใต้ถุนเรือน นางเฒ่าเห็นแล้วก็คิดว่าจะตากกล้วยอีกด้วย

เด็กหนุ่มฉงนกับจำนวนเนื้อสัตว์ที่ยายเฒ่าแขวนตากไว้นั้นมันมากมายจนเต็มลาน
“ยายเฒ่า ทำเยอะขนาดนี้ จะเอาไปขายเรอะ”

“เปล่า ข้าจะตุนไว้เป็นเสบียงยามสงคราม..เจ้าจะได้ไม่อดอย่างไรเล่า”

สรษดาอมยิ้มกับความห่วงใยที่ได้รับจากนางภูตชราไม่เคยขาด..จากวันแรกที่เคยเป็นคนแปลกหน้า บัดนี้กลับผูกพันราวกับเป็นญาติสนิท 
“มีท่านอยู่ ข้าไม่มีวันอดตายหรอก” เขาว่าพลางช่วยนางตากเนื้อสัตว์

 นางเฒ่าแค่นยิ้ม เปรยออกมา “สักวันข้าก็ต้องจากโลกนี้ไป ข้าก็แค่ห่วง ว่าหลังจากนี้เจ้าจะอยู่อย่างไร จะกินอิ่มนอนหลับหรือไม่ แล้วก็ยังกลัวอีกว่า จะมีผู้อื่นมารังแกเจ้าเช่นเมื่อก่อนอีกรึไม่..ข้าถึงต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้า ไม่เช่นนั้น ข้าคงนอนตายตาไม่หลับ”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มพลันจางหาย กลายเป็นบูดบึ้ง
“พูดอะไรอัปมงคลนัก เสียงด่าของท่านดังลั่นทุ่งเช่นนี้ คงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก”

นางเฒ่ากลั้วหัวเราะ
“ข้าอยากจะหยิกเนื้อเจ้าให้ขาดนักเชียว ปากคอของเจ้านั้นก็ใช่ย่อย..วันหน้าหากไปอยู่กับผู้อื่นก็เพลาๆลงบ้างนะ ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่เอ็นดู”

เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่น จ้องผู้พูดด้วยความกังขา
“เหมือนว่า ข้ากำลังจะถูกผลักไสให้ไปอยู่กับผู้อื่นเช่นนั้นล่ะ..หากท่านเบื่อที่จะเลี้ยงดูข้าแล้วก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าก็โตพอที่จะอยู่ได้เพียงลำพังแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปเป็นภาระของผู้ใดอีกหรอก”

ความขุ่นเคืองระคนน้อยใจเผยออกมาตามน้ำเสียง นางเฒ่ายิ้มเอ็นดู
“เจ้าไผ่เอ๋ย อย่าเพิ่งโกรธเคืองความหวังดีของข้าเลย..สังขารของข้านั้นใกล้ผุพังแล้ว แม้อยากจะอยู่กับเจ้าไปอีกสักร้อยปี แต่ก็มิอาจกระทำได้ ทุกสิ่งล้วนเป็นสัจธรรม มีเกิด ย่อมมีดับ..ด้วยสติปัญญาอันปราดเปรื่องของเจ้า ก็คงเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน..ใช่หรือไม่”

ผู้ฟังนิ่งขึง..เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าเทพหรือมาร หากไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดแล้ว ก็ล้วนเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ต่างเพียงแค่ว่า ผู้ใดจะจากไปในรูปแบบไหน และถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไหร่เท่านั้นเอง 

แม้จะรู้แจ้งในข้อเท็จจริง แต่ความผูกพันเสมือนญาติสนิทที่หลงเหลือเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต หากสูญเสียนางเฒ่าผู้นี้ไป จิตใจของเขาคงเคว้งคว้างมากทีเดียว..เด็กหนุ่มกล้ำกลืนความโศกเศร้าให้สงบนิ่งไว้ภายในใจ ใบหน้ายังคงบึ้งตึงยามยื่นมือไปหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาตากอีกครั้ง
“เวลานั้นยังมาไม่ถึงเสียหน่อย ท่านจะรีบแช่งตัวเองไปทำไม”

นางเฒ่าถอนหายใจยาว คิดในใจว่า.. ‘ก็คงไม่นานนี้ล่ะ’

สองยายหลานต่างคนต่างเงียบ ช่วยกันตากเนื้อจนหมด ยายเฒ่าจูงมือเขามาใกล้ตุ่มน้ำ และใช้กระบวยตักน้ำมาล้างมือให้ รอยยิ้มเจือบนใบหน้าด้วยความสุขที่ได้ดูแลเขาประดุจหลานชายตัวน้อย แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นจะสูงใหญ่จนบดบังร่างของนางมิดแล้วก็ตาม
สรษดาทอดสายตามองการกระทำนั้นแล้วก็อ่อนใจ เอ่ยถามเสียงอ่อย

“แล้วท่านจะส่งข้าให้ไปอยู่กับผู้ใด”

“ท่านหมอมารุตน่ะ” นางตอบพลางดึงผ้ามาเช็ดมือให้เขาและตนเอง ก่อนเดินนำไปนั่งบนแคร่ และหันมาถามหลานชายที่เดินตามมานั่งเคียงข้าง “เจ้าจำท่านหมอได้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้า ตอบไม่เต็มเสียงนัก “จำได้ไม่ลืมเลยล่ะ”
..ใครจะไปลืมลง กับผู้ชายที่ขโมยจูบแรกของเขาไป..

แล้วก็มุ่ยหน้าพูดกับนางเฒ่าอย่างเกี่ยงงอน
“เหตุใดข้าต้องไปอยู่กับเขาด้วยเล่า..ข้าบอกแล้ว ว่าโตพอที่จะอยู่คนเดียวได้”

นางเฒ่าส่ายใบหน้า อ่อนอกอ่อนใจ
“เจ้านี่ยังไงนะ บทจะดื้อรั้นขึ้นมาก็ลืมที่พูดกันไปเมื่อครู่หมดแล้วเรอะ”

“ข้าไม่ได้ดื้อรั้นเสียหน่อย เพียงแต่เหตุใดต้องเป็นเขาผู้นั้นด้วยเล่า..อีกอย่าง แม้ว่าจะเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ แต่มันอาจจะไม่หนักหนาสาหัสถึงขั้นเมืองแตกเสียหน่อย..และสมมุติ..ข้าสมมุตินะว่า หากเมืองแตกจริงๆ เจ้าเมืองน้อยไม่มีวันปล่อยท่านให้ไปลำบากลำบนหรอก..เพราะฉะนั้น พวกเราก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดิ้นรนไปอาศัยหมอยาผู้นั้นเลย..หรือไม่ เราก็ลี้ภัยไปที่อื่น หรือหลบอยู่ในป่าในเขาก็ได้ ข้าตกปลา ล่าสัตว์เอามาให้ท่านทำอาหาร..แค่นี้พวกเราก็ไม่อดตายแล้ว”

เขาพยายามยกเหตุผลมาอ้าง แต่ดูเหมือนครั้งนี้ยายเฒ่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ไม่ได้หรอก เพราะข้ารับปากท่านมารุตไปแล้ว ว่าหากเกิดเรื่องเดือดร้อน ให้พาเจ้าไปหาเขาทันที..เขาจะรับช่วงดูแลและปกป้อง..ดั่งที่เคยให้สัจจะไว้กับเจ้า”

สรษดาแทบสะดุดลมหายใจ เถียงขึงขัง
“อะไรกัน เขาไม่เคยให้สัจจะอะไรกับข้าเสียหน่อย”

“แต่ครั้งล่าสุด ก่อนที่ท่านมารุตจะกลับ ท่านมากำชับเรื่องของเจ้ากับข้าเองนะ แล้วยังบอกว่า เจ้าตกปากรับคำว่าจะให้เขาดูแลแล้วด้วย”

“เมื่อไหร่ !” เด็กหนุ่มโวยวาย “ใครรับปาก ว่าจะไปอยู่กับคนพิลึกพิลั่นเช่นนั้นกันเล่า”

นางเฒ่ามีสีหน้ากังขา
“ตั้งแต่ที่ข้ารู้จักท่านหมอมา ก็นับว่านานอักโขอยู่นะ..แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นคนพิลึกอย่างที่เจ้ากล่าวหาเลย” แล้วก็หลิ่วตา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ดั่งจ้องจับผิด “หรือเขาแสดงท่าทีแปลกๆอะไรกับเจ้า เช่นนั้นเรอะ”

เด็กหนุ่มรีบส่ายใบหน้าที่กำลังร้อนวูบวาบไปมา
“เปล่า..ข้าแค่รู้สึกไม่ถูกชะตากับเขา ก็แค่นั้น”

“อพิโธ่ !” ผู้ฟังพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย “ข้าก็นึกว่าเจ้ามีเรื่องบาดหมางอะไรกันเสียอีก..จุ๊ๆ เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าต้องหัดมองผู้อื่นในแง่ดีบ้างนะ และสำหรับข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดประเสริฐไปกว่าท่านหมอแล้ว"

สรษดาเบ้ปากกับคำเยินยอ
“เฮอะ ! ท่านรู้จักเขาขนาดนั้นเชียวเรอะ”

“ใช่..เพราะตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าก็เห็นท่านหมอแล้ว..แม้จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านหมอ แต่เพราะความอ่อนโยน และไม่แบ่งว่าใครเป็นเทพ เป็นมาร ทำให้ข้ากล้าที่จะอยู่ใกล้ และคอยติดตามท่านไปเก็บสมุนไพรบ้าง ไปรักษาผู้คนตามหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตากับโลก และมนุษย์มากขึ้น”

และเพราะการติดตามหมอยาหนุ่มไปสถานที่ต่างๆ ทำให้นางได้มีโอกาสช่วยรักษาบาดแผลให้กับหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งทั้งนางและเขาต่างก็ตกหลุมรักกันทันทีเมื่อแรกเห็น และแม้ว่าเขาจะรู้ว่านางมิใช่มนุษย์ ก็มิได้ใส่ใจ ยังคงมอบความรักให้อย่างท่วมท้น

นางเฒ่างูดินหวนนึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน แต่จำต้องหลุดจากภวังค์ เมื่อเสียงของหลานชายถามอย่างตื่นเต้น

“ท่านเคยอยู่กับเขามาก่อนเรอะ..หมายความว่า..”

นางเฒ่ารีบหันมาแย้ง “ข้ากับท่านหมอไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกเจ้าเด็กบื้อ แล้วข้าก็ไม่ได้อาศัยร่วมชายคาเดียวกับเขา ข้าเพียงแค่ชอบติดตามเขาไปสถานที่ต่างๆ เท่านั้นเอง” แล้วก็เคาะหัวผู้อยากรู้อยากเห็นเบาๆ 

“อ่อ..” สรษดาพยักหน้าเข้าใจ แม้ว่าจะแสดงเหมือนไม่ใส่ใจนัก ทว่า ภายในใจกลับรู้สึกโล่งอกอย่างประหลาด และเริ่มอยากรู้เรื่องราวของหมอยาหนุ่มจอมพิลึกพิลั่นผู้นั้นมากขึ้น

“เมื่อครู่..ท่านบอกว่าหมอยาผู้นั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ แล้วท่านรู้ได้อย่างไร”

“ไม่ใช่เพียงข้าหรอกที่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ปิศาจหรือภูตชั้นต่ำทั่วไปก็สามารถรับรู้ได้ถึงผู้ที่มีญาณบารมีอันแข็งแกร่ง เพื่อหลบเลี่ยงให้ไกลจากอันตรายที่อาจจะถูกอีกฝ่ายจับกลืนกินวิญญาณ”

สรษดาคิดตาม และนึกถึงครั้งก่อนที่ตนนั้นถูกมนุษย์จับตัวไปอยู่ร่วมกับบรรดาปิศาจชั้นต่ำ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้ประกาศตัวออกไปว่าเป็นใคร แต่พวกนั้นกลับรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นเผ่าเทวา
“เป็นเช่นนี้เองเรอะ..เช่นนั้น ท่านก็รู้ตัวตนที่แท้จริงทั้งของข้าและหมอยาผู้นั้นสินะ”

“ไม่เลย” นางเฒ่าส่ายใบหน้าเชื่องช้า “แม้ว่าข้าจะสัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่มีความสามารถรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง ทำได้แค่แยกแยะว่าผู้นั้นเป็นเทพ หรือมาร จากกลิ่นของแก่นวิญญาณ ที่ไม่สามารถปิดบังได้” แล้วก็หันมาจับจ้อง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“แต่สำหรับเจ้านั้นช่างแปลกนัก ที่แก่นวิญญาณมีทั้งพลังเทพและมารผสมผสานจนแยกไม่ออก..บางครั้ง ข้าก็อยากรู้ภูมิหลัง ว่าแท้ที่จริงเจ้านั้นเป็นใครกัน
แน่..แต่เมื่อคิดอีกครั้ง หากข้ารับเจ้าเป็นหลานชาย และเจ้าก็ยอมรับในสถานะนี้แล้ว ข้าก็ไม่ปรารถนาจะรับรู้สิ่งใดอีกต่อไป เพราะผู้ที่อยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้ คือหลานชายจอมดื้อรั้นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น” แล้วก็จับมือเขาบีบเบาๆด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

“ใช่หรือไม่”

เด็กหนุ่มยิ้มรับ
“ใช่..ข้าคือหลานชายจอมดื้อรั้นของท่าน”

สองยายหลานนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องสัพเพเหระ อย่างไม่ใส่ใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ปล่อยเวลาให้เลยผ่าน สุดแท้แต่โชคชะตาจะพาไป
 
(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่