.
“เค้าขอกอดหน่อย” พูดจบประโยคก็ถลาเข้าสวมกอดเมธีไว้แน่น ๆ นาน ๆ จนกว่าจะพอใจ ชาร์จพลังวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน วันอะไรก็ไม่รู้ที่ต้องเจอคนแบบนั้นและเรื่องเสียสุขภาพจิตแบบนั้นด้วย
เขาเลิกงานก่อนพรนภาทุกวัน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ส่องดูเป็นภรรยาสุดที่รักกลับมาแล้ว จึงรีบเปิดให้ทันที พอเปิดประตูต้อนรับไม่ทันได้ทำอะไรพรนภาก็เข้ามาซบตนเองแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย กอดเอาไว้เงียบ ๆ เนิ่นนานไม่พูดอะไร เขาเอื้อมมือสวมกอดตอบ ดมศีรษะของพรนภาเบา ๆ โดยไม่สนใจเจ้าของห้องอื่นเดินผ่าน หรือกล้องวงจรปิดจะเห็นสักนิด
“เป็นอะไรคะ ฮึ บอกพี่ได้มั้ย น้องเป็นอะไร” ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตู พรนภายังกอดและซบเขาเอาไว้อยู่อย่างนั้น “เข้าห้องก่อนมั้ย ปิดประตูก่อน แล้วบอกพี่ได้มั้ยว่าเป็นอะไร”
พรนภาผละออกจากตัวเมธี จ้องใบหน้าใสสะอาด คมคาย เต็มไปด้วยไรหนวดนิดหน่อยด้วยดวงตาเศร้า มีเรื่องมากมายอยู่ภายในใจ ที่มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่าก็รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเจอแววตาที่ห่วงใยคู่นี้ คู่ที่คุ้นเคยของเมธี เผยยิ้มให้ก่อนจะตอบผู้เป็นสามี
“ไม่มีอะไรค่ะ นภาแค่เหนื่อยเฉย ๆ ปิดประตูเหอะ” ตอบปฏิเสธไป เมธียิ้มตอบกลับมาเช่นกัน เลิกคิ้วให้ก่อนจะเอื้อมมือดึงประตูปิดห้อง ส่วนพรนภาวางกระเป๋าทำงานไว้ที่โต๊ะมุมห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งชุดทำงานเลย
“ไหนเราบอกกันว่ามีเรื่องอะไรคุยกันไง น้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพี่มาหน่อยได้ไหม ไม่อยากเห็นคนหน้างอ อยากเห็นคนยิ้มร่าเริงมากกว่านะคะ” เขาตามมานั่งลงที่เตียงนอน เอนกายนอนลงไปจูบปอยผมบริเวณหน้าผากของพรนภาเบา ๆ พยายามพูดหาเหตุผล ทำไมจะดูไม่ออกว่าพรนภากำลังรู้สึกไม่โอเคกับอะไรบางอย่างมา “มีปัญหากับที่ทำงานเหรอ”
คนโดนซักถามไม่ตอบ ทำเพียงพยักหน้าให้ “โถ่ มันเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย มันร้ายแรงมากจนน้องต้องเศร้าขนาดนี้เลยเหรอคะ ฮึ คนเก่งของพี่” แม้ในใจจะอยากขอร้องให้ลาออกสักเพียงใดก็ไม่พูด เพราะเธอยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าอย่างไรเสียก็ไม่ลาออก จึงไม่อยากพูดให้มากความ
“มีปัญหากับลูกค้านิดหน่อยค่ะ” ตะแคงพลิกตัวคว้าร่างกำยำของสามีมากอดไว้อีก น้ำใส ๆ เริ่มไหลออกจากตา ไม่รู้ว่ามันเป็นความเสียใจ ความโกรธ หรืออะไร เพียงแต่มันรู้สึกอยากร้องไห้จึงร้องออกมาเพียงเท่านั้น หัวหน้าก็ไม่ได้ดุหรือด่าอะไร ออกจะเห็นใจและเข้าข้างด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายพูดเหตุผลไปเท่าไหร่ คนผิดก็เป็นพนักงานอยู่ดี
“ลาออกมั้ย” ลองเชิงถามดู “ร้องไห้ทำไมคะเนี่ย โอ๋ ! โดนด่าขนาดนั้นเลยเหรอ ใครด่า พี่ออร์ดี้ด่าเหรอ หรือใคร “ นอนกอดพรนภาเอาไว้อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ร้องไห้ออกมาได้ตามใจ เผื่อความรู้สึกของเจ้าตัวจะดีขึ้นมาบ้าง
“ไม่ ๆ ! พี่ออไม่ได้ด่านภา ไม่มีใครด่า นอกจากลูกค้า อี่นั่น ! ช่างมันเถอะ “ เช็ดน้ำตาออกให้หมด นึกตลกตัวเองก็มิปาน ร้องไห้ทำไมแต่มันห้ามน้ำตาไม่ได้จริง ๆ ทำไมเธอถึงเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ รีบเช็ดน้ำตาออกให้หมด จะร้องทำไมให้ปวดเบ้าตา ปวดหัว ซึ่งตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวร้อนเบา ๆ เวลาร้องไห้ แค่เรื่องแค่นี้นึกโกรธตัวเองชะมัด
“ถ้ามีที่ไปนภาก็อยากไปอยู่นะคะ มาเจอแบบนี้ก็ไม่โอเค อธิบายอะไรไป รับฟังนะ แต่สุดท้ายพนักงานก็ผิดอยู่ดี เพราะเขาคือผู้มีอุปการะคุณ นี่คือคำพูดของหัวหน้าพี่ออร์ดี้ “ เธอเล่าขณะนี้เช็ดน้ำตาออกหมดแล้ว
เมธีกระตุกยิ้มนิดหน่อย ถึงจะเห็นใจห่วงความรู้สึกภรรยาในตอนนี้ ทว่ามันก็ถูกใจตนเองอยู่ไม่น้อย ที่จะให้พรนภาไปจากตรงนี้สักที ความจริงไม่อยากให้ออกไปทำงานตะลอน ๆ เสียด้วยซ้ำ แค่เมียคนเดียวตนเองเลี้ยงได้ พร้อมลูก ๆ มาเป็นโขยงก็ยังได้เลย แสยะยิ้มโดยที่พรนภาไม่เห็นเพราะกอดเอาไว้อยู่
“พี่มีที่ให้ทำอยู่ที่หนึ่ง ถ้าน้องไม่อยากอยู่เฉย ๆ น่ะ ถ้าอยากทำพี่ก็จะลาออกจากที่นี่ เรากลับบ้านกัน” สิ้นสุดคำพูดของเขาพรนภาขยับตัว พลิกหันหน้ามามองสามี แววตาและสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย แม้ดวงตาจะแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ “ส่วนคอนโดนี้พี่ก็จะปล่อยเช่า เอาไว้เป็นบ้านพักตากอากาศของเราไง เวลาพาลูกมาเที่ยวทะเล เป็นไงเข้าท่ามั้ย”
“แล้วพี่เมธีจะกลับไปทำอะไรอ่ะ ทำงานอะไรถ้าเกิดกลับไปอยู่บ้าน “ ถามด้วยความสนใจ เพราะจิตใจของตนเองตอนนี้พร้อมไปมาก ๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเมธีจะกลับไปทำอะไร คงไม่กลับไปนอนอยู่บ้านเฉย ๆ หรอกนะ
ยิ้มให้ภรรยาคราวลูกด้วยความห่วงใยปนเอ็นดู ห่วงอะไรกันแน่เนี่ย ห่วงว่าเขาจะไม่มีงานทำหรือห่วงความลำบาก ไม่มีทางจะให้เธอลำบากหรอก เด็กน้อยเอ๋ย นึกในใจปรายตามองคนตรงหน้า ใบหน้าอวบอิ่ม ปากนิดจมูกหน่อย มองแล้วช่างอยากจูบไปอีกทีเหลือเกิน
“ทำนาไงคะ พูดแล้วจะหาว่าคุย อ้ายเฮ็ดนากะเป็นเด๊ะหล่า ที่แน่ ๆ มันบ่ได้ใช่ควายไถนากะแล้วกันล่ะ กลับไปเฮ็ดนาเป็นมูพ่อเฒ่า ฮา สูบยาแข่งกันเทิงคันแทนาบาดหนิ “ พูดกลั้วหัวเราะ คราวนี้พรนภาหัวเราะออกมาได้
“หืย ! คัก ! ขั้นได้เว้านั่นนะ โพด ! “ ปรายตามองด้วยความหมั่นไส้นัก “ไหนบอกจะเลิกบุหรี่ ! “
“อ่อ ๆ ! กำลังเลิกอยู่ครับ กำลัง ! ฮา เค้าก็ดูดน้อยลงแล้วนะตัวเอง”
“หืย ! หน่าย ! “ ไม่อยากจะเชื่อสักนิด “ว่าแต่ ว่าไปหลายพี่เมธีเรื่องจะทำนา สั่นบ่ไปหรอก เฮ็ดงานต่อไปนี่ล่ะ “ พูดกลั้วยิ้ม จะไปทำนา ! ไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไรเลย ทว่ามอง ๆ ดูแล้วไม่น่ารอด
ตอนนี้หายเศร้าไปชั่วขณะ หันมาให้ความสนใจเรื่องของสามีดีกว่า พวกเธอสองคนนั่งคุยกันยังไม่ถอดชุดทำงานออกเลย และ ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรต่อ จะออกกำลังกายหรือจะทานข้าว ยังไม่คิดจะทำ อยากคุยเรื่องเมื่อครู่ที่เมธีพูดมากกว่า
“เอ๋า… น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอกค่ะ ว่าแต่น้องน่ะอยากทำมั้ย เงินเก็บพี่มีมากพอที่จะลงทุนทำสวนค่ะ และลงทุนให้น้องทำงานด้วย พี่คงไม่ไปหาสมัครงานใหม่อ่ะ ฮา ผีบ้าเอ้ย ! คิดอะไรอยู่” เขาหัวเราะให้เธอ โดนเคาะศีรษะไปหนึ่งทีด้วย “ทำนานี่ล่ะ พี่อยากทำบ้านสวนแหมะ อยากปลูกผัก ผลไม้อะไรแบบนี้ เบื่อที่นี่เหมือนกัน ซื้อบ้านน็อกดาวน์สักหลัง เขียนป้ายว่าบ้านสวนสิมะสุววรณเป็นไง” เขายกยิ้มขึ้นข้างหนึ่ง หยักคิ้วให้ด้วย
“เลิศค่ะ “ พรนภาเห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ แต่ก็อยากรู้ว่างานที่สามีจะให้ทำคืองานอะไร “แล้วงานที่จะให้นภาไปทำอ่ะ” เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม
“อ่อ งานเทศบาลนี่ล่ะ ญาติพ่อพี่เขาติดต่อมามีตำแหน่งว่างอยู่ ถามว่าน้องนภาอยากทำมั้ย ถ้าไม่อยากทำจะให้คนอื่น แม่พี่ก็เลยโทรถาม แม่ก็อยากให้น้องทำนะ แม่อยากให้กลับไปอยู่บ้านด้วยแหมะ แกแก่แล้ว” เขาอธิบาย
“มันต้องมีค่าน้ำชาด้วยแน่เลย ใช่มั้ย !” พูดแบบเอือมระอา มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“นิดหน่อยน่า แม่กับพี่มีให้น้องอยู่แล้ว ถ้าน้องอยากทำ แต่ว่าพี่ก็อยากกลับไปอยู่บ้านนะนภา ได้อยู่ใกล้แม่อยู่ใกล้ลูกด้วย “ สีหน้าและแววตาดูออดอ้อนเหลือเกิน
“อยู่ใกล้เมียด้วยมั้ย !” แอบพูดประชด หมายถึงแม่ของลูก
“ก็อยู่ใกล้ ๆ เมียด้วยนี่ไง โถ่ ! เค้าก็รักของเค้าคนเดียวอยู่ทุกวี่ทุกวัน จะให้ไปสนใจใครเล่า “ ไม่พูดเฉยขยับเข้ามากอดพรนภาหอมไปหนึ่งทีก่อนจะปล่อยและพูดต่อ “พี่ทำสวน น้องไปเป็นครูสอนเด็กเล็ก ๆ น่ะ ที่เทศบาล อยากเป็นมั้ยคะ ถ้าทำพี่จะตอบตกลง”
พรนภาพยักหน้าตอบรับ “แต่… ถ้าค่าน้ำชาเยอะไปก็ไม่ทำนะ เสียดายตังค์ ไปทำก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า อยู่กับเด็ก ๆ อยู่ได้ แต่ผู้ใหญ่น่ะสิ กลัวทำงานร่วมกับเขาไม่ได้” พูดด้วยความกังวล เพราะทราบนิสัยตนเองดีว่าเป็นอย่างไร
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่กันพอ ๆ กับที่ทำงานน้องล่ะ อย่างมากก็ไม่เกินสี่คน อะไรที่น้องสบายเมธีคนนี้พร้อมเปย์ บู้ย ! ฮา ถ้าทำไม่ได้ก็ออกมาทำนาด้วยกันหนิล่ะเฮา “ เขาพูดปนหัวเราะ ทำเอาเธอหัวเราะตามไปด้วย ตอบตกลงว่าจะกลับไปอยู่บ้านกัน ถ้าทุกอย่างลงตัว
“โห่ถ้าได้ลงทุนปานนั้นแล้ว นภาก็ต้องทำได้มั้ย อดทนให้ถึงที่สุดล่ะ ว่าแต่ขอให้เป็นอย่างที่พูดเหอะ คุยกันดี ๆ เด้อ โดนหลอกเสียเปล่ามาก็หลายคนแล้วนะ”
“คร๊าบ ! แน่นอนอยู่แล้วล่ะเรื่องนั้น ไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำเถอะค่ะ ออกกำลังกายมั้ยวันนี้”
“ม่าย ! เค้าเหนื่อย พรุ่งนี้หยุดด้วย ไม่มีแรงจะทำงาน อยากทานเตี๋ยวอ่ะ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นไปเปลี่ยนชุดทำงานเลย เราออกไปทานเตี๋ยวกัน”
“ค่ะ”
พูดจบสาวเจ้าก็เดินไปถอดชุดทำงานออกทิ้งใส่ลงในตะกร้าเตรียมซัก ถอดต่อหน้าต่อตาสามีคราวพ่อ โชว์เรือนร่างอวบอั๋น เอวคอด ผิวขาวเนียนผ่องไม่สนใจว่าคนร่วมห้องจะคิดเช่นไร
“ไม่กินแล้วค่ะก๋วยเตี๋ยว จะกินอย่างอื่นแทน หื้ย ! “ ฟึดฟัดด้วยท่าทางตลก
พรนภาหัวเราะ “หยุดเลย ไปทานข้าว เสร็จแล้วเนี่ย” พอโดนอ่านกินเธอก็รีบสวมสุดลำลองทันที จากนั้นก็ออกไปร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ ไปทานจนเจ้าของร้านคุ้นหน้า จำหน้าได้ พอไปถึงไม่ต้องสั่งเลย เจ้าของร้านทราบดีว่าแต่ละคนทานอะไร แต่ก็ถามก่อนเผื่อวันนี้อยากเปลี่ยนเส้น
“เหมือนเดิมครับ ทั้งสองคนเลย” เมธีไม่ยอมแทนตัวเองว่าน้องหรือพี่ ไม่แน่ใจว่าตนเองหรือพ่อค้าอายุน้อยกว่ากัน ดู ๆ แล้วพ่อค้าท่าทางจะอายุน้อยกว่า
“ครับ เหมือนเดิม” พ่อค้าหันมาสั่งลูกมือ ซึ่งก็คือภรรยาของตนนั่นเอง ทั้งสองนั่งรอก๋วยเตี๋ยว พูดคุยกันถึงเรื่องงานที่บ้าน ไม่พูดถึงเรื่องงานวันนี้ที่นี่ของเธอ ไม่อยากให้เก็บมาคิดเก็บมาใส่ใจ บรรยากาศเสียงดังไปด้วยรถลาที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าที่มานั่งทานในร้าน “มาแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ” พรนภาหันมาขอบคุณพ่อค้า พร้อมรับถ้วยก๋วยเตี๋ยวในมือด้วย ทั้งสองคนลงมือปรุงทันควันด้วยความหิว เมธีปรายตามองยิ้มปนหัวเราะให้ “อะไร ! ยิ้มอะไรพี่เมธี เค้าก็ชอบกินแบบนี้อ่ะ ฮ่วย… จ้องอยู่ได้” ทำหน้างอให้คนตรงหน้าที่ชอบมองเวลาปรุงอะไรก็แล้วแต่เวลาทานเมนูน้ำ ๆ
“เอ๋า… มองเฉย ๆ แหมะ น้องก็ปรุงไปดิ ชอบรสไหนก็ปรุงรสนั่นแหละ เค้าขอสองถ้วยเหมือนเดิมนะคะ”
“ตามสบายจ้า” หยักคิ้วให้เมธี ทั้งสองทานไปเม้าท์ไป ไม่สนใจสายตาของคนในร้าน ส่วนเจ้าของร้านชินเสียแล้ว ยิ้มให้เสมอ ๆ เมื่อมองมา บ้างก็เผลอคุยถึงเรื่องวันนี้ นึก ๆ ไปก็ตลก ทำไมต้องร้องไห้ ร้องเพราะอะไร ตนเองยังไม่เข้าใจเลยว่าโกรธลูกค้าหรืองอนหัวหน้าของหัวหน้าอีกทีกันแน่ แต่ช่างมันเถอะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หวังใจเป็นอย่างมากว่าจะได้กลับไปอยู่บ้านมากกว่า…
ฝันหวาน (Sweet Dream) 48
.
“เค้าขอกอดหน่อย” พูดจบประโยคก็ถลาเข้าสวมกอดเมธีไว้แน่น ๆ นาน ๆ จนกว่าจะพอใจ ชาร์จพลังวันนี้เหนื่อยเหลือเกิน วันอะไรก็ไม่รู้ที่ต้องเจอคนแบบนั้นและเรื่องเสียสุขภาพจิตแบบนั้นด้วย
เขาเลิกงานก่อนพรนภาทุกวัน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ส่องดูเป็นภรรยาสุดที่รักกลับมาแล้ว จึงรีบเปิดให้ทันที พอเปิดประตูต้อนรับไม่ทันได้ทำอะไรพรนภาก็เข้ามาซบตนเองแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย กอดเอาไว้เงียบ ๆ เนิ่นนานไม่พูดอะไร เขาเอื้อมมือสวมกอดตอบ ดมศีรษะของพรนภาเบา ๆ โดยไม่สนใจเจ้าของห้องอื่นเดินผ่าน หรือกล้องวงจรปิดจะเห็นสักนิด
“เป็นอะไรคะ ฮึ บอกพี่ได้มั้ย น้องเป็นอะไร” ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตู พรนภายังกอดและซบเขาเอาไว้อยู่อย่างนั้น “เข้าห้องก่อนมั้ย ปิดประตูก่อน แล้วบอกพี่ได้มั้ยว่าเป็นอะไร”
พรนภาผละออกจากตัวเมธี จ้องใบหน้าใสสะอาด คมคาย เต็มไปด้วยไรหนวดนิดหน่อยด้วยดวงตาเศร้า มีเรื่องมากมายอยู่ภายในใจ ที่มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่าก็รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเจอแววตาที่ห่วงใยคู่นี้ คู่ที่คุ้นเคยของเมธี เผยยิ้มให้ก่อนจะตอบผู้เป็นสามี
“ไม่มีอะไรค่ะ นภาแค่เหนื่อยเฉย ๆ ปิดประตูเหอะ” ตอบปฏิเสธไป เมธียิ้มตอบกลับมาเช่นกัน เลิกคิ้วให้ก่อนจะเอื้อมมือดึงประตูปิดห้อง ส่วนพรนภาวางกระเป๋าทำงานไว้ที่โต๊ะมุมห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งชุดทำงานเลย
“ไหนเราบอกกันว่ามีเรื่องอะไรคุยกันไง น้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพี่มาหน่อยได้ไหม ไม่อยากเห็นคนหน้างอ อยากเห็นคนยิ้มร่าเริงมากกว่านะคะ” เขาตามมานั่งลงที่เตียงนอน เอนกายนอนลงไปจูบปอยผมบริเวณหน้าผากของพรนภาเบา ๆ พยายามพูดหาเหตุผล ทำไมจะดูไม่ออกว่าพรนภากำลังรู้สึกไม่โอเคกับอะไรบางอย่างมา “มีปัญหากับที่ทำงานเหรอ”
คนโดนซักถามไม่ตอบ ทำเพียงพยักหน้าให้ “โถ่ มันเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย มันร้ายแรงมากจนน้องต้องเศร้าขนาดนี้เลยเหรอคะ ฮึ คนเก่งของพี่” แม้ในใจจะอยากขอร้องให้ลาออกสักเพียงใดก็ไม่พูด เพราะเธอยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าอย่างไรเสียก็ไม่ลาออก จึงไม่อยากพูดให้มากความ
“มีปัญหากับลูกค้านิดหน่อยค่ะ” ตะแคงพลิกตัวคว้าร่างกำยำของสามีมากอดไว้อีก น้ำใส ๆ เริ่มไหลออกจากตา ไม่รู้ว่ามันเป็นความเสียใจ ความโกรธ หรืออะไร เพียงแต่มันรู้สึกอยากร้องไห้จึงร้องออกมาเพียงเท่านั้น หัวหน้าก็ไม่ได้ดุหรือด่าอะไร ออกจะเห็นใจและเข้าข้างด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายพูดเหตุผลไปเท่าไหร่ คนผิดก็เป็นพนักงานอยู่ดี
“ลาออกมั้ย” ลองเชิงถามดู “ร้องไห้ทำไมคะเนี่ย โอ๋ ! โดนด่าขนาดนั้นเลยเหรอ ใครด่า พี่ออร์ดี้ด่าเหรอ หรือใคร “ นอนกอดพรนภาเอาไว้อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ร้องไห้ออกมาได้ตามใจ เผื่อความรู้สึกของเจ้าตัวจะดีขึ้นมาบ้าง
“ไม่ ๆ ! พี่ออไม่ได้ด่านภา ไม่มีใครด่า นอกจากลูกค้า อี่นั่น ! ช่างมันเถอะ “ เช็ดน้ำตาออกให้หมด นึกตลกตัวเองก็มิปาน ร้องไห้ทำไมแต่มันห้ามน้ำตาไม่ได้จริง ๆ ทำไมเธอถึงเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ รีบเช็ดน้ำตาออกให้หมด จะร้องทำไมให้ปวดเบ้าตา ปวดหัว ซึ่งตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวร้อนเบา ๆ เวลาร้องไห้ แค่เรื่องแค่นี้นึกโกรธตัวเองชะมัด
“ถ้ามีที่ไปนภาก็อยากไปอยู่นะคะ มาเจอแบบนี้ก็ไม่โอเค อธิบายอะไรไป รับฟังนะ แต่สุดท้ายพนักงานก็ผิดอยู่ดี เพราะเขาคือผู้มีอุปการะคุณ นี่คือคำพูดของหัวหน้าพี่ออร์ดี้ “ เธอเล่าขณะนี้เช็ดน้ำตาออกหมดแล้ว
เมธีกระตุกยิ้มนิดหน่อย ถึงจะเห็นใจห่วงความรู้สึกภรรยาในตอนนี้ ทว่ามันก็ถูกใจตนเองอยู่ไม่น้อย ที่จะให้พรนภาไปจากตรงนี้สักที ความจริงไม่อยากให้ออกไปทำงานตะลอน ๆ เสียด้วยซ้ำ แค่เมียคนเดียวตนเองเลี้ยงได้ พร้อมลูก ๆ มาเป็นโขยงก็ยังได้เลย แสยะยิ้มโดยที่พรนภาไม่เห็นเพราะกอดเอาไว้อยู่
“พี่มีที่ให้ทำอยู่ที่หนึ่ง ถ้าน้องไม่อยากอยู่เฉย ๆ น่ะ ถ้าอยากทำพี่ก็จะลาออกจากที่นี่ เรากลับบ้านกัน” สิ้นสุดคำพูดของเขาพรนภาขยับตัว พลิกหันหน้ามามองสามี แววตาและสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย แม้ดวงตาจะแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ “ส่วนคอนโดนี้พี่ก็จะปล่อยเช่า เอาไว้เป็นบ้านพักตากอากาศของเราไง เวลาพาลูกมาเที่ยวทะเล เป็นไงเข้าท่ามั้ย”
“แล้วพี่เมธีจะกลับไปทำอะไรอ่ะ ทำงานอะไรถ้าเกิดกลับไปอยู่บ้าน “ ถามด้วยความสนใจ เพราะจิตใจของตนเองตอนนี้พร้อมไปมาก ๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเมธีจะกลับไปทำอะไร คงไม่กลับไปนอนอยู่บ้านเฉย ๆ หรอกนะ
ยิ้มให้ภรรยาคราวลูกด้วยความห่วงใยปนเอ็นดู ห่วงอะไรกันแน่เนี่ย ห่วงว่าเขาจะไม่มีงานทำหรือห่วงความลำบาก ไม่มีทางจะให้เธอลำบากหรอก เด็กน้อยเอ๋ย นึกในใจปรายตามองคนตรงหน้า ใบหน้าอวบอิ่ม ปากนิดจมูกหน่อย มองแล้วช่างอยากจูบไปอีกทีเหลือเกิน
“ทำนาไงคะ พูดแล้วจะหาว่าคุย อ้ายเฮ็ดนากะเป็นเด๊ะหล่า ที่แน่ ๆ มันบ่ได้ใช่ควายไถนากะแล้วกันล่ะ กลับไปเฮ็ดนาเป็นมูพ่อเฒ่า ฮา สูบยาแข่งกันเทิงคันแทนาบาดหนิ “ พูดกลั้วหัวเราะ คราวนี้พรนภาหัวเราะออกมาได้
“หืย ! คัก ! ขั้นได้เว้านั่นนะ โพด ! “ ปรายตามองด้วยความหมั่นไส้นัก “ไหนบอกจะเลิกบุหรี่ ! “
“อ่อ ๆ ! กำลังเลิกอยู่ครับ กำลัง ! ฮา เค้าก็ดูดน้อยลงแล้วนะตัวเอง”
“หืย ! หน่าย ! “ ไม่อยากจะเชื่อสักนิด “ว่าแต่ ว่าไปหลายพี่เมธีเรื่องจะทำนา สั่นบ่ไปหรอก เฮ็ดงานต่อไปนี่ล่ะ “ พูดกลั้วยิ้ม จะไปทำนา ! ไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไรเลย ทว่ามอง ๆ ดูแล้วไม่น่ารอด
ตอนนี้หายเศร้าไปชั่วขณะ หันมาให้ความสนใจเรื่องของสามีดีกว่า พวกเธอสองคนนั่งคุยกันยังไม่ถอดชุดทำงานออกเลย และ ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรต่อ จะออกกำลังกายหรือจะทานข้าว ยังไม่คิดจะทำ อยากคุยเรื่องเมื่อครู่ที่เมธีพูดมากกว่า
“เอ๋า… น้องไม่ต้องห่วงพี่หรอกค่ะ ว่าแต่น้องน่ะอยากทำมั้ย เงินเก็บพี่มีมากพอที่จะลงทุนทำสวนค่ะ และลงทุนให้น้องทำงานด้วย พี่คงไม่ไปหาสมัครงานใหม่อ่ะ ฮา ผีบ้าเอ้ย ! คิดอะไรอยู่” เขาหัวเราะให้เธอ โดนเคาะศีรษะไปหนึ่งทีด้วย “ทำนานี่ล่ะ พี่อยากทำบ้านสวนแหมะ อยากปลูกผัก ผลไม้อะไรแบบนี้ เบื่อที่นี่เหมือนกัน ซื้อบ้านน็อกดาวน์สักหลัง เขียนป้ายว่าบ้านสวนสิมะสุววรณเป็นไง” เขายกยิ้มขึ้นข้างหนึ่ง หยักคิ้วให้ด้วย
“เลิศค่ะ “ พรนภาเห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ แต่ก็อยากรู้ว่างานที่สามีจะให้ทำคืองานอะไร “แล้วงานที่จะให้นภาไปทำอ่ะ” เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม
“อ่อ งานเทศบาลนี่ล่ะ ญาติพ่อพี่เขาติดต่อมามีตำแหน่งว่างอยู่ ถามว่าน้องนภาอยากทำมั้ย ถ้าไม่อยากทำจะให้คนอื่น แม่พี่ก็เลยโทรถาม แม่ก็อยากให้น้องทำนะ แม่อยากให้กลับไปอยู่บ้านด้วยแหมะ แกแก่แล้ว” เขาอธิบาย
“มันต้องมีค่าน้ำชาด้วยแน่เลย ใช่มั้ย !” พูดแบบเอือมระอา มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“นิดหน่อยน่า แม่กับพี่มีให้น้องอยู่แล้ว ถ้าน้องอยากทำ แต่ว่าพี่ก็อยากกลับไปอยู่บ้านนะนภา ได้อยู่ใกล้แม่อยู่ใกล้ลูกด้วย “ สีหน้าและแววตาดูออดอ้อนเหลือเกิน
“อยู่ใกล้เมียด้วยมั้ย !” แอบพูดประชด หมายถึงแม่ของลูก
“ก็อยู่ใกล้ ๆ เมียด้วยนี่ไง โถ่ ! เค้าก็รักของเค้าคนเดียวอยู่ทุกวี่ทุกวัน จะให้ไปสนใจใครเล่า “ ไม่พูดเฉยขยับเข้ามากอดพรนภาหอมไปหนึ่งทีก่อนจะปล่อยและพูดต่อ “พี่ทำสวน น้องไปเป็นครูสอนเด็กเล็ก ๆ น่ะ ที่เทศบาล อยากเป็นมั้ยคะ ถ้าทำพี่จะตอบตกลง”
พรนภาพยักหน้าตอบรับ “แต่… ถ้าค่าน้ำชาเยอะไปก็ไม่ทำนะ เสียดายตังค์ ไปทำก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า อยู่กับเด็ก ๆ อยู่ได้ แต่ผู้ใหญ่น่ะสิ กลัวทำงานร่วมกับเขาไม่ได้” พูดด้วยความกังวล เพราะทราบนิสัยตนเองดีว่าเป็นอย่างไร
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่กันพอ ๆ กับที่ทำงานน้องล่ะ อย่างมากก็ไม่เกินสี่คน อะไรที่น้องสบายเมธีคนนี้พร้อมเปย์ บู้ย ! ฮา ถ้าทำไม่ได้ก็ออกมาทำนาด้วยกันหนิล่ะเฮา “ เขาพูดปนหัวเราะ ทำเอาเธอหัวเราะตามไปด้วย ตอบตกลงว่าจะกลับไปอยู่บ้านกัน ถ้าทุกอย่างลงตัว
“โห่ถ้าได้ลงทุนปานนั้นแล้ว นภาก็ต้องทำได้มั้ย อดทนให้ถึงที่สุดล่ะ ว่าแต่ขอให้เป็นอย่างที่พูดเหอะ คุยกันดี ๆ เด้อ โดนหลอกเสียเปล่ามาก็หลายคนแล้วนะ”
“คร๊าบ ! แน่นอนอยู่แล้วล่ะเรื่องนั้น ไปเปลี่ยนชุดอาบน้ำเถอะค่ะ ออกกำลังกายมั้ยวันนี้”
“ม่าย ! เค้าเหนื่อย พรุ่งนี้หยุดด้วย ไม่มีแรงจะทำงาน อยากทานเตี๋ยวอ่ะ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นไปเปลี่ยนชุดทำงานเลย เราออกไปทานเตี๋ยวกัน”
“ค่ะ”
พูดจบสาวเจ้าก็เดินไปถอดชุดทำงานออกทิ้งใส่ลงในตะกร้าเตรียมซัก ถอดต่อหน้าต่อตาสามีคราวพ่อ โชว์เรือนร่างอวบอั๋น เอวคอด ผิวขาวเนียนผ่องไม่สนใจว่าคนร่วมห้องจะคิดเช่นไร
“ไม่กินแล้วค่ะก๋วยเตี๋ยว จะกินอย่างอื่นแทน หื้ย ! “ ฟึดฟัดด้วยท่าทางตลก
พรนภาหัวเราะ “หยุดเลย ไปทานข้าว เสร็จแล้วเนี่ย” พอโดนอ่านกินเธอก็รีบสวมสุดลำลองทันที จากนั้นก็ออกไปร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ ไปทานจนเจ้าของร้านคุ้นหน้า จำหน้าได้ พอไปถึงไม่ต้องสั่งเลย เจ้าของร้านทราบดีว่าแต่ละคนทานอะไร แต่ก็ถามก่อนเผื่อวันนี้อยากเปลี่ยนเส้น
“เหมือนเดิมครับ ทั้งสองคนเลย” เมธีไม่ยอมแทนตัวเองว่าน้องหรือพี่ ไม่แน่ใจว่าตนเองหรือพ่อค้าอายุน้อยกว่ากัน ดู ๆ แล้วพ่อค้าท่าทางจะอายุน้อยกว่า
“ครับ เหมือนเดิม” พ่อค้าหันมาสั่งลูกมือ ซึ่งก็คือภรรยาของตนนั่นเอง ทั้งสองนั่งรอก๋วยเตี๋ยว พูดคุยกันถึงเรื่องงานที่บ้าน ไม่พูดถึงเรื่องงานวันนี้ที่นี่ของเธอ ไม่อยากให้เก็บมาคิดเก็บมาใส่ใจ บรรยากาศเสียงดังไปด้วยรถลาที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าที่มานั่งทานในร้าน “มาแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ” พรนภาหันมาขอบคุณพ่อค้า พร้อมรับถ้วยก๋วยเตี๋ยวในมือด้วย ทั้งสองคนลงมือปรุงทันควันด้วยความหิว เมธีปรายตามองยิ้มปนหัวเราะให้ “อะไร ! ยิ้มอะไรพี่เมธี เค้าก็ชอบกินแบบนี้อ่ะ ฮ่วย… จ้องอยู่ได้” ทำหน้างอให้คนตรงหน้าที่ชอบมองเวลาปรุงอะไรก็แล้วแต่เวลาทานเมนูน้ำ ๆ
“เอ๋า… มองเฉย ๆ แหมะ น้องก็ปรุงไปดิ ชอบรสไหนก็ปรุงรสนั่นแหละ เค้าขอสองถ้วยเหมือนเดิมนะคะ”
“ตามสบายจ้า” หยักคิ้วให้เมธี ทั้งสองทานไปเม้าท์ไป ไม่สนใจสายตาของคนในร้าน ส่วนเจ้าของร้านชินเสียแล้ว ยิ้มให้เสมอ ๆ เมื่อมองมา บ้างก็เผลอคุยถึงเรื่องวันนี้ นึก ๆ ไปก็ตลก ทำไมต้องร้องไห้ ร้องเพราะอะไร ตนเองยังไม่เข้าใจเลยว่าโกรธลูกค้าหรืองอนหัวหน้าของหัวหน้าอีกทีกันแน่ แต่ช่างมันเถอะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หวังใจเป็นอย่างมากว่าจะได้กลับไปอยู่บ้านมากกว่า…