....... ( เสียใจ ) .......
……..ผมชื่อมานะ เป็นครูที่โรงเรียนบ้านปลายนา หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร การทำมาหากินของชาวบ้านก็แค่พอกิน ไม่ถึงกับเหลือพอที่จะเก็บไว้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการเรียนของบุตรหลานในแต่ละครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปแบบขัดสน ความหวังของชาวบ้านมีเพียงแค่ ให้ลูกหลานได้ไปโรงเรียน อ่านออก เขียนได้ เท่านั้นก็พอใจ ความหวังซึ่งสูงไปกว่านั้น ถึงแม้จะมีบางคนเคยคิดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเลิกล้มเมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเรื่องการทำกิน จึงกลายเป็นความหวัง และความฝันที่แสนเลือนราง
อาชีพเกษตรกร ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังมานานแล้ว การช่วยเหลือตัวเองของชาวไร่ชาวนา จึงต้องหันไปหานายทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะดีเป็นทุนเดิม เมื่อนำปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์ข้าว และน้ำมันเชื้อเพลิง มาให้ชาวบ้านนำไปใช้ก่อน โดยคิดราคารวมดอกเบี้ยเข้าไป พอได้ผลผลิตออกมา นายทุนเองจะเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้ตั้งราคา ดังนั้นในทุก ๆ ปี เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว เจ้าของที่นา ซึ่งเป็นทั้งผู้ลงทุนและลงแรง ก็จะเหลือเงินติดบ้านอยู่เพียงไม่กี่สตางค์ และเมื่อฝนมาครั้งใหม่ ถึงคราวต้องทำนา แต่เงินไม่มี ก็ต้องพึ่งนายทุนอีกเช่นเดิม หมุนเวียนไปแบบนี้โดยไม่มีทางออกจากวังวนไปได้เลย
ในเมื่อพ่อแม่ไม่มีเงิน เด็กเล็ก ๆ ก็ต้องอยู่อย่างตามมีตามเกิดเช่นกัน การกินอยู่ก็ง่าย ๆ ผักหญ้าปูปลารอบบ้านมีให้ทำกินทุกวัน ส่วนขนมอร่อย ๆ นั้น จะมีเพียงเด็กบางคนที่ได้กิน เด็กส่วนใหญ่ต้องรอวันพระ หรืองานแต่งงาน งานบวช อะไรแบบนี้ถึงจะได้กินขนมแปลก ๆ กับเขาสักที ส่วนที่เจอกันอยู่ประจำก็คือเม็ดแมงลัก แช่น้ำให้พองแล้วใส่น้ำตาลนิดหนึ่ง หรือไม่ก็สาคูเปียก ซึ่งบ้านที่มีลูกหลายคนนิยมทำ เพราะใช้เงินน้อยในขณะที่ปริมาณมากพอจะกินกันทั้งครอบครัว
ผมเองก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง การได้เล่าเรียนจนจบครูออกมานั้นก็ไม่ใช่ราบรื่นเสียทีเดียว มีอุปสรรคให้ต้องติดขัดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ลองคิดดูแล้ว ยังไงชีวิตของผมตอนเป็นนักเรียน ก็ยังดีกว่าเด็กบ้านปลายนาหลายเท่าตัว
การมาเป็นครูของผมครั้งนี้ ได้เปลี่ยนความคิดของผมไปมากพอควร จากเดิมที่เรียนครูมา เพียงเพื่อให้ได้งานทำและมีเงินเดือน อีกทั้งยังพาตัวเองออกจากการเป็นภาระของพ่อแม่ที่ส่งเสียให้ผมเล่าเรียนมากว่ายี่สิบปี
ภาพเด็กนักเรียนที่นี่ ทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ ว่า จะทำอย่างไร ให้พวกเขามีชีวิต และได้รับโอกาสที่ดีกว่าเดิม จิตวิญญาณครูและอุดมการณ์การเป็นผู้ให้ เริ่มเข้ามาในใจผมทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว
แนวความคิดที่จะหารายได้เข้ามาในหมู่บ้าน ได้กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ในเมื่อการทำมาหากินที่ผ่านมานั้น ถ้าไม่ขาดทุน อย่างมากก็เสมอตัว จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นกว่าเดิม
มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบแนวความคิดนี้ แต่ไม่พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพียงส่งคนในบ้านมาพูดคุยกับลุงผู้ใหญ่เป็นระยะ ถามถึงวันและเวลาที่จะเริ่มประชุม ถามเรื่องการนำผลผลิตไปขายตามงานต่าง ๆ ซึ่งลุงผู้ใหญ่ก็ตอบไปตามความเป็นจริง และพูดคุยด้วยอย่างปกติธรรมดาโดยไม่ได้คิดอะไร
คืนวันเสาร์ หลังจากตรวจดูรายงานของเด็กนักเรียนเสร็จแล้ว ผมจึงเตรียมเข้านอนขณะนึกถึงเรื่องราวที่จะพูดคุยกันในวันพรุ่งนี้ หลังจากลุงมิ่งมาบอกความคืบหน้ากับลุงผู้ใหญ่ ว่ารวบรวมชาวบ้านได้สี่สิบคน และนัดเวลากันไว้สี่โมงเย็นวันอาทิตย์ เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวหลังจากเสร็จงานนากัน
กี่ทุ่มแล้วผมไม่ได้ดูนาฬิกา รู้เพียงว่ารอบตัวเงียบสงัด เนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ คุณครูที่พักในโรงเรียนได้พากันกลับบ้านหมด จึงเหลือผมเพียงคนเดียวที่ไม่ได้กลับบ้านกับใคร จึงนอนที่นี่เป็นการเฝ้าโรงเรียนไปในตัว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในโรงเรียนไม่มีของมีค่าให้ขโมย และอีกอย่างหนึ่ง หมู่บ้านก็อยู่ลึกเกินไปที่คนภายนอกจะดั้นด้นเข้ามา
ผมพลิกตัวไปมา เพราะตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้ การเป็นครูสำหรับชาวบ้านนั้น คือผู้ที่รู้ทุกอย่าง และทำได้ทุกอย่างเหนือกว่าคนปกติทั่วไป นั่นคือความกดดันซึ่งผมได้แบกไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะจริง ๆ แล้วตัวผมเองนั้นก็คือคนมีเลือดเนื้อคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจ หรือเหนือกว่าใครแต่อย่างใด
เมื่อคิดนู่นคิดนี่เพลิน ๆ จนใกล้เคลิ้มหลับ ผมได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากอาคารไม้ใต้ถุนสูงอีกฟากหนึ่งของสนามบอล ซึ่งห้องริมสุดเป็นห้องเรียนดนตรีและเก็บเครื่องดนตรี ตามชนบทก็เป็นเครื่องดนตรีพื้นฐาน มีขลุ่ย ซอ ระนาด ตะโพน ฉิ่ง ฉาบ กรับ เหล่านี้เป็นต้น เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงตั้งสายซออู้ ซึ่งเคยได้ยินครูแม้วท่านทำบ่อย ๆ ในชั่วโมงเรียน เวลานี้ผมไม่แน่ใจว่าเกิดเสียงขึ้นได้อย่างไร เพราะครูแม้วกลับบ้านไปตั้งแต่เย็นวันศุกร์ และตอนนี้ก็น่าจะดึกพอควร จึงลุกขึ้นนั่งและฟังอย่างตั้งใจ
“อ่อ อ่อ อ่อ อ๊อ อ๊อ อ่อ อ่อ อ๊อ อ่อ อ๊อ…..”
ขนผมลุกซู่ขึ้นทันที พร้อมกับเสียงนั้นเงียบหายไป ผมนึกถึงขโมยขึ้นมา แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอย่างไว เพราะไม่มีเสียงหมาเห่าแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งขโมยที่ไหนจะมานั่งสีซอ แทนที่จะรีบค้นหาข้าวของแล้วรีบออกไป
ผมรีบล้มตัวลงนอนและดึงผ้าห่มคลุมโปงทันที ปากก็ท่อง นะโมตัสสะ ขณะใจเต้นแรง เพราะคาถาอื่นผมไม่รู้จักสักอย่างเดียว จึงพึมพำว่า นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ จนหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
เช้าแล้ว ผมรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ไก่ขันตอนค่อนแจ้ง แต่ยังคงนอนอยู่บนที่นอนไม่ลุกออกมา เพราะรอบตัวยังมืดสนิท ซึ่งถ้าเป็นเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ผ่าน ๆ มาผมคงลุกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์รอบ ๆ โรงเรียนแล้ว แต่เสียงปริศนาเมื่อคืนทำให้ผมนอนนิ่งแทบไม่กล้าขยับตัว จนเมื่อเห็นแสงของอาทิตย์ยามเช้า ส่องผ่านไอหมอกบาง ๆ ลงมา ผมจึงลุกจากที่นอนและเดินไปตรงระเบียง พร้อมกับมองข้ามสนามบอลไปยังอาคารเรียนตรงข้าม ซึ่งทุกอย่างเป็นปกติดี รวมทั้งประตูทุกบานปิดสนิทเหมือนเช่นวันหยุดที่ผ่านมา
ผมถอนใจก่อนจะสลัดหัวเบา ๆ พลางคิดว่าน่าจะเป็นอารมณ์เคลิ้มใกล้หลับ บวกกับความคิดฟุ้งซ่าน จึงทำให้เกิดหูแว่วขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงหมุนตัวกลับเข้าในห้องคว้าผ้าเช็ดตัวพาดบ่า เดินลงบันไดเพื่อไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะเสียงรถลุงน้อยเเล่นผ่านหน้าประตูโรงเรียนเข้ามาพอดี
“แทร่ด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
ผมชะงักอยู่ตรงกลางบันไดก่อนส่งยิ้มให้ลุงทั้งสอง ซึ่งลุงน้อยได้ขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านพร้อมกับดับเครื่องแล้วเอาขาตั้งลง เสียงรถซึ่งก้องไปมาระหว่างอาคารจึงเงียบลง
“โอ้โหลุง นอนไม่หลับเหรอ นี่มันยังไม่หกโมงเลยนะลุง”
ผมกระเซ้าออกไปขณะลุงมิ่งลงมายืนข้างรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับเดินเข้ามาหาผมซึ่งลงบันไดถึงพื้นพอดี ส่วนลุงน้อยลงจากรถแล้วเดินไปทางสนามช้าๆ มองรอบ ๆ อย่างไม่สนใจอะไรจริงจัง
“ลุงอย่าเดินไปทางอาคารเน้อ เมื่อคืนเสียงซอดังกลางดึก ผมนี้ขนลุกทั้งตัวเลย”
ผมมองลุงน้อยซึ่งยืนนิ่งอยู่ริมสนามไม่พูดอะไร ก่อนจะก้าวไปทางอาคาร พร้อมกับเอ่ยออกมาขณะเดินไปเรื่อย ๆ ไม่หันมามอง
“หน้าต่างไม่ได้ปิดมั้งครู บานพับมันเป็นสนิมก็เลยดัง
ออดแอด ครูคงหูแว่วได้ยินเป็นเสียงซอ”
ผมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่ได้แย้งอะไรออกไป ก่อนหันมาทางลุงมิ่งพร้อมเอ่ยถามออกไป
“ไปไหนกันแต่เช้าเนี่ยลุง”
ลุงมิ่งหันซ้ายหันขวา ผมจึงชวนเข้าไปนั่งตรงโต๊ะใต้ถุน แล้วเดินนำลุงเข้าไป ผมหยุดยืนขณะลุงมิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อลุงนั่งเรียบร้อยแล้ว ผมจึงนั่งลงตรงกันข้ามพร้อมกับเอาผ้าเช็ดตัววางไว้บนเก้าอี้ที่ว่างข้างตัว ก่อนมองหน้าลุงซึ่งถอนใจออกมายาว
“มีอะไรเหรอลุงเห็นทำหน้าไม่สบายใจ”
ผมถามพร้อมกับอมยิ้ม เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ลุงมิ่งไม่เคยกลุ้มใจเรื่องอะไรให้เห็น นอกจากเรื่องอดเหล้าเพื่อเจ๊แตงเรื่องเดียว
“เมื่อคืน ผมไปเลาะหาพวกไอ้ดำชวนมันคุยเรื่องประชุมเย็นนี้ มันบอกว่าไม่น่าจะมีใครมา”
ผมอึ้งไปที่ได้ยินแบบนั้น แต่ยังคงยิ้มขณะพูดกับลุงมิ่งออกไป
“ไม่ละมั้ง ลุงดำคงล้อลุงเล่นแหละ ก็เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของพวกเราอยู่แล้ว เขาทำไมจะไม่มา”
ลุงมิ่งถอนใจอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“กำนันลอย เขานัดลูกหนี้เขาทุกคนวันนี้ เวลาเดียวกันเลย บอกใครไม่ไป ทำนาคราวหน้าเขาจะไม่ช่วยอะไร ”
ผมหุบยิ้มพร้อมกับนึกถึงหนี้สินซึ่งหลายคนติดค้างไว้กับกำนันลอย นายทุนค้าปุ๋ยและพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ บ้านของกำนันอยู่ถัดไปสองหมู่บ้าน บริเวณหน้าบ้านกว้างขวาง ใช้กองกระสอบพันธุ์ข้าวและกระสอบปุ๋ยได้หลายร้อยกระสอบ และแน่นอน ที่นาของกำนันก็มีอยู่หลายร้อยไร่เช่นกัน
ผมถอนใจเมื่อเจออุปสรรคแรก ซึ่งตอนนี้มองยังไงก็เจอแต่ทางตัน เพราะถ้ากำนันเกิดไม่พอใจ และเร่งรัดชาวบ้านให้จ่ายหนี้ในคราวเดียว คงต้องเดือดร้อนกันทุกครอบครัวอย่างแน่นอน แต่ยังคิดอย่างปลอบใจตัวเอง และพูดออกไปเพื่อให้กำลังใจลุงมิ่งอีกคน
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกลุง เดี๋ยวลองดูตอนเย็นอีกที ผมว่าอย่างน้อยก็ต้องมีสักสิบคน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องปากท้องของพวกเราเอง และของลูกหลานเรา ผมว่าคงไม่เป็นอย่างที่เราคิดหรอกน่า”
ผมยิ้มให้ลุงมิ่งซึ่งพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับถอนใจยาว ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปที่รถ ขณะลุงน้อยเดินมองซ้ายมองขวากลับมาจากอาคาร และส่งยิ้มมาแต่ไกล ก่อนเอ่ยออกมาเมื่อเดินถึงตรงหน้าพวกเรา
“หน้าต่างเปิดไว้จริง ๆ ครู ลมพัดไปมามันก็เลยดังออดแอด ผมเอากลอนวางไว้บนวงกบแล้วดันเข้าไปให้กลอนตกลงรู ลองขยับแล้วไม่เปิดแน่ คราวนี้ไม่ดังแล้วละ”
ผมถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อสมมติฐานของลุงน้อยเป็นความจริง ขณะลุงเดินไปที่รถเหวี่ยงเท้าข้ามเบาะขึ้นไปนั่งคร่อมก่อนเขี่ยขาตั้งขึ้น แล้วยกเท้ากระแทกคันสตาร์ทลงไปจนเสียงเครื่องดังคำราม ลุงมิ่งเดินหงอย ๆ ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายก่อนยกมือตบบ่าลุงน้อยเบา ๆ และรถก็เคลื่อนออกจากตรงนั้นส่งเสียงก้องไปสองข้างทาง ขณะผมถอนใจออกมาพลางมองตามสองลุงจนลับตา
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”....
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......เสียใจ........@@ โดย ลุงแผน
……..ผมชื่อมานะ เป็นครูที่โรงเรียนบ้านปลายนา หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร การทำมาหากินของชาวบ้านก็แค่พอกิน ไม่ถึงกับเหลือพอที่จะเก็บไว้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการเรียนของบุตรหลานในแต่ละครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปแบบขัดสน ความหวังของชาวบ้านมีเพียงแค่ ให้ลูกหลานได้ไปโรงเรียน อ่านออก เขียนได้ เท่านั้นก็พอใจ ความหวังซึ่งสูงไปกว่านั้น ถึงแม้จะมีบางคนเคยคิดอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเลิกล้มเมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเรื่องการทำกิน จึงกลายเป็นความหวัง และความฝันที่แสนเลือนราง
อาชีพเกษตรกร ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังมานานแล้ว การช่วยเหลือตัวเองของชาวไร่ชาวนา จึงต้องหันไปหานายทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะดีเป็นทุนเดิม เมื่อนำปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เมล็ดพันธุ์ข้าว และน้ำมันเชื้อเพลิง มาให้ชาวบ้านนำไปใช้ก่อน โดยคิดราคารวมดอกเบี้ยเข้าไป พอได้ผลผลิตออกมา นายทุนเองจะเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้ตั้งราคา ดังนั้นในทุก ๆ ปี เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว เจ้าของที่นา ซึ่งเป็นทั้งผู้ลงทุนและลงแรง ก็จะเหลือเงินติดบ้านอยู่เพียงไม่กี่สตางค์ และเมื่อฝนมาครั้งใหม่ ถึงคราวต้องทำนา แต่เงินไม่มี ก็ต้องพึ่งนายทุนอีกเช่นเดิม หมุนเวียนไปแบบนี้โดยไม่มีทางออกจากวังวนไปได้เลย
ในเมื่อพ่อแม่ไม่มีเงิน เด็กเล็ก ๆ ก็ต้องอยู่อย่างตามมีตามเกิดเช่นกัน การกินอยู่ก็ง่าย ๆ ผักหญ้าปูปลารอบบ้านมีให้ทำกินทุกวัน ส่วนขนมอร่อย ๆ นั้น จะมีเพียงเด็กบางคนที่ได้กิน เด็กส่วนใหญ่ต้องรอวันพระ หรืองานแต่งงาน งานบวช อะไรแบบนี้ถึงจะได้กินขนมแปลก ๆ กับเขาสักที ส่วนที่เจอกันอยู่ประจำก็คือเม็ดแมงลัก แช่น้ำให้พองแล้วใส่น้ำตาลนิดหนึ่ง หรือไม่ก็สาคูเปียก ซึ่งบ้านที่มีลูกหลายคนนิยมทำ เพราะใช้เงินน้อยในขณะที่ปริมาณมากพอจะกินกันทั้งครอบครัว
ผมเองก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง การได้เล่าเรียนจนจบครูออกมานั้นก็ไม่ใช่ราบรื่นเสียทีเดียว มีอุปสรรคให้ต้องติดขัดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ลองคิดดูแล้ว ยังไงชีวิตของผมตอนเป็นนักเรียน ก็ยังดีกว่าเด็กบ้านปลายนาหลายเท่าตัว
การมาเป็นครูของผมครั้งนี้ ได้เปลี่ยนความคิดของผมไปมากพอควร จากเดิมที่เรียนครูมา เพียงเพื่อให้ได้งานทำและมีเงินเดือน อีกทั้งยังพาตัวเองออกจากการเป็นภาระของพ่อแม่ที่ส่งเสียให้ผมเล่าเรียนมากว่ายี่สิบปี
ภาพเด็กนักเรียนที่นี่ ทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาใหม่ ว่า จะทำอย่างไร ให้พวกเขามีชีวิต และได้รับโอกาสที่ดีกว่าเดิม จิตวิญญาณครูและอุดมการณ์การเป็นผู้ให้ เริ่มเข้ามาในใจผมทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว
แนวความคิดที่จะหารายได้เข้ามาในหมู่บ้าน ได้กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ในเมื่อการทำมาหากินที่ผ่านมานั้น ถ้าไม่ขาดทุน อย่างมากก็เสมอตัว จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นกว่าเดิม
มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ชอบแนวความคิดนี้ แต่ไม่พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพียงส่งคนในบ้านมาพูดคุยกับลุงผู้ใหญ่เป็นระยะ ถามถึงวันและเวลาที่จะเริ่มประชุม ถามเรื่องการนำผลผลิตไปขายตามงานต่าง ๆ ซึ่งลุงผู้ใหญ่ก็ตอบไปตามความเป็นจริง และพูดคุยด้วยอย่างปกติธรรมดาโดยไม่ได้คิดอะไร
คืนวันเสาร์ หลังจากตรวจดูรายงานของเด็กนักเรียนเสร็จแล้ว ผมจึงเตรียมเข้านอนขณะนึกถึงเรื่องราวที่จะพูดคุยกันในวันพรุ่งนี้ หลังจากลุงมิ่งมาบอกความคืบหน้ากับลุงผู้ใหญ่ ว่ารวบรวมชาวบ้านได้สี่สิบคน และนัดเวลากันไว้สี่โมงเย็นวันอาทิตย์ เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวหลังจากเสร็จงานนากัน
กี่ทุ่มแล้วผมไม่ได้ดูนาฬิกา รู้เพียงว่ารอบตัวเงียบสงัด เนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ คุณครูที่พักในโรงเรียนได้พากันกลับบ้านหมด จึงเหลือผมเพียงคนเดียวที่ไม่ได้กลับบ้านกับใคร จึงนอนที่นี่เป็นการเฝ้าโรงเรียนไปในตัว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในโรงเรียนไม่มีของมีค่าให้ขโมย และอีกอย่างหนึ่ง หมู่บ้านก็อยู่ลึกเกินไปที่คนภายนอกจะดั้นด้นเข้ามา
ผมพลิกตัวไปมา เพราะตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้ การเป็นครูสำหรับชาวบ้านนั้น คือผู้ที่รู้ทุกอย่าง และทำได้ทุกอย่างเหนือกว่าคนปกติทั่วไป นั่นคือความกดดันซึ่งผมได้แบกไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะจริง ๆ แล้วตัวผมเองนั้นก็คือคนมีเลือดเนื้อคนหนึ่ง เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจ หรือเหนือกว่าใครแต่อย่างใด
เมื่อคิดนู่นคิดนี่เพลิน ๆ จนใกล้เคลิ้มหลับ ผมได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากอาคารไม้ใต้ถุนสูงอีกฟากหนึ่งของสนามบอล ซึ่งห้องริมสุดเป็นห้องเรียนดนตรีและเก็บเครื่องดนตรี ตามชนบทก็เป็นเครื่องดนตรีพื้นฐาน มีขลุ่ย ซอ ระนาด ตะโพน ฉิ่ง ฉาบ กรับ เหล่านี้เป็นต้น เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงตั้งสายซออู้ ซึ่งเคยได้ยินครูแม้วท่านทำบ่อย ๆ ในชั่วโมงเรียน เวลานี้ผมไม่แน่ใจว่าเกิดเสียงขึ้นได้อย่างไร เพราะครูแม้วกลับบ้านไปตั้งแต่เย็นวันศุกร์ และตอนนี้ก็น่าจะดึกพอควร จึงลุกขึ้นนั่งและฟังอย่างตั้งใจ
“อ่อ อ่อ อ่อ อ๊อ อ๊อ อ่อ อ่อ อ๊อ อ่อ อ๊อ…..”
ขนผมลุกซู่ขึ้นทันที พร้อมกับเสียงนั้นเงียบหายไป ผมนึกถึงขโมยขึ้นมา แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอย่างไว เพราะไม่มีเสียงหมาเห่าแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งขโมยที่ไหนจะมานั่งสีซอ แทนที่จะรีบค้นหาข้าวของแล้วรีบออกไป
ผมรีบล้มตัวลงนอนและดึงผ้าห่มคลุมโปงทันที ปากก็ท่อง นะโมตัสสะ ขณะใจเต้นแรง เพราะคาถาอื่นผมไม่รู้จักสักอย่างเดียว จึงพึมพำว่า นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ จนหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
เช้าแล้ว ผมรู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ไก่ขันตอนค่อนแจ้ง แต่ยังคงนอนอยู่บนที่นอนไม่ลุกออกมา เพราะรอบตัวยังมืดสนิท ซึ่งถ้าเป็นเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ผ่าน ๆ มาผมคงลุกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์รอบ ๆ โรงเรียนแล้ว แต่เสียงปริศนาเมื่อคืนทำให้ผมนอนนิ่งแทบไม่กล้าขยับตัว จนเมื่อเห็นแสงของอาทิตย์ยามเช้า ส่องผ่านไอหมอกบาง ๆ ลงมา ผมจึงลุกจากที่นอนและเดินไปตรงระเบียง พร้อมกับมองข้ามสนามบอลไปยังอาคารเรียนตรงข้าม ซึ่งทุกอย่างเป็นปกติดี รวมทั้งประตูทุกบานปิดสนิทเหมือนเช่นวันหยุดที่ผ่านมา
ผมถอนใจก่อนจะสลัดหัวเบา ๆ พลางคิดว่าน่าจะเป็นอารมณ์เคลิ้มใกล้หลับ บวกกับความคิดฟุ้งซ่าน จึงทำให้เกิดหูแว่วขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงหมุนตัวกลับเข้าในห้องคว้าผ้าเช็ดตัวพาดบ่า เดินลงบันไดเพื่อไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะเสียงรถลุงน้อยเเล่นผ่านหน้าประตูโรงเรียนเข้ามาพอดี
“แทร่ด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
ผมชะงักอยู่ตรงกลางบันไดก่อนส่งยิ้มให้ลุงทั้งสอง ซึ่งลุงน้อยได้ขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านพร้อมกับดับเครื่องแล้วเอาขาตั้งลง เสียงรถซึ่งก้องไปมาระหว่างอาคารจึงเงียบลง
“โอ้โหลุง นอนไม่หลับเหรอ นี่มันยังไม่หกโมงเลยนะลุง”
ผมกระเซ้าออกไปขณะลุงมิ่งลงมายืนข้างรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับเดินเข้ามาหาผมซึ่งลงบันไดถึงพื้นพอดี ส่วนลุงน้อยลงจากรถแล้วเดินไปทางสนามช้าๆ มองรอบ ๆ อย่างไม่สนใจอะไรจริงจัง
“ลุงอย่าเดินไปทางอาคารเน้อ เมื่อคืนเสียงซอดังกลางดึก ผมนี้ขนลุกทั้งตัวเลย”
ผมมองลุงน้อยซึ่งยืนนิ่งอยู่ริมสนามไม่พูดอะไร ก่อนจะก้าวไปทางอาคาร พร้อมกับเอ่ยออกมาขณะเดินไปเรื่อย ๆ ไม่หันมามอง
“หน้าต่างไม่ได้ปิดมั้งครู บานพับมันเป็นสนิมก็เลยดัง ออดแอด ครูคงหูแว่วได้ยินเป็นเสียงซอ”
ผมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่ได้แย้งอะไรออกไป ก่อนหันมาทางลุงมิ่งพร้อมเอ่ยถามออกไป
“ไปไหนกันแต่เช้าเนี่ยลุง”
ลุงมิ่งหันซ้ายหันขวา ผมจึงชวนเข้าไปนั่งตรงโต๊ะใต้ถุน แล้วเดินนำลุงเข้าไป ผมหยุดยืนขณะลุงมิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อลุงนั่งเรียบร้อยแล้ว ผมจึงนั่งลงตรงกันข้ามพร้อมกับเอาผ้าเช็ดตัววางไว้บนเก้าอี้ที่ว่างข้างตัว ก่อนมองหน้าลุงซึ่งถอนใจออกมายาว
“มีอะไรเหรอลุงเห็นทำหน้าไม่สบายใจ”
ผมถามพร้อมกับอมยิ้ม เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ลุงมิ่งไม่เคยกลุ้มใจเรื่องอะไรให้เห็น นอกจากเรื่องอดเหล้าเพื่อเจ๊แตงเรื่องเดียว
“เมื่อคืน ผมไปเลาะหาพวกไอ้ดำชวนมันคุยเรื่องประชุมเย็นนี้ มันบอกว่าไม่น่าจะมีใครมา”
ผมอึ้งไปที่ได้ยินแบบนั้น แต่ยังคงยิ้มขณะพูดกับลุงมิ่งออกไป
“ไม่ละมั้ง ลุงดำคงล้อลุงเล่นแหละ ก็เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของพวกเราอยู่แล้ว เขาทำไมจะไม่มา”
ลุงมิ่งถอนใจอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“กำนันลอย เขานัดลูกหนี้เขาทุกคนวันนี้ เวลาเดียวกันเลย บอกใครไม่ไป ทำนาคราวหน้าเขาจะไม่ช่วยอะไร ”
ผมหุบยิ้มพร้อมกับนึกถึงหนี้สินซึ่งหลายคนติดค้างไว้กับกำนันลอย นายทุนค้าปุ๋ยและพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ บ้านของกำนันอยู่ถัดไปสองหมู่บ้าน บริเวณหน้าบ้านกว้างขวาง ใช้กองกระสอบพันธุ์ข้าวและกระสอบปุ๋ยได้หลายร้อยกระสอบ และแน่นอน ที่นาของกำนันก็มีอยู่หลายร้อยไร่เช่นกัน
ผมถอนใจเมื่อเจออุปสรรคแรก ซึ่งตอนนี้มองยังไงก็เจอแต่ทางตัน เพราะถ้ากำนันเกิดไม่พอใจ และเร่งรัดชาวบ้านให้จ่ายหนี้ในคราวเดียว คงต้องเดือดร้อนกันทุกครอบครัวอย่างแน่นอน แต่ยังคิดอย่างปลอบใจตัวเอง และพูดออกไปเพื่อให้กำลังใจลุงมิ่งอีกคน
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกลุง เดี๋ยวลองดูตอนเย็นอีกที ผมว่าอย่างน้อยก็ต้องมีสักสิบคน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องปากท้องของพวกเราเอง และของลูกหลานเรา ผมว่าคงไม่เป็นอย่างที่เราคิดหรอกน่า”
ผมยิ้มให้ลุงมิ่งซึ่งพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับถอนใจยาว ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปที่รถ ขณะลุงน้อยเดินมองซ้ายมองขวากลับมาจากอาคาร และส่งยิ้มมาแต่ไกล ก่อนเอ่ยออกมาเมื่อเดินถึงตรงหน้าพวกเรา
“หน้าต่างเปิดไว้จริง ๆ ครู ลมพัดไปมามันก็เลยดังออดแอด ผมเอากลอนวางไว้บนวงกบแล้วดันเข้าไปให้กลอนตกลงรู ลองขยับแล้วไม่เปิดแน่ คราวนี้ไม่ดังแล้วละ”
ผมถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อสมมติฐานของลุงน้อยเป็นความจริง ขณะลุงเดินไปที่รถเหวี่ยงเท้าข้ามเบาะขึ้นไปนั่งคร่อมก่อนเขี่ยขาตั้งขึ้น แล้วยกเท้ากระแทกคันสตาร์ทลงไปจนเสียงเครื่องดังคำราม ลุงมิ่งเดินหงอย ๆ ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายก่อนยกมือตบบ่าลุงน้อยเบา ๆ และรถก็เคลื่อนออกจากตรงนั้นส่งเสียงก้องไปสองข้างทาง ขณะผมถอนใจออกมาพลางมองตามสองลุงจนลับตา
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”....
( มีต่อครับ )