ภายหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายของครอบครัวน้องตุ๊กตาผ่านพ้น ผมก็มีแวะเวียนเข้าวัดเพื่อไปทักทายเหล่าอดีตสหายธรรมบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยว่าผมลาออกจากงานเก่าที่ภาคใต้ตั้งใจว่าจะลงหลักปักฐานที่บ้านเกิดเมืองนอนนี่แหละจะไม่พาตัวเองไปไหนไกลอีกแล้ว และในวันนี้ก็เช่นเคย ผมแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังเพื่อเลี้ยงเพลพระ
เมื่อถึงวัดผมก็จัดสำรับสำหรับให้บรรดาหลวงพี่หลวงพ่อได้ฉันเพลกัน แต่วันนี้บรรยากาศมันแปลก ๆ เพราะตั้งแต่ผมมาถึงที่นี่ยังไม่เห็นหน้าไอ้เต้เลย ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์มันจะต้องอยู่ติดวัด
“หลวงพี่ ไอ้เต้ไปไหนอ่ะ” ผมถามหลวงพี่บอลขณะที่ท่านจัดท่าจัดทางให้นั่งสบายที่สุด
“โน่น! นั่งจับเจ่าเหงาหงอยเป็นหอยขมโดนยาเบื่ออยู่ข้างกุฏิหลวงตาเอี่ยมโน่น” หลวงพี่บอลตอบ
ผมสังเกตว่าเหล่าบรรดาหลวงพี่ทั้งสามและหลวงพ่อชอุ่มรวมไปถึงท่านเจ้าอาวาสต่างมีสีหน้าที่หมองลงราวกับมีเรื่องกลุ้มใจอยู่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ผมถาม
“เรื่องมันยาวน่ะทิด เดี๋ยวจะพูดให้ฟังทีหลังนะ” หลวงพี่เพ็ญบอก
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างผมจัดการเก็บสำรับยกถ้วยจานไปที่โรงครัวเพื่อจะล้างทำความสะอาด
“ฮือๆ ซิก! ซิก!” เสียงใครบางคนร้องไห้เบา ๆ ดังแว่วมาจนผมต้องหยุดมือกับกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่ พยายามเดินหาว่าต้นตอของเสียงร้องไห้นั้นคือใครแล้วอยู่ตรงไหน
ผมเดินตามเสียงนั้นมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงแทงค์น้ำข้างโรงครัวนั่นแหละครับเสียงนั้นถึงได้ดังชัดเจนขึ้น
“ไอ้เต้! เอ็งมานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้ มีเรื่องอะไรไหนบอกพี่ดิ๊” ผมถามขึ้นทันทีที่รู้ว่าเจ้าของเสียงร้องไห้นั้นเป็นใคร
ไอ้เต้ปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองผม
ใบหน้าน้อย ๆ ของมันนอกจากจะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่รินไหลอาบสองแก้มแล้ว เบ้าตาด้านขวายังช้ำเป็นสีม่วงอมแดง มุมปากด้านขวาก็ยังมีรอยช้ำแถมปากก็เจ่อนิด ๆ แต่ก็พอสังเกตเห็น
“อะไรวะเต้ ไหงหน้าเอ็งเป็นแบบนี้วะ ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา” ผมถามพลางนั่งลงจ้องหน้ามัน
ไอ้เต้ไม่ตอบอีกเช่นเคย มันยังคงจ้องหน้าผมด้วยสายตาเศร้าสร้อย น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง
“ไอ้เต้! บอกพี่มา!!” ผมถามมันอีกครั้ง
“พี่นิ่มครับ ผมเป็นเด็กวัดมันผิดมากเหรอครับ แล้วไอ้คำว่าเด็กกำพร้ามันคืออะไรเหรอครับ” ไอ้เต้ถามน้ำตาไหลพราก
คำถามนั้นของไอ้เต้ทำเอาผมสะท้อนหัวอก นี่เกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่ ทำไมจู่ ๆ มันถึงถามผมแบบนี้ ใครไปว่าอะไรให้มันงั้นหรือ
“อะไร? ทำไมเอ็งถามแบบนี้ ใครว่าอะไรให้เอ็งบอกพี่มา” ผมถามไอ้เต้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้นเล็กน้อย
“เพื่อนที่โรงเรียนครับ มันล้อว่าผมเป็นแค่เด็กวัด แล้วมันยังบอกว่าผมเป็นเด็กกำพร้า มันแปลว่าอะไรเหรอครับพี่นิ่ม”
พอผมได้ยินแบบนั้นมันทำให้จิตใจผมห่อเหี่ยวลงทันที นี่เด็กอายุสิบกว่าขวบกลับมีความคิดความอ่านที่จะสรรหาคำพูดคำจาที่เสียดแทงใจดำเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้ได้เลยหรือ แล้วไอ้สารพัดคำพูดที่เปล่งออกมานั่นเขาจะเข้าใจความหมายมันบ้างไหม
“ใคร เพื่อนคนไหน พี่รู้จักรึเปล่า” ผมถาม
จากที่ไอ้เต้เล่าให้ฟัง เมื่อวานครูประจำชั้นบอกให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อทำรายงาน เพื่อน ๆ ทุกคนต่างวิ่งวุ่นจับกลุ่มกัน มีก็แต่ไอ้เต้ที่ไม่มีใครเอาเข้ากลุ่มด้วยเพราะจะมีหัวโจกในห้องที่คอยปั่น คอยยุแยงเพื่อนคนอื่น ๆ ให้รังเกียจไอ้เต้ที่เป็นเด็กวัด ทีนี้พอไอ้เต้ไม่มีกลุ่มทำรายงานครูก็มาด่ามันว่าไม่สนใจไม่ตั้งใจเรียน พอไอ้เต้บอกว่าเพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่มครูก็ไม่สนใจฟังคำตอบด่าอย่างเดียว แถมยังบอกอีกว่าถ้าหากลุ่มทำรายงานไม่ได้จะให้มันเรียนซ้ำชั้น
ตอนพักเที่ยงขณะที่ไอ้เต้กำลังล้างปิ่นโตใส่กับข้าวหลังจากที่กินเสร็จ เด็กในห้องที่เป็นหัวโจกก็เข้ามาป่วนอีกตามเรื่อง
“ว่าไงไอ้เด็กวัด” ไอ้เต้ได้ยินเสียงแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาล้างปิ่นโตต่อไป
“อ้าว! นิ่งทำไมวะ ไอ้เด็กวัด ไอ้เด็กไร้ค่า ไอ้เด็กนอกคอก” เด็กคนที่เป็นหัวโจกยังคงพูดต่อไป เหล่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่างก็พากันหัวเราะขบขันอย่างสนุกสนาน
สุดท้ายความอดทนของไอ้เต้ก็ถึงขีดสุด มันก็เหมือนหนังเหมือนละครทั่วไปที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ดูได้ชมกันนั่นแหละครับ ไอ้เต้บันดาลโทสะด้วยการเขวี้ยงปิ่นโตใส่เด็กคนนั้นสุดแรง
แต่ด้วยความที่มันเป็นเด็กตัวเล็ก วิถีของปิ่นโตจึงต่ำจากเป้าหมายไปนิดหน่อย แทนที่จะพุ่งไปโดนหน้าจนได้เห็นเลือดกัน ชั้นปิ่นโตสีเหลืองกลับพุ่งไปโดนบริเวณหน้าอก แน่นอนครับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กัน ไอ้เต้โดนรุมเสียยับเยิน เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยรอยรองเท้านันยาง ปากแตกตาเขียว
“มืงมันกระจอก ไม่มีใครเค้าอยากเป็นเพื่อนกับมืงหรอกไอ้เด็กวัด ไอ้เด็กกำพร้า ถุ้ย!”
เด็กที่เป็นหัวโจกพูดพร้อมถ่มน้ำลายใส่ไอ้เต้หลังจากรุมยำจนหนำใจ จากนั้นก็พากันเดินจากไป ไอ้เต้ลุกขึ้นเก็บข้าวของแล้วเดินร้องไห้กลับวัด พอมาถึงก็เอาแต่นั่งซึมไม่พูดจากับใคร จนหลวงพี่เพ็ญสงสัยจึงเข้าไปถามถึงได้รับรู้เรื่องราวทีเกิดขึ้น
“เต้ พี่จะบอกอะไรให้นะ ใครจะว่าอะไรเอ็งยังไงก็ช่างอย่าไปสนใจ ถึงเอ็งจะเป็นเด็กวัดแต่ก็เป็นเด็กวัดที่เป็นคนดีไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ทุกคนรักเอ็งกันทั้งนั้นรวมทั้งพี่ด้วย ถ้าเอ็งเป็นแบบนี้มันจะทำให้คนที่รักแล้วก็เป็นห่วงเอ็งเค้าไม่สบายใจโดยเฉพาะป้าปราณี เอ็งรักท่านมั๊ยเต้ตอบพี่หน่อย”
“รักครับ ผมรักป้าปราณีแล้วก็พวกหลวงพี่ รักหลวงพ่อ แล้วก็รักพี่นิ่มด้วย” ไอ้เต้ตอบมองหน้าผมตาแป๋ว
“ถ้างั้นเอ็งก็หยุดร้องไห้ ตั้งใจเรียน คิดไว้แค่ว่าต้องเรียนให้จบ ทำให้พวกพี่ภูมิใจแค่นั้นก็พอ เรื่องอื่นเอ็งไม่ต้องไปใส่ใจทำได้มั๊ย” ผมถาม
“แล้วคำว่าเด็กกำพร้ามันแปลว่าอะไรเหรอครับ” ไอ้เต้ถามผมพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา
“มันเป็นคำที่ไม่ดี เอ็งแค่จำไว้ว่ามันไม่ดีก็พอ และเมื่อมันไม่ดีเอ็งก็อย่าไปพูดใส่ใคร และถึงใครจะมาพูดคำนี้ใส่หน้า เอ็งก็แค่หันหน้าหนีซะอย่าไปสนใจมัน เข้าใจมั๊ย”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ไอ้เต้ตอบ
ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้คำพูดมากมายที่ผมบอกมันไปน่ะมันจะเข้าใจความหมายมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจในตัวไอ้เด็กคนนี้คือ มันเป็นเด็กที่ดี บริสุทธิ์และว่าง่าย ถ้าสิ่งไหนที่ผู้ใหญ่เตือนว่าไม่ดีไม่ควรทำมันจะไม่ทำ ไม่พาตัวเองเข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน
“ดีแล้ว ไปกินก๋วยเตี๋ยวสิพี่ซื้อมาเผื่อเอ็งด้วยนะ พี่ฝากไว้ที่หลวงพี่เพ็ญแน่ะ” ผมบอกพลางเอามือลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวผมล้างจานก่อนค่อยไปกินก็ได้ครับ” ไอ้เต้บอก
“ไม่เป็นไรไปกินเถอะ จานนิดเดียวพี่ล้างได้” ผมบอกมันไป ไอ้เต้พยักหน้าแล้ววิ่งไปทางกุฏิหลวงพี่เพ็ญ ผมมองตามหลังมันด้วยความเอ็นดูสงสาร
ถ้าคิดกันแบบเล่น ๆ ตอนที่ไอ้เต้มันเป็นผีพุ่งใต้ ขณะที่มันล่องลอยเพื่อหาสถานที่ ๆ มันจะได้มาเกิด มันอาจจะมองเห็นยอดมะพร้าวเป็นยอดปราสาท คิดว่าถ้าเกิดในบ้านหลังนี้คงจะสุขสบายไปชั่วชีวิตจึงได้หักหัวเลี้ยวพุ่งเฟี้ยวเข้ามาจุติยังครรภ์ของแม่มัน
แต่ถ้าจะมองกันในหลักของพระพุทธศาสนาตามคำสอนที่เราได้รับการอบรมบ่มความรู้กันมา ชาติก่อนมันคงก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาสาหัสทีเดียว ชาตินี้มันจึงต้องมาตกระกำลำบากเช่นทุกวันนี้ ผมหวังแค่ว่าการที่มันได้มาอยู่อาศัยในวัด ธรรมะคงจะช่วยขัดเกลาให้มันเติบโตขึ้นเป็นคนดี ไม่สร้างกรรมใด ๆ ให้เป็นบาปเวรติดตัวอีกในชาตินี้ แค่นั้นก็พอแล้วครับ
(มีต่อนะครับ)
เรื่องเล่าของทิดนิ่ม 2. เฝ้าศพ
ภายหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายของครอบครัวน้องตุ๊กตาผ่านพ้น ผมก็มีแวะเวียนเข้าวัดเพื่อไปทักทายเหล่าอดีตสหายธรรมบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยว่าผมลาออกจากงานเก่าที่ภาคใต้ตั้งใจว่าจะลงหลักปักฐานที่บ้านเกิดเมืองนอนนี่แหละจะไม่พาตัวเองไปไหนไกลอีกแล้ว และในวันนี้ก็เช่นเคย ผมแวะซื้อก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังเพื่อเลี้ยงเพลพระ
เมื่อถึงวัดผมก็จัดสำรับสำหรับให้บรรดาหลวงพี่หลวงพ่อได้ฉันเพลกัน แต่วันนี้บรรยากาศมันแปลก ๆ เพราะตั้งแต่ผมมาถึงที่นี่ยังไม่เห็นหน้าไอ้เต้เลย ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์มันจะต้องอยู่ติดวัด
“หลวงพี่ ไอ้เต้ไปไหนอ่ะ” ผมถามหลวงพี่บอลขณะที่ท่านจัดท่าจัดทางให้นั่งสบายที่สุด
“โน่น! นั่งจับเจ่าเหงาหงอยเป็นหอยขมโดนยาเบื่ออยู่ข้างกุฏิหลวงตาเอี่ยมโน่น” หลวงพี่บอลตอบ
ผมสังเกตว่าเหล่าบรรดาหลวงพี่ทั้งสามและหลวงพ่อชอุ่มรวมไปถึงท่านเจ้าอาวาสต่างมีสีหน้าที่หมองลงราวกับมีเรื่องกลุ้มใจอยู่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ผมถาม
“เรื่องมันยาวน่ะทิด เดี๋ยวจะพูดให้ฟังทีหลังนะ” หลวงพี่เพ็ญบอก
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างผมจัดการเก็บสำรับยกถ้วยจานไปที่โรงครัวเพื่อจะล้างทำความสะอาด
“ฮือๆ ซิก! ซิก!” เสียงใครบางคนร้องไห้เบา ๆ ดังแว่วมาจนผมต้องหยุดมือกับกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่ พยายามเดินหาว่าต้นตอของเสียงร้องไห้นั้นคือใครแล้วอยู่ตรงไหน
ผมเดินตามเสียงนั้นมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงแทงค์น้ำข้างโรงครัวนั่นแหละครับเสียงนั้นถึงได้ดังชัดเจนขึ้น
“ไอ้เต้! เอ็งมานั่งร้องไห้ทำไมตรงนี้ มีเรื่องอะไรไหนบอกพี่ดิ๊” ผมถามขึ้นทันทีที่รู้ว่าเจ้าของเสียงร้องไห้นั้นเป็นใคร
ไอ้เต้ปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองผม
ใบหน้าน้อย ๆ ของมันนอกจากจะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่รินไหลอาบสองแก้มแล้ว เบ้าตาด้านขวายังช้ำเป็นสีม่วงอมแดง มุมปากด้านขวาก็ยังมีรอยช้ำแถมปากก็เจ่อนิด ๆ แต่ก็พอสังเกตเห็น
“อะไรวะเต้ ไหงหน้าเอ็งเป็นแบบนี้วะ ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา” ผมถามพลางนั่งลงจ้องหน้ามัน
ไอ้เต้ไม่ตอบอีกเช่นเคย มันยังคงจ้องหน้าผมด้วยสายตาเศร้าสร้อย น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง
“ไอ้เต้! บอกพี่มา!!” ผมถามมันอีกครั้ง
“พี่นิ่มครับ ผมเป็นเด็กวัดมันผิดมากเหรอครับ แล้วไอ้คำว่าเด็กกำพร้ามันคืออะไรเหรอครับ” ไอ้เต้ถามน้ำตาไหลพราก
คำถามนั้นของไอ้เต้ทำเอาผมสะท้อนหัวอก นี่เกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่ ทำไมจู่ ๆ มันถึงถามผมแบบนี้ ใครไปว่าอะไรให้มันงั้นหรือ
“อะไร? ทำไมเอ็งถามแบบนี้ ใครว่าอะไรให้เอ็งบอกพี่มา” ผมถามไอ้เต้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้นเล็กน้อย
“เพื่อนที่โรงเรียนครับ มันล้อว่าผมเป็นแค่เด็กวัด แล้วมันยังบอกว่าผมเป็นเด็กกำพร้า มันแปลว่าอะไรเหรอครับพี่นิ่ม”
พอผมได้ยินแบบนั้นมันทำให้จิตใจผมห่อเหี่ยวลงทันที นี่เด็กอายุสิบกว่าขวบกลับมีความคิดความอ่านที่จะสรรหาคำพูดคำจาที่เสียดแทงใจดำเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้ได้เลยหรือ แล้วไอ้สารพัดคำพูดที่เปล่งออกมานั่นเขาจะเข้าใจความหมายมันบ้างไหม
“ใคร เพื่อนคนไหน พี่รู้จักรึเปล่า” ผมถาม
จากที่ไอ้เต้เล่าให้ฟัง เมื่อวานครูประจำชั้นบอกให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อทำรายงาน เพื่อน ๆ ทุกคนต่างวิ่งวุ่นจับกลุ่มกัน มีก็แต่ไอ้เต้ที่ไม่มีใครเอาเข้ากลุ่มด้วยเพราะจะมีหัวโจกในห้องที่คอยปั่น คอยยุแยงเพื่อนคนอื่น ๆ ให้รังเกียจไอ้เต้ที่เป็นเด็กวัด ทีนี้พอไอ้เต้ไม่มีกลุ่มทำรายงานครูก็มาด่ามันว่าไม่สนใจไม่ตั้งใจเรียน พอไอ้เต้บอกว่าเพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่มครูก็ไม่สนใจฟังคำตอบด่าอย่างเดียว แถมยังบอกอีกว่าถ้าหากลุ่มทำรายงานไม่ได้จะให้มันเรียนซ้ำชั้น
ตอนพักเที่ยงขณะที่ไอ้เต้กำลังล้างปิ่นโตใส่กับข้าวหลังจากที่กินเสร็จ เด็กในห้องที่เป็นหัวโจกก็เข้ามาป่วนอีกตามเรื่อง
“ว่าไงไอ้เด็กวัด” ไอ้เต้ได้ยินเสียงแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาล้างปิ่นโตต่อไป
“อ้าว! นิ่งทำไมวะ ไอ้เด็กวัด ไอ้เด็กไร้ค่า ไอ้เด็กนอกคอก” เด็กคนที่เป็นหัวโจกยังคงพูดต่อไป เหล่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่างก็พากันหัวเราะขบขันอย่างสนุกสนาน
สุดท้ายความอดทนของไอ้เต้ก็ถึงขีดสุด มันก็เหมือนหนังเหมือนละครทั่วไปที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ดูได้ชมกันนั่นแหละครับ ไอ้เต้บันดาลโทสะด้วยการเขวี้ยงปิ่นโตใส่เด็กคนนั้นสุดแรง
แต่ด้วยความที่มันเป็นเด็กตัวเล็ก วิถีของปิ่นโตจึงต่ำจากเป้าหมายไปนิดหน่อย แทนที่จะพุ่งไปโดนหน้าจนได้เห็นเลือดกัน ชั้นปิ่นโตสีเหลืองกลับพุ่งไปโดนบริเวณหน้าอก แน่นอนครับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กัน ไอ้เต้โดนรุมเสียยับเยิน เสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยรอยรองเท้านันยาง ปากแตกตาเขียว
“มืงมันกระจอก ไม่มีใครเค้าอยากเป็นเพื่อนกับมืงหรอกไอ้เด็กวัด ไอ้เด็กกำพร้า ถุ้ย!”
เด็กที่เป็นหัวโจกพูดพร้อมถ่มน้ำลายใส่ไอ้เต้หลังจากรุมยำจนหนำใจ จากนั้นก็พากันเดินจากไป ไอ้เต้ลุกขึ้นเก็บข้าวของแล้วเดินร้องไห้กลับวัด พอมาถึงก็เอาแต่นั่งซึมไม่พูดจากับใคร จนหลวงพี่เพ็ญสงสัยจึงเข้าไปถามถึงได้รับรู้เรื่องราวทีเกิดขึ้น
“เต้ พี่จะบอกอะไรให้นะ ใครจะว่าอะไรเอ็งยังไงก็ช่างอย่าไปสนใจ ถึงเอ็งจะเป็นเด็กวัดแต่ก็เป็นเด็กวัดที่เป็นคนดีไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ทุกคนรักเอ็งกันทั้งนั้นรวมทั้งพี่ด้วย ถ้าเอ็งเป็นแบบนี้มันจะทำให้คนที่รักแล้วก็เป็นห่วงเอ็งเค้าไม่สบายใจโดยเฉพาะป้าปราณี เอ็งรักท่านมั๊ยเต้ตอบพี่หน่อย”
“รักครับ ผมรักป้าปราณีแล้วก็พวกหลวงพี่ รักหลวงพ่อ แล้วก็รักพี่นิ่มด้วย” ไอ้เต้ตอบมองหน้าผมตาแป๋ว
“ถ้างั้นเอ็งก็หยุดร้องไห้ ตั้งใจเรียน คิดไว้แค่ว่าต้องเรียนให้จบ ทำให้พวกพี่ภูมิใจแค่นั้นก็พอ เรื่องอื่นเอ็งไม่ต้องไปใส่ใจทำได้มั๊ย” ผมถาม
“แล้วคำว่าเด็กกำพร้ามันแปลว่าอะไรเหรอครับ” ไอ้เต้ถามผมพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา
“มันเป็นคำที่ไม่ดี เอ็งแค่จำไว้ว่ามันไม่ดีก็พอ และเมื่อมันไม่ดีเอ็งก็อย่าไปพูดใส่ใคร และถึงใครจะมาพูดคำนี้ใส่หน้า เอ็งก็แค่หันหน้าหนีซะอย่าไปสนใจมัน เข้าใจมั๊ย”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ไอ้เต้ตอบ
ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้คำพูดมากมายที่ผมบอกมันไปน่ะมันจะเข้าใจความหมายมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจในตัวไอ้เด็กคนนี้คือ มันเป็นเด็กที่ดี บริสุทธิ์และว่าง่าย ถ้าสิ่งไหนที่ผู้ใหญ่เตือนว่าไม่ดีไม่ควรทำมันจะไม่ทำ ไม่พาตัวเองเข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน
“ดีแล้ว ไปกินก๋วยเตี๋ยวสิพี่ซื้อมาเผื่อเอ็งด้วยนะ พี่ฝากไว้ที่หลวงพี่เพ็ญแน่ะ” ผมบอกพลางเอามือลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
“เดี๋ยวผมล้างจานก่อนค่อยไปกินก็ได้ครับ” ไอ้เต้บอก
“ไม่เป็นไรไปกินเถอะ จานนิดเดียวพี่ล้างได้” ผมบอกมันไป ไอ้เต้พยักหน้าแล้ววิ่งไปทางกุฏิหลวงพี่เพ็ญ ผมมองตามหลังมันด้วยความเอ็นดูสงสาร
ถ้าคิดกันแบบเล่น ๆ ตอนที่ไอ้เต้มันเป็นผีพุ่งใต้ ขณะที่มันล่องลอยเพื่อหาสถานที่ ๆ มันจะได้มาเกิด มันอาจจะมองเห็นยอดมะพร้าวเป็นยอดปราสาท คิดว่าถ้าเกิดในบ้านหลังนี้คงจะสุขสบายไปชั่วชีวิตจึงได้หักหัวเลี้ยวพุ่งเฟี้ยวเข้ามาจุติยังครรภ์ของแม่มัน
แต่ถ้าจะมองกันในหลักของพระพุทธศาสนาตามคำสอนที่เราได้รับการอบรมบ่มความรู้กันมา ชาติก่อนมันคงก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาสาหัสทีเดียว ชาตินี้มันจึงต้องมาตกระกำลำบากเช่นทุกวันนี้ ผมหวังแค่ว่าการที่มันได้มาอยู่อาศัยในวัด ธรรมะคงจะช่วยขัดเกลาให้มันเติบโตขึ้นเป็นคนดี ไม่สร้างกรรมใด ๆ ให้เป็นบาปเวรติดตัวอีกในชาตินี้ แค่นั้นก็พอแล้วครับ
(มีต่อนะครับ)