JJNY : 4in1 หมอธีระจี้หาวัคซีนmRNA│ฟิทช์หั่นจีดีพีเหลือ1.8%│เห็นชอบร่างแก้รธน.กลุ่มRe-Solution│กมธ.ปปช.เชิญแจงปมบ้านพัก

หมอธีระ แนะ รบ.-ศบค. เปลี่ยนวิธีคิด จี้หาวัคซีน mRNA-นายกฯ ยกหูเจรจาวัคซีนเอง
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2791463
 
หมอธีระ แนะ รบ.-ศบค. เปลี่ยนวิธีคิด จี้หาวัคซีน mRNA-นายกฯ ยกหูเจรจาวัคซีนเอง

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ถึง ทางออกวิกฤตวัคซีนและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ระบุว่า

23 มิถุนายน 2564

ทางออกวิกฤตวัคซีนและการระบาด…
หนึ่ง ศบค.ควรทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลัก ในการพิจารณาวางแผน และดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัคซีนเอง โดยมิต้องให้ผ่านกระบวนการของกระทรวงและหน่วยงานอื่นในระบบปกติ เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ช่วงที่ผ่านมา กระบวนการต่างๆ ตามระบบปกติในหน่วยงานระดับกระทรวงและองค์กรภายใต้กำกับรัฐนั้นมีความช้า และไม่ทันต่อความต้องการจำเป็นในภาวะวิกฤต
 
สอง ปรับแผนการจัดซื้อจัดหาวัคซีนใหม่ โดยมุ่งเน้นการจัดหาวัคซีน mRNA มาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักฐานวิชาการสากลและแนวปฏิบัติที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินการด้วยเหตุผลเชิงประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการป้องกันโรคและป้องกันการติดเชื้อ ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่างๆ
 
สาม กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี/ผอ.ศบค.เพื่อโปรดพิจารณายกหูโทรศัพท์เพื่อเจรจากับบริษัทวัคซีนด้วยตนเอง ดังที่เห็นได้จากความสำเร็จของผู้นำประเทศต่างๆ ที่ดำเนินการเช่นนี้ จนได้วัคซีนมาในปริมาณมากพอและรวดเร็ว
 
สี่ ด้วยสถานการณ์ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ในประเทศไทยมีความรุนแรงอย่างชัดเจน กลุ่มเปราะบางที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มิใช่แค่ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับไม่ครบ แต่ยังหมายรวมถึงกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่เป็นวัคซีนซิโนแวค ที่อาจมีคนที่เกิดระดับภูมิคุ้มกันที่น้อยหรือไม่ขึ้น (ซึ่งรวมถึงคนทำงานด่านหน้าอย่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขส่วนใหญ่ด้วย) สิ่งที่ควรเร่งดำเนินการคือ การจัดหาวัคซีน mRNA มาใช้เพื่อฉีดเป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิสำหรับคนที่ได้วัคซีนเข็มแรก หรือได้รับวัคซีนครบสองเข็มไปแล้ว ในขณะที่คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ก็ควรได้รับวัคซีนนี้เช่นกันทั้งสองเข็ม
ห้า ออกมาตรการกระตุ้นเตือน ให้กลุ่มที่ได้รับวัคซีนยังไม่ครบ หรือครบแล้วแต่อาจมีปัญหาระดับภูมิคุ้มกัน ให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะได้รับการกระตุ้นโดยวัคซีน mRNA
 
หก พึงตระหนักว่า นี่คือวิกฤตของสังคมไทย ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการให้นักวิชาการมาทดลอง แต่นโยบายและมาตรการใดๆ ที่จะออกมานั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้ที่ถูกต้องและได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะผิดพลาด และป้องกันไม่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนแผนไปมามากเกินความเหมาะสม ดังจะเห็นได้จากทั้งเรื่องจำนวนสัปดาห์ระหว่างการฉีดแต่ละเข็ม ตลอดจนการประเมินศักยภาพของวัคซีนต่อสายพันธุ์กลายพันธุ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีปัญหา
 
เจ็ด ด้วยสถานการณ์ระบาดที่รุนแรง กระจายไปทั่ว และไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นด้วยมาตรการที่ดำเนินการมา อาจส่งผลกระทบต่อแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ในช่วง 120 วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรพิจารณาอัพเกรดมาตรการเพื่อตัดวงจรการระบาดให้ได้ จะโดยการพิจารณาล็อกดาวน์พื้นที่ อำเภอ จังหวัด หรือภาคที่มีการระบาดหนัก เป็นระยะเวลาสั้น 2 สัปดาห์ จะทำให้เกิดประโยชน์ในการควบคุมโรค และต่อลมหายใจของระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
 
Bubble and seal ไม่มีทางได้ผลในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะการระบาดกระจายไปทั่ว และกำลังการตรวจคัดกรองโรคนั้นมีจำกัด
เราบอบช้ำมามากแล้วจากการดำเนินการในระลอกสองและสามนี้ ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทำงานครับ
สำหรับประชาชนทุกคน ขอให้ใส่หน้ากากเสมอนะครับ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า
ด้วยรักและห่วงใย
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10222680662957707
 

 
ฟิทช์ หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.8% ชี้โควิดพ่นพิษฉุดกำไรแบงก์หด-ดอกเบี้ยนโยบายต่ำเป็นประวัติการณ์
https://www.khaosod.co.th/economics/news_6470263

น.ส.จินดารัตน์ สิริสิทธิโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงิน บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2564 ลงเหลือ 1.8% ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเป็น 4.2% ในปี 2565 จากผลกระทบของการระบาดของ โควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่แม้จะไม่เข้มงวดเหมือนการระบาดในระลอกที่ผ่านมา แต่ก็ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปยังคาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอีกหลายปัจจัย อาทิ ความเข้มงวดของมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของทางการ และความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19

ทั้งนี้ จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลชัดเจนกับความสามารถในการทำกำไรของสถาบันการเงินไทย ที่ก่อนหน้านี้ความสามารถในการทำกำไรของสถาบันการเงินไทยก็อ่อนแอตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดอยู่แล้ว โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ได้ส่งผลทำให้ส่วนต่างรายได้อัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของสถาบันการเงินลดลง แม้จะมีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้
 
โดยสถาบันการเงินหันไปเน้นค่าธรรมเนียมต่างๆ มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองสูงก็ส่งผลกดดันความสามารถในการทำกำไรด้วย แต่ Fitch คาดการณ์ว่าแนวโน้มกำไรของสถาบันการเงินไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ในปีนี้ ในลักษณะช้าๆ สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจ
 
อย่างไรก็ดี มองว่าสัดส่วนตัวเลขสินเชื่อด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินในปี 2564 จะไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวล แต่คาดว่าตัวเลขสินเชื่อด้อยคุณภาพในระบบสถาบันกาเงินจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า หลังมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการป้องกันการตกชั้นของสินเชื่อหมดอายุลง ดังนั้นในปีนี้จึงจะยังได้เห็นการตั้งสำรองของสถาบันการเงินอยู่ในระดับสูง เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานยังคงอ่อนแอ
 


ประธานสภาฯ เห็นชอบแล้ว ร่างแก้ไขรธน. กลุ่ม Re-Solution รอแค่ครบ 5 หมื่นชื่อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2791938

ประธานสภาฯ เห็นชอบแล้ว ร่างแก้ไขรธน. รี-โซลูชั่น รอครบ 5 หมื่นชื่อ
 
เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 23 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงคำวินิจฉัยของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมฉบับภาคประชาชนของกลุ่ม Re-Solution ว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ และคณะจำนวน 20 คน ได้แสดงความประสงค์เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ที่บัญญัติให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 50,000 รายชื่อมีสิทธิเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 โดยสภาได้มีการตรวจสอบจำนวนและเอกสารการลงรายมือชื่อของผู้ริเริ่มจำนวน 20 ชื่อ ซึ่งครบตามกฎหมายกำหนด หลังจากนั้นนายชวนได้วินิจฉัยหลักการของการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ ว่าไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ โดยหลังจากนี้สภาจะแจ้งไปยังนายพริษฐ์ให้ไปดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมลงลายมือชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมต่อไป หากได้รายชื่อตามจำนวนแล้วก็จะนำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญพร้อมรายชื่อและบัญชีของผู้แทนจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คนเสนอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้สภาได้ตรวจสอบรายชื่อว่าถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนหรือไม่ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วสภาจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ หรือตามมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 และจะมีการบรรจุระเบียบวาระให้สภาพิจารณาต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่