กินสมุนไพรและวิตามินมากเกินไป ตับพังไม่รู้ตัวจริงหรือ?
ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าคนไทยหันมาบริโภคสมุนไพรและวิตามินกันมากขึ้น 🌿💊 โดยเฉพาะในช่วงที่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังควบคุมไม่ได้แบบนี้ ส่งผลให้สมุนไพรไทยอย่างฟ้าทะลายโจรและกระชายขาว ถึงกับขาดตลาดเลยทีเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลายคนเชื่อว่า การบริโภคสมุนไพรและวิตามินต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ แต่รู้หรือไม่ครับว่า การบริโภคสมุนไพรและวิตามินในปริมาณที่มากเกินไปหรือต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน กลับไม่ได้ส่งผลดีอย่างที่เราหวัง หนำซ้ำยังเป็นการสร้างปัญหาให้กับตับของเราอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย 😨
แล้วการกินสมุนไพรและวิตามินส่งผลกับตับของเราอย่างไร พี่หมอจะมาเล่าให้ฟัง
สมุนไพรมีคุณ แต่ก็มีโทษเช่นกัน
สมุนไพรถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายอย่างแพร่หลาย เพราะคนทั่วไปคิดว่าสมุนไพรเป็นพืช จึงไม่น่าจะมีพิษต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริงนั้น สมุนไพรอาจก่อให้เกิดอันตรายจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (Allergic reactions)
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse effects)
👎 สมุนไพรที่ทำให้ยาที่ใช้เป็นประจำเพิ่มหรือลดระดับได้ (Herb and drug reactions)
👎 สมุนไพรที่อาจมีการปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรคในขั้นตอนการผลิต (Contamination)
👎 สมุนไพรที่อาจมีการปลอมปนสารเคมีชนิดอื่นๆ (Adulterants) โดยส่วนใหญ่มักปลอมปนมากับสเตียรอยด์
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดการเป็นพิษ (Toxic reactions) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) เคยมีมติให้ระงับการผลิตและเก็บยาสมุนไพรขี้เหล็กออกจากตลาด เนื่องจากในปี พ.ศ. 2542 มีรายงานว่า ใบขี้เหล็กในรูปแบบยาอัดเม็ดทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคาวา (Kava) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ก็ทำให้เกิดการเป็นพิษต่อตับเช่นกัน
กินวิตามินมากไป ทำลายสุขภาพ
วิตามิน มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้เป็นไปตามปกติ ซึ่งหากร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ซึ่งแหล่งที่มาของวิตามินโดยทั่วไปก็คือ อาหารและจากกระบวนการผลิตภายในร่างกาย ทำให้บางคนพยายามเพิ่มแหล่งวิตามินให้กับร่างกายด้วยการรับประทานอาหารเสริม รวมถึงวิตามินแบบอัดเม็ด อย่างไรก็ตาม หากร่างกายได้รับวิตามินมากเกินไปหรือใช้ผิดวิธี ก็อาจส่งผลเสียได้มากมาย ดังต่อไปนี้
👉
วิตามิน เอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและสามารถสะสมไว้ในร่างกายเพื่อเก็บไว้ใช้งาน แต่ถ้าได้ในปริมาณที่เกินความจำเป็นหรือเป็นระยะเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผมร่วง ตับอักเสบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
👉
วิตามิน ซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะอึดอัดในท้อง ท้องเสีย รวมถึงระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ หรือถ้าหากกินวิตามินซีติดต่อกันนานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นนิ่วในไตได้
👉
วิตามิน ดี เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด มีประโยชน์ในการยับยั้งการเกิดโรคกระดูกพรุนและลดการแตกหักของกระดูก แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในไตได้เช่นกัน
👉
วิตามิน อี ละลายได้ดีในไขมัน ใช้ในการรักษาภาวะไขมันพอกตับ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติได้
👉
สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและป้องกันเชื้อโรค และสามารถขับออกทางอุจจาระได้ ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่หมด แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ
👉
ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ช่วยลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และเกิดการเป็นพิษต่อเซลล์ ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ ในร่างกาย เช่น ตับ หัวใจ ไต ปอด ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
สมุนไพรและวิตามิน ทำให้ตับพังได้อย่างไร 🤔
ตับ จัดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสร้างกลูโคส กรดอะมิโน ไขมัน และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว รวมถึงกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย และถึงแม้ว่าตับจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ถ้าต้องทำงานหนักเกินไปหรือมีความผิดปกติเรื้อรังเกิดขึ้น ก็อาจส่งผลให้ตับถูกทำลาย และลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ซึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของตับส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเผชิญกับสารเคมีหรือสารพิษเป็นประจำ ภาวะอ้วนลงพุง รวมถึงการกินยา วิตามิน หรือสมุนไพรที่มากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น และถ้าไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ทัน ก็อาจก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และทำลายเนื้อตับได้
อย่ามองข้ามสุขภาพตับ
สำหรับประเทศไทย โรคตับเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตติด 1 ใน 10 ดังนั้น การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงดังต่อไปนี้
📌 ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ
📌 ผู้ป่วยโรคตับ หรือสงสัยว่าเป็นโรคตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบ โรคตับแข็ง
📌 ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
📌 ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
📌 ผู้ที่มีอาการตาเหลืองและตัวซีดเหลืองผิดปกติ
การตรวจสุขภาพตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (FibroScan)
การตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน เป็นเทคโนโลยีการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และสามารถตรวจซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นก็กลับบ้านได้
ผลจากการตรวจไฟโบรสแกน สามารถช่วยประเมินระดับความรุนแรงของภาวะตับแข็ง รวมถึงติดตามผล และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีตรวจ
· นอนหงาย จากนั้นยกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ
· ทาเจลที่หัวเครื่องตรวจหรือผิวหนังผู้ป่วยเล็กน้อย
· ทำการตรวจวัดบริเวณตรงกลางเนื้อตับในจุดเดียวกันทั้งหมด 10 ครั้ง
· ผลที่ได้จะเป็นค่าความแข็งของตับและค่าปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยแพทย์จะแปลผลที่ได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรักษาต่อไป
การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพตับ ควรงดน้ำ อาหารและเครื่องดื่มให้พลังงานอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือด และตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องมือแพทย์ที่ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการฝังแร่กัมมันตรังสี รวมถึงผู้ป่วยที่มีน้ำในช่องท้อง ไม่แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีนี้
แม้ผลกระทบจากการใช้สมุนไพรและวิตามินจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่องยาวนาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะสุขภาพตับ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเพื่อรักษาโรคหรือบำรุงร่างกาย พี่หมอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน หรือจะสอบถามรายละเอียดการใช้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดกับตัวเราเอง ที่สำคัญ ควรหยุดใช้ทันทีเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นนะครับ ❤️😷
กินสมุนไพรและวิตามินมากเกินไป ตับพังไม่รู้ตัวจริงหรือ?
ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าคนไทยหันมาบริโภคสมุนไพรและวิตามินกันมากขึ้น 🌿💊 โดยเฉพาะในช่วงที่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังควบคุมไม่ได้แบบนี้ ส่งผลให้สมุนไพรไทยอย่างฟ้าทะลายโจรและกระชายขาว ถึงกับขาดตลาดเลยทีเดียว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลายคนเชื่อว่า การบริโภคสมุนไพรและวิตามินต่างๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ แต่รู้หรือไม่ครับว่า การบริโภคสมุนไพรและวิตามินในปริมาณที่มากเกินไปหรือต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน กลับไม่ได้ส่งผลดีอย่างที่เราหวัง หนำซ้ำยังเป็นการสร้างปัญหาให้กับตับของเราอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย 😨
แล้วการกินสมุนไพรและวิตามินส่งผลกับตับของเราอย่างไร พี่หมอจะมาเล่าให้ฟัง
สมุนไพรมีคุณ แต่ก็มีโทษเช่นกัน
สมุนไพรถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายอย่างแพร่หลาย เพราะคนทั่วไปคิดว่าสมุนไพรเป็นพืช จึงไม่น่าจะมีพิษต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริงนั้น สมุนไพรอาจก่อให้เกิดอันตรายจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการแพ้ (Allergic reactions)
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse effects)
👎 สมุนไพรที่ทำให้ยาที่ใช้เป็นประจำเพิ่มหรือลดระดับได้ (Herb and drug reactions)
👎 สมุนไพรที่อาจมีการปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรคในขั้นตอนการผลิต (Contamination)
👎 สมุนไพรที่อาจมีการปลอมปนสารเคมีชนิดอื่นๆ (Adulterants) โดยส่วนใหญ่มักปลอมปนมากับสเตียรอยด์
👎 สมุนไพรที่ทำให้เกิดการเป็นพิษ (Toxic reactions) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) เคยมีมติให้ระงับการผลิตและเก็บยาสมุนไพรขี้เหล็กออกจากตลาด เนื่องจากในปี พ.ศ. 2542 มีรายงานว่า ใบขี้เหล็กในรูปแบบยาอัดเม็ดทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคาวา (Kava) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ก็ทำให้เกิดการเป็นพิษต่อตับเช่นกัน
👉 วิตามิน เอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและสามารถสะสมไว้ในร่างกายเพื่อเก็บไว้ใช้งาน แต่ถ้าได้ในปริมาณที่เกินความจำเป็นหรือเป็นระยะเวลานานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผมร่วง ตับอักเสบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
👉 วิตามิน ซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมได้ การรับประทานวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะอึดอัดในท้อง ท้องเสีย รวมถึงระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ หรือถ้าหากกินวิตามินซีติดต่อกันนานเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นนิ่วในไตได้
👉 วิตามิน ดี เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด มีประโยชน์ในการยับยั้งการเกิดโรคกระดูกพรุนและลดการแตกหักของกระดูก แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในไตได้เช่นกัน
👉 วิตามิน อี ละลายได้ดีในไขมัน ใช้ในการรักษาภาวะไขมันพอกตับ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติได้
👉 สังกะสี ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและป้องกันเชื้อโรค และสามารถขับออกทางอุจจาระได้ ถ้าร่างกายดูดซึมได้ไม่หมด แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ
👉 ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ช่วยลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และเกิดการเป็นพิษต่อเซลล์ ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ ในร่างกาย เช่น ตับ หัวใจ ไต ปอด ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
สมุนไพรและวิตามิน ทำให้ตับพังได้อย่างไร 🤔
ตับ จัดเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการสร้างกลูโคส กรดอะมิโน ไขมัน และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว รวมถึงกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย และถึงแม้ว่าตับจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ถ้าต้องทำงานหนักเกินไปหรือมีความผิดปกติเรื้อรังเกิดขึ้น ก็อาจส่งผลให้ตับถูกทำลาย และลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ซึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของตับส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเผชิญกับสารเคมีหรือสารพิษเป็นประจำ ภาวะอ้วนลงพุง รวมถึงการกินยา วิตามิน หรือสมุนไพรที่มากเกินไปหรือติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ซึ่งจะส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น และถ้าไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ทัน ก็อาจก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และทำลายเนื้อตับได้
อย่ามองข้ามสุขภาพตับ
สำหรับประเทศไทย โรคตับเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตติด 1 ใน 10 ดังนั้น การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงดังต่อไปนี้
📌 ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ
📌 ผู้ป่วยโรคตับ หรือสงสัยว่าเป็นโรคตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบ โรคตับแข็ง
📌 ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ
📌 ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
📌 ผู้ที่มีอาการตาเหลืองและตัวซีดเหลืองผิดปกติ
การตรวจสุขภาพตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (FibroScan)
การตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน เป็นเทคโนโลยีการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และสามารถตรวจซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นก็กลับบ้านได้
ผลจากการตรวจไฟโบรสแกน สามารถช่วยประเมินระดับความรุนแรงของภาวะตับแข็ง รวมถึงติดตามผล และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีตรวจ
· นอนหงาย จากนั้นยกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ
· ทาเจลที่หัวเครื่องตรวจหรือผิวหนังผู้ป่วยเล็กน้อย
· ทำการตรวจวัดบริเวณตรงกลางเนื้อตับในจุดเดียวกันทั้งหมด 10 ครั้ง
· ผลที่ได้จะเป็นค่าความแข็งของตับและค่าปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยแพทย์จะแปลผลที่ได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรักษาต่อไป
การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพตับ ควรงดน้ำ อาหารและเครื่องดื่มให้พลังงานอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือด และตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องมือแพทย์ที่ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการฝังแร่กัมมันตรังสี รวมถึงผู้ป่วยที่มีน้ำในช่องท้อง ไม่แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีนี้
แม้ผลกระทบจากการใช้สมุนไพรและวิตามินจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่องยาวนาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะสุขภาพตับ ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเพื่อรักษาโรคหรือบำรุงร่างกาย พี่หมอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน หรือจะสอบถามรายละเอียดการใช้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดกับตัวเราเอง ที่สำคัญ ควรหยุดใช้ทันทีเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นนะครับ ❤️😷