......... ( เชือดไม่เงียบ )........
...........สวัสดีครับ ผมชื่อมานะ เป็นครูที่โรงเรียนในหมู่บ้านปลายนา เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผินแล้ว ไม่มีอะไรดึงดูด และไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อผมได้สัมผัสกับชาวบ้านที่นี่มาระยะหนึ่ง จึงเห็นได้ว่าเสน่ห์อย่างแรกที่มองเห็นได้ชัด คือ จิตใจอันอ่อนโยน
จิตใจของชาวบ้านปลายนายังเป็นชาวชนบทที่ใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่คาดหวังอะไรจนเกินตัว ได้เท่าไรพอใจเท่านั้น ไม่คิดไขว่คว้ามากเกินพอดี โดยเฉพาะการได้มาด้วยการคดโกง ไม่เคยอยู่ในใจของชาวบ้านปลายนา
หลังจากวันนัดชาวบ้านประชุมที่บ้านลุงผู้ใหญ่ แล้วชาวบ้านไม่มา ด้วยเหตุผลที่ว่า กำนันลอย ใช้ความได้เปรียบที่กุมชะตากรรมของชาวบ้านไว้ ได้ชวนทุกคนไปงานสังสรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ซึ่งดูเบื้องหน้าแล้ว นั่นคือความหวังดีของกำนัน แต่ลึก ๆ นั้น ผมกับพวกลุง และเจ๊แตง ต่างรู้กันอยู่ในใจ แต่ยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ หรือ หากบังเอิญมีใครสักคนเข้าใจ พวกเราก็ไม่มีทางออกให้เขาเลือกอยู่ดี
วันนั้น เจ๊แตงได้เอ่ยออกมาว่า จะไปคุยกับกำนันลอย ซึ่งพวกเราต่างเดาไม่ออก ว่าเจ๊แตงจะไปคุยแบบไหน รู้เพียงว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ได้สร้างความรู้สึกต่าง ๆ ให้เกิดในใจของพวกเราทุกคน ความกังวล ทั้งกับตัวเจ๊แตงเอง และกังวล ถึงผลซึ่งจะตามมา เพราะไม่ว่าจะออกมาดีหรือเลวอย่างไร ก็ต้องเสี่ยงกับการสูญเสียอย่างหนึ่งอย่างใดไป
วันสองวันนี้ ชาวบ้านต่างพูดคุยถึงเรื่องเมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นผมสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านกำนันลอย จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่ม ซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านปุ๋ยของกำนัน และเป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้านปลายนานี่เอง
ลา
นกว้างหน้าบ้านกำนันลอยในเช้าวันจันทร์ เป็นเช้าที่ยุ่งกว่าปกติมาก เนื่องจากเวทีซึ่งทำจากนั่งร้านเหล็กยังไม่ได้รื้อ เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของคนงาน จึงมีแค่ลูกน้องสี่ห้าคนที่กำนันเรียกมาดูแลโต๊ะจัดเลี้ยงและเวที เมื่อชาวบ้านกลับกันตอนค่ำหลังจากงานเลิก ลูกน้องกำนันซึ่งล้ามาตั้งแต่บ่าย ได้ขอตัวกลับก่อน และมาเก็บโต๊ะเก็บเวทีตอนเช้าวันจันทร์
เมื่อถึงเวลาเก็บกันจริง ๆ ปรากฏว่างานไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะลูกค้าต่างทยอยมาที่ร้านกันแต่เช้า เพราะเมื่อวานร้านปิด ทั้งลูกค้าเงินสดและลูกค้าเงินเชื่อของกำนัน ต่างมาในเวลาเดียวกันเหมือนกับนัดกันมา ลานกว้างหน้าบ้านจึงดูแคบและชุลมุนกว่าที่เคย เมื่อเจ๊แตงไปถึง จึงเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงพอดี
กำนันลอยไม่ได้อยู่ตรงหน้าลาน มีแต่ลูกน้องวิ่งวุ่นไปมา คนแบกกระสอบปุ๋ยขึ้นรถ เดินสวนกับคนยกขานั่งร้านเข้าไปเก็บหลังบ้าน คนยกโต๊ะเข้าไปเก็บ เดินออกมา สวนกับคนยกเก้าอี้ และคงเป็นอย่างนี้อีกพักใหญ่ เพราะยังมีโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่กลางลานอีกหลายชุด ส่วนรถที่ขวักไขว่อยู่เต็มลานก็ไม่ต่างกัน รถคันซึ่งได้ของครบแล้วก็ขับออกไป สวนกับรถที่จอดรออยู่ ซึ่งพอมีช่องว่างให้เห็นนิดหนึ่ง คนขับก็นำรถถอยเข้าไปจอดข้างกองกระสอบปุ๋ย หรือกองพันธุ์ข้าวเปลือกอย่างเร่งรีบเพราะเริ่มสาย เสียงผู้คนและรถนับสิบคันจึงสับสนวุ่นวาย
เจ๊แตงจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใต้ต้นไม้ริมรั้ว ก่อนลงมายืนมองรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรือนร่างกะทัดรัดแต่ได้สัดส่วนในชุดกางเกงยีนสีดำเสื้อยืดสีขาวดูเด่นสะดุดตา เธอเดินช้า ๆ เข้าไปกลางลานพลางมองภาพตรงหน้า พร้อมกับส่งสายตามองหากำนัน ไม่ถึงอึดใจเด็กผู้ชายรุ่น ๆ คนหนึ่งก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามาหา พร้อมทั้งบอกว่าลุงกำนันอยู่ในห้องบัญชีให้มาตามเข้าไป เธอจึงมองตรงไปยังห้องซึ่งกั้นด้วยกระจกทั้งแถบอยู่ลึกไปในชายคา ซึ่งบริเวณนั้นมีชั้นวางปุ๋ยน้ำ ขวดขนาดหนึ่งลิตรเรียงอยู่สามชั้น บนพื้นมีแกลลอนน้ำมันเครื่องขนาดห้าลิตรยี่ห้อต่าง ๆ วางเรียงราย
เมื่อเจ๊แตงเดินเข้าไปตรงประตูด้านข้าง ซึ่งก็เปิดกว้างออกมาทันทีที่เธอก้าวถึง เสียงเอะอะโวยวายของกำนันลอยดังไปทั้งห้อง เธอมองเข้าไปพลางก้าวเท้าผ่านประตู ขณะกำนันลอยกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยอารมณ์เดือดดาล ก่อนวางหูลงดังปังแล้วปล่อยลมหายใจออกมาอย่างแรง
“ทำแต่เรื่อง ไอ้ลูกคนนี้ ลุงมันโทรมาทีไรไม่เคยมีเรื่องดี ๆ สักที”
กำนันบ่นอย่างฉุนเฉียว ทำเอาคนงานเด็กผู้ชายต้องกลืนน้ำลายก่อนยื่นใบเสร็จออกทางช่องกระจกให้ลูกค้า ซึ่งก็รีบรับแล้วเลื่อนช่องกระจกปิดพร้อมกับเดินออกไปอย่างไว
“มา ๆ แตง ไปไงมาหาพี่ได้ล่ะน้อง”
กำนันลอยลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะบัญชี พลางกวักมือเรียกเจ๊แตงพร้อมกับเดินนำไปทางโต๊ะรับแขกซึ่งอยู่ติดริมห้อง แล้วยืนรอเธอซึ่งเดินตามมา พอเห็นหญิงสาวนั่งลงเรียบร้อย เขาจึงอ้อมไปนั่งลงตรงข้าม ขณะเจ๊แตงเอ่ยถามออกไปแทนคำตอบ ซึ่งกำนันเอ่ยปากถามมา
“มีอะไรพี่กำนัน เสียงดังเชียว”
กำนันลอยมองลูกน้องซึ่งกำลังวางแก้วน้ำตรงหน้าเจ๊แตงก่อนถอยออกไป แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิดเล็กน้อย
“ก็ไอ้ว่านน่ะสิ มันต่อยเพื่อนปากแตก เดือนแล้วก็หนหนึ่งละ โชคดีพ่อแม่เด็กคนก่อนเขาไม่เอาเรื่อง มันนึกว่ากรุงเทพฯเป็นบ้านมันมั้ง”
กำนันยังไม่หายโมโห พูดไปส่ายหัวไป ก่อนมองหน้าเจ๊แตงซึ่งทำหน้าเฉย ๆ ไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่ากำนันหงุดหงิดที่อยู่ห่างลูกมากกว่า ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ลูกสร้างความปวดหัวให้ เธอจึงนั่งนิ่งฟังกำนันพูดต่อไป
“ลุงมันบอกว่าครูเขาจะให้ไปคุยวันนี้ แล้วแตงลองดูหน้าบ้านพี่ซิ ว่าตอนนี้มันยุ่งขนาดไหน”
เจ๊แตงไม่ตอบกลับไป เพราะเห็นความชุลมุนวุ่นวายตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว จึงได้แต่เอ่ยถามออกไปเบา ๆ
“แล้วพี่กำนันบอกเขาไปว่ายังไง”
กำนันลอยถอนใจออกมาแรง ๆ ก่อนตอบกลับมา
“ก็ไปได้ไม่วันพุธก็พฤหัสนั่นแหละ คราวนี้คงต้องเอามาเรียนที่นี่ ไอ้ลูกคนนี้ห่างตาไม่เคยได้”
กำนันตอบเสร็จพลางส่ายหัวไปมาพร้อมกับถอนใจอีกครั้ง และเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามเรื่องธุระกับเจ๊แตง เขาจึงปรับสีหน้าให้เรียบในเวลาอันรวดเร็วก่อนเอ่ยถามเจ๊แตงออกมา
“อ้อ แล้วแตงมานี่มีอะไรรึ”
เขายิ้มแบบเปิดเผยให้กับหญิงซึ่งตัวเองหมายปองมานาน ทั้งที่ยังเดาไม่ออกในการมาของเธอ ส่วนในใจ มีความยินดีมากกว่าจะคิดอะไร เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับการได้นั่งคุยใกล้ ๆ แบบนี้กับเธอ
เจ๊แตงยิ้มตอบ พลางเอ่ยออกไป อย่างคนคุ้นกัน
“แตงว่าจะมาปรึกษาพี่กำนันสักหน่อย พี่พอจะมีพันธุ์ผักอะไรที่เขานิยมกันอยู่ในตอนนี้ไหม แตงจะเอาไปให้คนในหมู่บ้านแตงปลูก”
เธอพูดจบพลางยิ้มแล้วมองหน้ากำนัน ซึ่งเขามองตอบพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ แล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะตอบกลับมา
“แตงจะเอาแบบไหนล่ะ เอาแบบผักที่ใช้ทำกับข้าว หรือจะเป็นพวกผลไม้ พี่มีทุกอย่างแหละ ปุ๋ยเฉพาะทางของแต่ละอย่างก็มี แตงอยากได้อะไรบอกพี่มาได้เลย สำหรับแตงพี่ให้ได้ทุกอย่าง”
กำนันลอยพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อการขอของหญิงสาวไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร อีกทั้งเขายังได้มีโอกาสมอบอะไรให้เธอสักครั้ง อย่างน้อยเป็นการสะสมคะแนนไว้ก็ยังดี
“แตงก็ยังนึกไม่ออกน่ะพี่ เลยมาปรึกษาพี่กำนันนี่ไง เพราะผักแต่ละอย่างดูแลไม่เหมือนกัน หน้าหนาวกับหน้าฝนก็ต้องปลูกคนละอย่าง เวลาเราจะปลูกอะไรก็ต้องหาผักให้ตรงกับฤดู”
กำนันพยักหน้าช้า ๆ ส่วนรอยยิ้มยังคงเต็มใบหน้า ขณะเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอางี้ ช่วงนี้เข้าหน้าฝน ลองผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ดูก่อน จริง ๆ หน้าฝนนี่ปลูกได้หลายอย่างนะ น้ำก็ไม่ต้องรดมากด้วย แต่ทำหลายอย่างมันจะออกมาอย่างละไม่มาก ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย เก็บทีมันได้เป็นกอบเป็นกำดี”
กำนันพูดอย่างมีเหตุมีผล เพราะตัวเองอยู่ในวงการนี้มาหลายปี อีกทั้งยังค้าขายเกี่ยวกับพวกนี้โดยตรง จึงย่อมมีความรู้อยู่บ้างเป็นธรรมดา เจ๊แตง อมยิ้มพลางมองหน้ากำนัน ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“งั้นเอาตามพี่กำนันว่าก็แล้วกัน เรื่องเงินพี่คิดกับแตงได้เลย พี่ว่างไปส่งของให้แตงเมื่อไร”
กำนันลอยทำหน้าครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง เพราะนัดครูของลูกตัวแสบไว้วันพุธหรือพฤหัส แต่งานนี้ถือว่ามีความสำคัญกับอนาคตของเขามากทีเดียว เขาจึงตอบกลับไปหลังจากคิดอยู่ไม่นาน
“วันพุธดีกว่าแตง แล้วค่อยไปรับไอ้ว่านวันพฤหัส วันนี้กับพรุ่งนี้พี่ขอเคลียร์งานหน้าร้านสักหน่อย ว่าแต่แตงต้องการสักเท่าไหร่หรือ เรื่องเงินเรื่องทองค่อยว่ากันทีหลัง สำหรับแตงแค่มาหาพี่พี่ก็ดีใจแล้ว”
กำนันเอ่ยออกมาจากใจจริง และพูดอย่างตรงไปตรงมาเนื่องด้วยตัวเองไม่ใช่คนที่สันทัดในเรื่องเจ้าชู้สักเท่าไร จึงถามออกไปพร้อมกับมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ขณะรอคำตอบกลับมา
“พี่ลองกะให้แตงดูสิ สักยี่สิบไร่ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ขนาดไหนพี่กำนัน”
หญิงสาวยิ้มกว้างมองหน้ากำนันลอยซึ่งยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ขณะกรอกตาไปมาพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ ก่อนมองหน้าเธอแล้วเอ่ยถามออกมา
“แตงเอาไปทำไมเยอะแยะ อย่าเข้าใจว่าพี่หวงนะ สำหรับแตงพี่ให้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว พี่แค่สงสัยว่า ยี่สิบไร่ แตงจะดูแลยังไง”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอเบา ๆ ยิ้มด้วยตาเป็นประกาย ก่อนตอบกลับไป
“แตงบอกพี่กำนันแล้วนะ แตงจะเอาไปให้คนในหมู่บ้านปลูก บ้านใครมีที่เท่าไรก็ปลูกให้เต็มเนื้อที่ แตงคิดคร่าว ๆ ในใจแล้ว ก็ได้ออกมาประมาณนี้ละพี่”
เธอยิ้มแล้วมองหน้ากำนันซึ่งกำลังแอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ในเมื่อหญิงตรงหน้าเป็นคนซึ่งเขาหมายปอง กำนันจึงได้แต่ถอนใจ ขณะนึกถึงเรื่องชาวบ้านปลายนาจะหาของไปขายตามงาน เรื่องนี้มีผลกับเขาโดยตรง เพราะถ้าบังเอิญชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้จริง ๆ ร้านของเขาคงขาดรายได้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วตั้งแต่ต้น และคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเธอคนนี้ เขาจึงถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามออกไปอย่างแผ่วเบา
“นี่ใช่เรื่องเดียวกับที่ชาวบ้านจะหารายได้เพิ่ม นอกจากปลูกข้าวหรือเปล่าแตง”
หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า พร้อมกับลุกยืนก่อนเอ่ยออกมา
“ใช่แล้วพี่กำนัน เรื่องนี้แตงเป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ ถ้าชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ แตงกับชาวบ้านทุกคน จะไม่ลืมพระคุณพี่เลย”
กำนันลุกยืนช้า ๆ อย่างอ่อนแรง เพราะในสมองตอนนี้ยังคิดหาทางออกไม่เจอ เรื่องลูกก็ยังรออยู่ตรงหน้า จึงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน เพราะถ้าหญิงสาวเกิดขัดใจขึ้นมา เขาอาจหมดหวังในตัวเธอตลอดไป
“เอาอย่างนั้นก็เอาแตง เดี๋ยวตอนบ่ายงานเบาลง พี่ขอนั่งคิดอีกทีแล้วจะให้คนไปบอกแตงตอนเย็น ว่าใช้อะไรเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลัง บางทีพี่อาจจะไม่คิดเลยก็ได้นะแตง”
กำนันลอยพูดอ้อม ๆ ออกมาพร้อมกับยิ้มตาวาว ส่วนหญิงสาวไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนยกมือไหว้และเอ่ยลากำนันลอย ด้วยความมั่นใจ ว่าเขาจะไม่ผิดคำพูดอย่างแน่นอน………
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......เชือดไม่เงียบ........@@ โดย ลุงแผน
...........สวัสดีครับ ผมชื่อมานะ เป็นครูที่โรงเรียนในหมู่บ้านปลายนา เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผินแล้ว ไม่มีอะไรดึงดูด และไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อผมได้สัมผัสกับชาวบ้านที่นี่มาระยะหนึ่ง จึงเห็นได้ว่าเสน่ห์อย่างแรกที่มองเห็นได้ชัด คือ จิตใจอันอ่อนโยน
จิตใจของชาวบ้านปลายนายังเป็นชาวชนบทที่ใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่คาดหวังอะไรจนเกินตัว ได้เท่าไรพอใจเท่านั้น ไม่คิดไขว่คว้ามากเกินพอดี โดยเฉพาะการได้มาด้วยการคดโกง ไม่เคยอยู่ในใจของชาวบ้านปลายนา
หลังจากวันนัดชาวบ้านประชุมที่บ้านลุงผู้ใหญ่ แล้วชาวบ้านไม่มา ด้วยเหตุผลที่ว่า กำนันลอย ใช้ความได้เปรียบที่กุมชะตากรรมของชาวบ้านไว้ ได้ชวนทุกคนไปงานสังสรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ซึ่งดูเบื้องหน้าแล้ว นั่นคือความหวังดีของกำนัน แต่ลึก ๆ นั้น ผมกับพวกลุง และเจ๊แตง ต่างรู้กันอยู่ในใจ แต่ยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ หรือ หากบังเอิญมีใครสักคนเข้าใจ พวกเราก็ไม่มีทางออกให้เขาเลือกอยู่ดี
วันนั้น เจ๊แตงได้เอ่ยออกมาว่า จะไปคุยกับกำนันลอย ซึ่งพวกเราต่างเดาไม่ออก ว่าเจ๊แตงจะไปคุยแบบไหน รู้เพียงว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ได้สร้างความรู้สึกต่าง ๆ ให้เกิดในใจของพวกเราทุกคน ความกังวล ทั้งกับตัวเจ๊แตงเอง และกังวล ถึงผลซึ่งจะตามมา เพราะไม่ว่าจะออกมาดีหรือเลวอย่างไร ก็ต้องเสี่ยงกับการสูญเสียอย่างหนึ่งอย่างใดไป
วันสองวันนี้ ชาวบ้านต่างพูดคุยถึงเรื่องเมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นผมสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านกำนันลอย จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่ม ซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านปุ๋ยของกำนัน และเป็นลูกหลานของคนในหมู่บ้านปลายนานี่เอง
ลานกว้างหน้าบ้านกำนันลอยในเช้าวันจันทร์ เป็นเช้าที่ยุ่งกว่าปกติมาก เนื่องจากเวทีซึ่งทำจากนั่งร้านเหล็กยังไม่ได้รื้อ เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของคนงาน จึงมีแค่ลูกน้องสี่ห้าคนที่กำนันเรียกมาดูแลโต๊ะจัดเลี้ยงและเวที เมื่อชาวบ้านกลับกันตอนค่ำหลังจากงานเลิก ลูกน้องกำนันซึ่งล้ามาตั้งแต่บ่าย ได้ขอตัวกลับก่อน และมาเก็บโต๊ะเก็บเวทีตอนเช้าวันจันทร์
เมื่อถึงเวลาเก็บกันจริง ๆ ปรากฏว่างานไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะลูกค้าต่างทยอยมาที่ร้านกันแต่เช้า เพราะเมื่อวานร้านปิด ทั้งลูกค้าเงินสดและลูกค้าเงินเชื่อของกำนัน ต่างมาในเวลาเดียวกันเหมือนกับนัดกันมา ลานกว้างหน้าบ้านจึงดูแคบและชุลมุนกว่าที่เคย เมื่อเจ๊แตงไปถึง จึงเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงพอดี
กำนันลอยไม่ได้อยู่ตรงหน้าลาน มีแต่ลูกน้องวิ่งวุ่นไปมา คนแบกกระสอบปุ๋ยขึ้นรถ เดินสวนกับคนยกขานั่งร้านเข้าไปเก็บหลังบ้าน คนยกโต๊ะเข้าไปเก็บ เดินออกมา สวนกับคนยกเก้าอี้ และคงเป็นอย่างนี้อีกพักใหญ่ เพราะยังมีโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่กลางลานอีกหลายชุด ส่วนรถที่ขวักไขว่อยู่เต็มลานก็ไม่ต่างกัน รถคันซึ่งได้ของครบแล้วก็ขับออกไป สวนกับรถที่จอดรออยู่ ซึ่งพอมีช่องว่างให้เห็นนิดหนึ่ง คนขับก็นำรถถอยเข้าไปจอดข้างกองกระสอบปุ๋ย หรือกองพันธุ์ข้าวเปลือกอย่างเร่งรีบเพราะเริ่มสาย เสียงผู้คนและรถนับสิบคันจึงสับสนวุ่นวาย
เจ๊แตงจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ใต้ต้นไม้ริมรั้ว ก่อนลงมายืนมองรอบ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรือนร่างกะทัดรัดแต่ได้สัดส่วนในชุดกางเกงยีนสีดำเสื้อยืดสีขาวดูเด่นสะดุดตา เธอเดินช้า ๆ เข้าไปกลางลานพลางมองภาพตรงหน้า พร้อมกับส่งสายตามองหากำนัน ไม่ถึงอึดใจเด็กผู้ชายรุ่น ๆ คนหนึ่งก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามาหา พร้อมทั้งบอกว่าลุงกำนันอยู่ในห้องบัญชีให้มาตามเข้าไป เธอจึงมองตรงไปยังห้องซึ่งกั้นด้วยกระจกทั้งแถบอยู่ลึกไปในชายคา ซึ่งบริเวณนั้นมีชั้นวางปุ๋ยน้ำ ขวดขนาดหนึ่งลิตรเรียงอยู่สามชั้น บนพื้นมีแกลลอนน้ำมันเครื่องขนาดห้าลิตรยี่ห้อต่าง ๆ วางเรียงราย
เมื่อเจ๊แตงเดินเข้าไปตรงประตูด้านข้าง ซึ่งก็เปิดกว้างออกมาทันทีที่เธอก้าวถึง เสียงเอะอะโวยวายของกำนันลอยดังไปทั้งห้อง เธอมองเข้าไปพลางก้าวเท้าผ่านประตู ขณะกำนันลอยกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยอารมณ์เดือดดาล ก่อนวางหูลงดังปังแล้วปล่อยลมหายใจออกมาอย่างแรง
“ทำแต่เรื่อง ไอ้ลูกคนนี้ ลุงมันโทรมาทีไรไม่เคยมีเรื่องดี ๆ สักที”
กำนันบ่นอย่างฉุนเฉียว ทำเอาคนงานเด็กผู้ชายต้องกลืนน้ำลายก่อนยื่นใบเสร็จออกทางช่องกระจกให้ลูกค้า ซึ่งก็รีบรับแล้วเลื่อนช่องกระจกปิดพร้อมกับเดินออกไปอย่างไว
“มา ๆ แตง ไปไงมาหาพี่ได้ล่ะน้อง”
กำนันลอยลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะบัญชี พลางกวักมือเรียกเจ๊แตงพร้อมกับเดินนำไปทางโต๊ะรับแขกซึ่งอยู่ติดริมห้อง แล้วยืนรอเธอซึ่งเดินตามมา พอเห็นหญิงสาวนั่งลงเรียบร้อย เขาจึงอ้อมไปนั่งลงตรงข้าม ขณะเจ๊แตงเอ่ยถามออกไปแทนคำตอบ ซึ่งกำนันเอ่ยปากถามมา
“มีอะไรพี่กำนัน เสียงดังเชียว”
กำนันลอยมองลูกน้องซึ่งกำลังวางแก้วน้ำตรงหน้าเจ๊แตงก่อนถอยออกไป แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิดเล็กน้อย
“ก็ไอ้ว่านน่ะสิ มันต่อยเพื่อนปากแตก เดือนแล้วก็หนหนึ่งละ โชคดีพ่อแม่เด็กคนก่อนเขาไม่เอาเรื่อง มันนึกว่ากรุงเทพฯเป็นบ้านมันมั้ง”
กำนันยังไม่หายโมโห พูดไปส่ายหัวไป ก่อนมองหน้าเจ๊แตงซึ่งทำหน้าเฉย ๆ ไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่ากำนันหงุดหงิดที่อยู่ห่างลูกมากกว่า ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ลูกสร้างความปวดหัวให้ เธอจึงนั่งนิ่งฟังกำนันพูดต่อไป
“ลุงมันบอกว่าครูเขาจะให้ไปคุยวันนี้ แล้วแตงลองดูหน้าบ้านพี่ซิ ว่าตอนนี้มันยุ่งขนาดไหน”
เจ๊แตงไม่ตอบกลับไป เพราะเห็นความชุลมุนวุ่นวายตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว จึงได้แต่เอ่ยถามออกไปเบา ๆ
“แล้วพี่กำนันบอกเขาไปว่ายังไง”
กำนันลอยถอนใจออกมาแรง ๆ ก่อนตอบกลับมา
“ก็ไปได้ไม่วันพุธก็พฤหัสนั่นแหละ คราวนี้คงต้องเอามาเรียนที่นี่ ไอ้ลูกคนนี้ห่างตาไม่เคยได้”
กำนันตอบเสร็จพลางส่ายหัวไปมาพร้อมกับถอนใจอีกครั้ง และเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามเรื่องธุระกับเจ๊แตง เขาจึงปรับสีหน้าให้เรียบในเวลาอันรวดเร็วก่อนเอ่ยถามเจ๊แตงออกมา
“อ้อ แล้วแตงมานี่มีอะไรรึ”
เขายิ้มแบบเปิดเผยให้กับหญิงซึ่งตัวเองหมายปองมานาน ทั้งที่ยังเดาไม่ออกในการมาของเธอ ส่วนในใจ มีความยินดีมากกว่าจะคิดอะไร เนื่องจากไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับการได้นั่งคุยใกล้ ๆ แบบนี้กับเธอ
เจ๊แตงยิ้มตอบ พลางเอ่ยออกไป อย่างคนคุ้นกัน
“แตงว่าจะมาปรึกษาพี่กำนันสักหน่อย พี่พอจะมีพันธุ์ผักอะไรที่เขานิยมกันอยู่ในตอนนี้ไหม แตงจะเอาไปให้คนในหมู่บ้านแตงปลูก”
เธอพูดจบพลางยิ้มแล้วมองหน้ากำนัน ซึ่งเขามองตอบพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ แล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะตอบกลับมา
“แตงจะเอาแบบไหนล่ะ เอาแบบผักที่ใช้ทำกับข้าว หรือจะเป็นพวกผลไม้ พี่มีทุกอย่างแหละ ปุ๋ยเฉพาะทางของแต่ละอย่างก็มี แตงอยากได้อะไรบอกพี่มาได้เลย สำหรับแตงพี่ให้ได้ทุกอย่าง”
กำนันลอยพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อการขอของหญิงสาวไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร อีกทั้งเขายังได้มีโอกาสมอบอะไรให้เธอสักครั้ง อย่างน้อยเป็นการสะสมคะแนนไว้ก็ยังดี
“แตงก็ยังนึกไม่ออกน่ะพี่ เลยมาปรึกษาพี่กำนันนี่ไง เพราะผักแต่ละอย่างดูแลไม่เหมือนกัน หน้าหนาวกับหน้าฝนก็ต้องปลูกคนละอย่าง เวลาเราจะปลูกอะไรก็ต้องหาผักให้ตรงกับฤดู”
กำนันพยักหน้าช้า ๆ ส่วนรอยยิ้มยังคงเต็มใบหน้า ขณะเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอางี้ ช่วงนี้เข้าหน้าฝน ลองผักบุ้ง ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ดูก่อน จริง ๆ หน้าฝนนี่ปลูกได้หลายอย่างนะ น้ำก็ไม่ต้องรดมากด้วย แต่ทำหลายอย่างมันจะออกมาอย่างละไม่มาก ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย เก็บทีมันได้เป็นกอบเป็นกำดี”
กำนันพูดอย่างมีเหตุมีผล เพราะตัวเองอยู่ในวงการนี้มาหลายปี อีกทั้งยังค้าขายเกี่ยวกับพวกนี้โดยตรง จึงย่อมมีความรู้อยู่บ้างเป็นธรรมดา เจ๊แตง อมยิ้มพลางมองหน้ากำนัน ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“งั้นเอาตามพี่กำนันว่าก็แล้วกัน เรื่องเงินพี่คิดกับแตงได้เลย พี่ว่างไปส่งของให้แตงเมื่อไร”
กำนันลอยทำหน้าครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง เพราะนัดครูของลูกตัวแสบไว้วันพุธหรือพฤหัส แต่งานนี้ถือว่ามีความสำคัญกับอนาคตของเขามากทีเดียว เขาจึงตอบกลับไปหลังจากคิดอยู่ไม่นาน
“วันพุธดีกว่าแตง แล้วค่อยไปรับไอ้ว่านวันพฤหัส วันนี้กับพรุ่งนี้พี่ขอเคลียร์งานหน้าร้านสักหน่อย ว่าแต่แตงต้องการสักเท่าไหร่หรือ เรื่องเงินเรื่องทองค่อยว่ากันทีหลัง สำหรับแตงแค่มาหาพี่พี่ก็ดีใจแล้ว”
กำนันเอ่ยออกมาจากใจจริง และพูดอย่างตรงไปตรงมาเนื่องด้วยตัวเองไม่ใช่คนที่สันทัดในเรื่องเจ้าชู้สักเท่าไร จึงถามออกไปพร้อมกับมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ขณะรอคำตอบกลับมา
“พี่ลองกะให้แตงดูสิ สักยี่สิบไร่ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ขนาดไหนพี่กำนัน”
หญิงสาวยิ้มกว้างมองหน้ากำนันลอยซึ่งยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ขณะกรอกตาไปมาพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ ก่อนมองหน้าเธอแล้วเอ่ยถามออกมา
“แตงเอาไปทำไมเยอะแยะ อย่าเข้าใจว่าพี่หวงนะ สำหรับแตงพี่ให้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว พี่แค่สงสัยว่า ยี่สิบไร่ แตงจะดูแลยังไง”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอเบา ๆ ยิ้มด้วยตาเป็นประกาย ก่อนตอบกลับไป
“แตงบอกพี่กำนันแล้วนะ แตงจะเอาไปให้คนในหมู่บ้านปลูก บ้านใครมีที่เท่าไรก็ปลูกให้เต็มเนื้อที่ แตงคิดคร่าว ๆ ในใจแล้ว ก็ได้ออกมาประมาณนี้ละพี่”
เธอยิ้มแล้วมองหน้ากำนันซึ่งกำลังแอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ในเมื่อหญิงตรงหน้าเป็นคนซึ่งเขาหมายปอง กำนันจึงได้แต่ถอนใจ ขณะนึกถึงเรื่องชาวบ้านปลายนาจะหาของไปขายตามงาน เรื่องนี้มีผลกับเขาโดยตรง เพราะถ้าบังเอิญชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้จริง ๆ ร้านของเขาคงขาดรายได้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วตั้งแต่ต้น และคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นเธอคนนี้ เขาจึงถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามออกไปอย่างแผ่วเบา
“นี่ใช่เรื่องเดียวกับที่ชาวบ้านจะหารายได้เพิ่ม นอกจากปลูกข้าวหรือเปล่าแตง”
หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า พร้อมกับลุกยืนก่อนเอ่ยออกมา
“ใช่แล้วพี่กำนัน เรื่องนี้แตงเป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ ถ้าชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ แตงกับชาวบ้านทุกคน จะไม่ลืมพระคุณพี่เลย”
กำนันลุกยืนช้า ๆ อย่างอ่อนแรง เพราะในสมองตอนนี้ยังคิดหาทางออกไม่เจอ เรื่องลูกก็ยังรออยู่ตรงหน้า จึงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน เพราะถ้าหญิงสาวเกิดขัดใจขึ้นมา เขาอาจหมดหวังในตัวเธอตลอดไป
“เอาอย่างนั้นก็เอาแตง เดี๋ยวตอนบ่ายงานเบาลง พี่ขอนั่งคิดอีกทีแล้วจะให้คนไปบอกแตงตอนเย็น ว่าใช้อะไรเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลัง บางทีพี่อาจจะไม่คิดเลยก็ได้นะแตง”
กำนันลอยพูดอ้อม ๆ ออกมาพร้อมกับยิ้มตาวาว ส่วนหญิงสาวไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนยกมือไหว้และเอ่ยลากำนันลอย ด้วยความมั่นใจ ว่าเขาจะไม่ผิดคำพูดอย่างแน่นอน………
( มีต่อครับ )