ขอบคุณ ภาพจาก google map ครับ
.......( กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง )........
......สวัสดีครับ ผมชื่อมานะ เป็นครูในโรงเรียนเล็ก ๆ ที่หมู่บ้านปลายนา หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไกลจากตัวจังหวัดโดยใช้เวลานั่งรถสองแถวประมาณสี่สิบนาที ซึ่งก็ไม่ใกล้และไม่ไกลนัก สำหรับการเดินทางไปมา ส่วนการนั่งรถโดยสารต่อไปยังจังหวัดของผมก็สะดวกสบาย แต่ถึงกระนั้นก็ดี ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่จนใกล้ครบหนึ่งปี ผมยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย
ถ้าจะถามว่าผมคิดถึงพ่อกับแม่หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าคิดถึงนะครับ แต่ผมกับท่านอยู่ห่างกันแบบนี้หลายหนแล้ว จึงทำให้ผมผลัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมาสำหรับการกลับไป
ส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผมมีความสุขในทุกวัน เพราะตื่นเช้าขึ้นมาบรรยากาศรอบตัวคล้ายกับอยู่บ้านตัวเอง มีทุ่งนาและทิวไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นรอบตัว มีสายลมเย็นพัดผ่านทำจิตใจชุ่มชื่น และที่สำคัญ น้ำใจอันใสสะอาดของชาวบ้าน และความใสซื่อของเด็กบ้านนาทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของผมเอง
สีสันอีกอย่างหนึ่ง คือชีวิตของคนที่เข้ามาผูกพันโดยไม่ได้เป็นญาติหรือพี่น้องกัน แต่กลับคบกันสนิทใจ โดยไม่มีความคิดแม้น้อยนิด ว่าจะหวังประโยชน์จากอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่ผมกลับตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะเมื่อคืนตอนกลางดึก มีเสียงหมาเห่ารับกัน ระหว่างฝูงหมาในวัดกับหมาข้างโรงเรียน ครั้งแรกเสียงเห่าหอนเริ่มจากทางวัดและเห่ารับเป็นทอด ๆ มาจนถึงข้างโรงเรียน เสียงเห่านั้นดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเงียบไป สักพักพอผมเริ่มเคลิ้ม ๆ เสียงหมาข้างโรงเรียนก็เห่าแบบไม่กลัวเหนื่อย เห่าเร้า เห่ากระโชก เห่าผสมหอน เห่าเป็นจังหวะจะโคน แล้วแต่สไตล์ใครสไตล์มัน เห่าแข่งกันจนผมต้องนอนลืมตาฟังอย่างตั้งใจ ก่อนที่หมาในวัดจะทั้งเห่าทั้งหอนกันเกรียวรับเสียงหมาจากทางโรงเรียน สักพักก็เงียบไป กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่งเสียงกันขึ้นมาอีกครั้ง สลับไปสลับมาอยู่สี่ห้ารอบทำให้ผมนอนหลับไม่สนิทเท่าไร เพราะมีผมนอนอยู่ในโรงเรียนแค่คนเดียว ส่วนครูคนอื่นพากันกลับบ้านเหมือนกับวันหยุดทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็นั่งซักเสื้อผ้ากะละมังใหญ่ ซักเสร็จแล้วนำมาตากไว้ตรงราวข้างบ้านพัก ตอนนี้แสงตะวันยังส่องลงมาเพียงเบาบาง ความเย็นยังคงโรยอยู่รอบบริเวณ เนื่องจากทิวไม้ซึ่งกระจายอยู่ทั่วนั่นเอง เมื่อตากผ้าเสร็จแล้วผมกำลังนึกว่า จะไปซื้อกับข้าวที่ร้านลุงผู้ใหญ่หรือจะไปที่ร้านกาแฟ ก็พอดีกับเสียงรถลุงน้อยเเล่นเข้าเขตโรงเรียนมุ่งมาทางหน้าบ้านพักครู
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ผมเดินออกไปตรงลานดินด้านหน้า และเดินถึงตรงนั้นพร้อมกับรถลุงน้อยเข้ามาจอดตรงหน้าพอดี
“ไปไหนกันแต่เช้าล่ะลุง”
ผมเอ่ยถามออกไปขณะลุงมิ่งเหวี่ยงขาข้ามเบาะลงมายืนพร้อมกับเอ่ยออกมา
“เช้าอะไรล่ะครูนี่มันกี่โมงแล้ว แล้วครูใส่ขาสั้นเสื้อยืดไม่ออกไปไหนหรือวันนี้”
ผมยิ้มพลางก้มมองตัวเองในชุดอยู่บ้านธรรมดา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองลุงมิ่งแล้วตอบกลับไป
“วันนี้วันหยุด ผมเลยซักผ้าตากไว้ แล้วว่าจะไปหาอะไรกิน ค่อยกลับมาทำงานสักหน่อย การบ้านเด็กยังเหลืออีกกองหนึ่งยังไม่ได้ตรวจเลย ลุงจะไปไหนกัน ไปกินกาแฟสักเดี๋ยวไหม”
ผมเอ่ยชวนพลางชำเลืองมองลุงน้อยซึ่งกำลังใช้สองเท้ายันพื้นขยับรถถอยหน้าถอยหลัง ก่อนจะหันหน้ารถออกไปทางที่เข้ามา ขณะลุงมิ่งมองหน้าผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกลุ้มใจ
“ไปมาแล้วล่ะสิ ถึงเลยมาหาครูเนี่ย ไอ้ตั้มมันไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืน พอเจอหน้าผมเจ๊แตงรีบเล่าให้ฟังเลย ผมจะชวนครูไปตามหามันกัน ครูพอมีเวลาสักหน่อยไหม”
ผมเห็นสีหน้าลุงมิ่งเคร่งเครียดก็พลอยจะเครียดตามไปด้วยอีกคน พร้อมกับนึกถึงเจ๊แตง ซึ่งปกติก็คอยกังวลเกี่ยวกับน้องชายอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าตั้มหายไปอย่างนี้ เจ๊แตงคงมีความกลุ้มใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ผมลองนึกดูช้า ๆ ว่าเมื่อวานก่อนตอนกลางคืนเจ้าตั้มถอดจีวรไว้ในวัดแล้วตัวก็หายไป แต่คืนนั้นคงกลับไปนอนที่ร้านกาแฟ เพราะตอนเช้าของวันเสาร์เราเข้าไปที่ร้าน เจ๊แตงไม่ได้พูดอะไรเรื่องเจ้าตั้มให้ฟัง
“ไปสิลุง ว่าแต่ว่าไปดูในวัดหรือยัง เขาเคยเข้าในวัดไม่รู้หลบไปนอนอยู่ในป่าแถวนั้นหรือเปล่า”
ผมตอบพร้อมกับเดาออกไป เพราะหลังจากตอนนั้นไม่มีใครเห็นเจ้าตั้มสักคน ลุงมิ่งส่ายหน้าไปมา มองหน้าลุงน้อยแล้วหันมาทางผมก่อนเอ่ยออกมา
“ไม่น่านะครู แต่ไหนแต่ไรจะมืดค่ำยังไงไอ้ตั้มต้องกลับไปกินข้าวแล้วนอนบ้าน เห็นมันอย่างนั้นก็เถอะครู มันไม่นอนในป่าในดงกับเขาหรอก จะมีก็แค่ลุยเข้าไปเดินเล่นหรือไม่ก็ลุยขี้โคลนเพลิน ๆ”
ผมพยักหน้าช้า ๆ ขณะมองหน้าลุงน้อยซึ่งเตรียมยกเท้าดันคันสตาร์ทแทนการส่งเสียงเร่งออกมา ก่อนที่อีกอึดใจเสียงรถแกจะดังขึ้น
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ลุงมิ่งหันขวับไปทันทีที่ได้ยินพร้อมกับบ่นพึมพำพึมพำก่อนเดินไปขึ้นนั่งบนเบาะแล้วขยับติดลุงน้อย ผมเห็นดังนั้นจึงก้าวเข้าไปและขึ้นนั่งซ้อนท้ายขณะหูได้ยินเสียงลุงมิ่งบ่นเบา ๆ
“บทจะรีบก็รีบจังเลยไอ้นี่ จะให้ครูเค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยก็ไม่ได้”
ผมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนกระซิบบอกลุงมิ่งออกไปขณะลุงน้อยเร่งเครื่องรถออกจากหน้าบ้านพักครูไปตามทาง
“ผมเหลือชุดเดียวนี่แหละลุง ไม่ได้ซักเลยทั้งอาทิตย์ วันนี้พอมีเวลาเลยจับซักตั้งแต่เช้า ตากเสร็จเพิ่งรู้ว่าเหลือชุดนี้ชุดเดียว”
เสียงรถลุงน้อยสะท้อนสองข้างทาง แต่ผมยังได้ยินเสียงลุงมิ่งหัวเราะในลำคอเบา ๆ
เมื่อพากันออกมาจากโรงเรียนได้ไม่ไกลลุงน้อยก็พารถเลี้ยวขวาและเข้าเขตวัดเมื่อเลี้ยวมาได้ไม่กี่วา เพราะวัดกับโรงเรียนอยู่ติดกัน เพียงแค่มีป่าโปร่งและพุ่มไม้เล็ก ๆ กระจายกั้นอยู่ระหว่างกลางเท่านั้น เมื่อถึงวัดก็เห็นต้นโพธิ์ใหญ่และกุฏิไม้หลังเล็กเก่าแก่ใต้ถุนสูงเรียงอยู่ห้าหลัง ถัดไปเป็นศาลาสำหรับทำบุญซึ่งใต้ถุนสูงและสร้างจากไม้ทั้งหลังเช่นกัน กว้างยาวประมาณห้าวาซึ่งดูกะทัดรัดไม่ใหญ่โตโอ่โถงเหมือนกับศาลาวัดในตัวอำเภอ
รถลุงน้อยแหวกเข้าไปกลางฝูงไก่วัด ซึ่งกำลังล้อมวงจิกกินเศษข้าวก้นบาตรที่พระหว่านไว้ขาวโพลน เสียงไก่ตกใจร้องลั่นพร้อมกับวิ่งกระจายออกไปคนละทาง ตัวหนึ่งบินเรี่ยพื้นเลยกุฏิห้าหลัง ไปถลาร่อนลงตรงโคนต้นโพธิ์แล้ววิ่งร้อง
กระต๊าก กระต๊าก ไปจนเกือบถึงหน้าวัดจึงหยุดยืนแล้วยกขาข้างหนึ่ง หันซ้ายหันขวาจนหงอนบนหัวสะบัดไปมาพร้อมกับทำเสียง
กุก กุก กุก ในลำคอ ก่อนวางเท้าลงกับพื้น เขี่ยดินไปถอยหลังไป สามสี่ครั้ง แล้วก้มลงจิกอะไรบางอย่างบนพื้นดินเพลินอยู่ตรงนั้นไม่หันกลับมา
เสียงไก่สงบลงเมื่อรถลุงน้อยเข้าไปจอดหน้ากุฏิหลังหนึ่ง พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกออกไป ขณะผมยังคงนั่งอยู่บนรถเพราะมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใคร เลยไม่รู้จะลงไปทำไม
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่ครับ หลวงพี่อยู่มั้ย”
เสียงตอบรับอู้อี้มาจากข้างในก่อนที่อึดใจผ่านไปจะมีพระรูปหนึ่งตัวเล็ก ๆ ผิวคล้ำ เปิดประตูกุฏิแล้วเดินออกมาที่นอกชาน
“หลวงพี่โหน่งเห็นไอ้ตั้มไหมครับ เมื่อคืนมันไม่ได้เข้าบ้าน”
ลุงมิ่งเอ่ยถามแข่งกับเสียงรถออกไป หลวงพี่โหน่งหันซ้ายหันขวาก่อนหันมายิ้มฟันขาวทำตาหยี ขณะกอดจีวรซึ่งม้วนกลมไว้แนบอกแน่นพร้อมกับเอ่ยออกมา
“ไม่เห็นหรอกโยมมิ่ง ถ้าเห็นโยมตั้มอาตมาคงระวังตัวกว่านี้”
ประโยคหลังหลวงพี่โหน่งพูดอ้อมแอ้มในลำคอพร้อมกับกอดจีวรแน่นเข้าไปอีก ก่อนมองซ้ายมองขวาอีกครั้งแล้วเดินถอยหลังผ่านช่องประตู ส่งยิ้มฟันขาวให้พวกเราขณะดึงประตูปิดตามเข้าไป
ลุงมิ่งหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าไปมาก่อนสะกิดให้ลุงน้อยออกรถเพื่อไปดูที่อื่นต่อ ลุงน้อยบิดคันเร่งแล้วตีวงกลับไปทางหน้าวัดฝ่าเข้าไปกลางฝูงไก่ซึ่งเพิ่งกลับมารวมตัวกันจนกระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียง
กระต๊าก ลั่นวัด คราวนี้มีหมาวัดผอมแห้งสี่ห้าตัววิ่งกรูตามมาพร้อมส่งเสียงเห่าระงม ผมยกขาทั้งสองข้างขึ้นพลางเอี้ยวคอมองอย่างระแวงกลัวจะโดนงับเอา แต่เมื่อพวกมันวิ่งมาจนใกล้ออกจากเขตวัดก็หยุดวิ่ง แล้วยืนเรียงหน้ากระดานแหงนคอเห่าท้าทายอยู่อึดใจก่อนเลี้ยวกลับวิ่งเข้าวัดไป ขณะตัวหนึ่งแวะตรงต้นมะม่วงข้างทางยกขาขึ้นฉี่ใส่โคนต้นจนน้ำนอง เมื่อเสร็จแล้วจึงวางขาลง สะบัดเท้าสองข้างเขี่ยพื้นดินมาข้างหลังสี่ห้าครั้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ก่อนหมุนตัวกลับมาก้มลงดม ๆ ที่พื้นแล้วเงยหน้าหมุนตัววิ่งตามพรรคพวกไป
ผมยังคงชำเลืองมองข้างหลังอย่างสยดสยองเมื่อนึกถึงคมเขี้ยวของหมา เพราะไม่ว่าจะเป็นหมาอ้วนหรือหมาผอมก็กัดเจ็บเท่ากัน เมื่อพ้นเขตวัดและรถวิ่งถึงทางแยกลุงน้อยทำท่าจะเลี้ยวขวาไปทางร้านกาแฟเจ๊แตง ขณะลุงมิ่งมองไปทางโรงเรียนด้านซ้ายมือ พร้อมกับสะกิดเอวลุงน้อยให้เบาเครื่องพลางเอี้ยวคอมาทางผมแล้วเอ่ยออกมา
“เอ๊ะครู วันอาทิตย์มีครูเวรด้วยเหรอ”
ผมมองตามลุงมิ่งไปทางโรงเรียนด้วยความแปลกใจ ก่อนเอ่ยออกไปขณะลุงน้อยผ่อนคันเร่งจนรถหยุดสนิทอยู่กลางแยกแล้ววางเท้าลงกับพื้นพร้อมกับหันมองไปทางเดียวกัน
“ไม่มีนี่ลุง วันนี้มีผมอยู่คนเดียวครูคนอื่นเขากลับบ้านกันหมด”
ลุงมิ่งสะกิดเอวลุงน้อยอีกครั้งพร้อมกับชี้มือไปทางโรงเรียน เป็นทีให้ลุงน้อยขับรถไปทางนั้นขณะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกับผม
“อ้าว ผมเห็นครูคนหนึ่งเดินแวบ ๆ อยู่กลางสนาม เข้าไปดูหน่อยสิวะไอ้น้อย เผื่อเป็นขโมย ไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนด้วยตอนนี้”
ลุงน้อยได้ยินดังนั้นจึงหันหน้ารถไปทางซ้ายแล้วบิดคันเร่งขึ้นไปช้า ๆ ในขณะสายตาผมกวาดมองเข้าในบริเวณโรงเรียน จึงเห็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีกากีเดินเลาะอยู่ข้างโรงอาหาร ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเสื้อครู เพราะหน่วยราชการแถวนี้ไม่มี อีกทั้งยังเป็นวันอาทิตย์อีกด้วย และเมื่อใกล้เข้าไปจนเห็นชายคนนั้นชัด ลุงมิ่งจึงพูดเสียงดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกนออกมา
“ไอ้ตั้ม”.........
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง........@@ โดย ลุงแผน
......สวัสดีครับ ผมชื่อมานะ เป็นครูในโรงเรียนเล็ก ๆ ที่หมู่บ้านปลายนา หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไกลจากตัวจังหวัดโดยใช้เวลานั่งรถสองแถวประมาณสี่สิบนาที ซึ่งก็ไม่ใกล้และไม่ไกลนัก สำหรับการเดินทางไปมา ส่วนการนั่งรถโดยสารต่อไปยังจังหวัดของผมก็สะดวกสบาย แต่ถึงกระนั้นก็ดี ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่จนใกล้ครบหนึ่งปี ผมยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย
ถ้าจะถามว่าผมคิดถึงพ่อกับแม่หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าคิดถึงนะครับ แต่ผมกับท่านอยู่ห่างกันแบบนี้หลายหนแล้ว จึงทำให้ผมผลัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมาสำหรับการกลับไป
ส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผมมีความสุขในทุกวัน เพราะตื่นเช้าขึ้นมาบรรยากาศรอบตัวคล้ายกับอยู่บ้านตัวเอง มีทุ่งนาและทิวไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นรอบตัว มีสายลมเย็นพัดผ่านทำจิตใจชุ่มชื่น และที่สำคัญ น้ำใจอันใสสะอาดของชาวบ้าน และความใสซื่อของเด็กบ้านนาทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของผมเอง
สีสันอีกอย่างหนึ่ง คือชีวิตของคนที่เข้ามาผูกพันโดยไม่ได้เป็นญาติหรือพี่น้องกัน แต่กลับคบกันสนิทใจ โดยไม่มีความคิดแม้น้อยนิด ว่าจะหวังประโยชน์จากอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่ผมกลับตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะเมื่อคืนตอนกลางดึก มีเสียงหมาเห่ารับกัน ระหว่างฝูงหมาในวัดกับหมาข้างโรงเรียน ครั้งแรกเสียงเห่าหอนเริ่มจากทางวัดและเห่ารับเป็นทอด ๆ มาจนถึงข้างโรงเรียน เสียงเห่านั้นดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเงียบไป สักพักพอผมเริ่มเคลิ้ม ๆ เสียงหมาข้างโรงเรียนก็เห่าแบบไม่กลัวเหนื่อย เห่าเร้า เห่ากระโชก เห่าผสมหอน เห่าเป็นจังหวะจะโคน แล้วแต่สไตล์ใครสไตล์มัน เห่าแข่งกันจนผมต้องนอนลืมตาฟังอย่างตั้งใจ ก่อนที่หมาในวัดจะทั้งเห่าทั้งหอนกันเกรียวรับเสียงหมาจากทางโรงเรียน สักพักก็เงียบไป กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่งเสียงกันขึ้นมาอีกครั้ง สลับไปสลับมาอยู่สี่ห้ารอบทำให้ผมนอนหลับไม่สนิทเท่าไร เพราะมีผมนอนอยู่ในโรงเรียนแค่คนเดียว ส่วนครูคนอื่นพากันกลับบ้านเหมือนกับวันหยุดทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็นั่งซักเสื้อผ้ากะละมังใหญ่ ซักเสร็จแล้วนำมาตากไว้ตรงราวข้างบ้านพัก ตอนนี้แสงตะวันยังส่องลงมาเพียงเบาบาง ความเย็นยังคงโรยอยู่รอบบริเวณ เนื่องจากทิวไม้ซึ่งกระจายอยู่ทั่วนั่นเอง เมื่อตากผ้าเสร็จแล้วผมกำลังนึกว่า จะไปซื้อกับข้าวที่ร้านลุงผู้ใหญ่หรือจะไปที่ร้านกาแฟ ก็พอดีกับเสียงรถลุงน้อยเเล่นเข้าเขตโรงเรียนมุ่งมาทางหน้าบ้านพักครู
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ผมเดินออกไปตรงลานดินด้านหน้า และเดินถึงตรงนั้นพร้อมกับรถลุงน้อยเข้ามาจอดตรงหน้าพอดี
“ไปไหนกันแต่เช้าล่ะลุง”
ผมเอ่ยถามออกไปขณะลุงมิ่งเหวี่ยงขาข้ามเบาะลงมายืนพร้อมกับเอ่ยออกมา
“เช้าอะไรล่ะครูนี่มันกี่โมงแล้ว แล้วครูใส่ขาสั้นเสื้อยืดไม่ออกไปไหนหรือวันนี้”
ผมยิ้มพลางก้มมองตัวเองในชุดอยู่บ้านธรรมดา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองลุงมิ่งแล้วตอบกลับไป
“วันนี้วันหยุด ผมเลยซักผ้าตากไว้ แล้วว่าจะไปหาอะไรกิน ค่อยกลับมาทำงานสักหน่อย การบ้านเด็กยังเหลืออีกกองหนึ่งยังไม่ได้ตรวจเลย ลุงจะไปไหนกัน ไปกินกาแฟสักเดี๋ยวไหม”
ผมเอ่ยชวนพลางชำเลืองมองลุงน้อยซึ่งกำลังใช้สองเท้ายันพื้นขยับรถถอยหน้าถอยหลัง ก่อนจะหันหน้ารถออกไปทางที่เข้ามา ขณะลุงมิ่งมองหน้าผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกลุ้มใจ
“ไปมาแล้วล่ะสิ ถึงเลยมาหาครูเนี่ย ไอ้ตั้มมันไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืน พอเจอหน้าผมเจ๊แตงรีบเล่าให้ฟังเลย ผมจะชวนครูไปตามหามันกัน ครูพอมีเวลาสักหน่อยไหม”
ผมเห็นสีหน้าลุงมิ่งเคร่งเครียดก็พลอยจะเครียดตามไปด้วยอีกคน พร้อมกับนึกถึงเจ๊แตง ซึ่งปกติก็คอยกังวลเกี่ยวกับน้องชายอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าตั้มหายไปอย่างนี้ เจ๊แตงคงมีความกลุ้มใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ผมลองนึกดูช้า ๆ ว่าเมื่อวานก่อนตอนกลางคืนเจ้าตั้มถอดจีวรไว้ในวัดแล้วตัวก็หายไป แต่คืนนั้นคงกลับไปนอนที่ร้านกาแฟ เพราะตอนเช้าของวันเสาร์เราเข้าไปที่ร้าน เจ๊แตงไม่ได้พูดอะไรเรื่องเจ้าตั้มให้ฟัง
“ไปสิลุง ว่าแต่ว่าไปดูในวัดหรือยัง เขาเคยเข้าในวัดไม่รู้หลบไปนอนอยู่ในป่าแถวนั้นหรือเปล่า”
ผมตอบพร้อมกับเดาออกไป เพราะหลังจากตอนนั้นไม่มีใครเห็นเจ้าตั้มสักคน ลุงมิ่งส่ายหน้าไปมา มองหน้าลุงน้อยแล้วหันมาทางผมก่อนเอ่ยออกมา
“ไม่น่านะครู แต่ไหนแต่ไรจะมืดค่ำยังไงไอ้ตั้มต้องกลับไปกินข้าวแล้วนอนบ้าน เห็นมันอย่างนั้นก็เถอะครู มันไม่นอนในป่าในดงกับเขาหรอก จะมีก็แค่ลุยเข้าไปเดินเล่นหรือไม่ก็ลุยขี้โคลนเพลิน ๆ”
ผมพยักหน้าช้า ๆ ขณะมองหน้าลุงน้อยซึ่งเตรียมยกเท้าดันคันสตาร์ทแทนการส่งเสียงเร่งออกมา ก่อนที่อีกอึดใจเสียงรถแกจะดังขึ้น
“แทร่ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ลุงมิ่งหันขวับไปทันทีที่ได้ยินพร้อมกับบ่นพึมพำพึมพำก่อนเดินไปขึ้นนั่งบนเบาะแล้วขยับติดลุงน้อย ผมเห็นดังนั้นจึงก้าวเข้าไปและขึ้นนั่งซ้อนท้ายขณะหูได้ยินเสียงลุงมิ่งบ่นเบา ๆ
“บทจะรีบก็รีบจังเลยไอ้นี่ จะให้ครูเค้าเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยก็ไม่ได้”
ผมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนกระซิบบอกลุงมิ่งออกไปขณะลุงน้อยเร่งเครื่องรถออกจากหน้าบ้านพักครูไปตามทาง
“ผมเหลือชุดเดียวนี่แหละลุง ไม่ได้ซักเลยทั้งอาทิตย์ วันนี้พอมีเวลาเลยจับซักตั้งแต่เช้า ตากเสร็จเพิ่งรู้ว่าเหลือชุดนี้ชุดเดียว”
เสียงรถลุงน้อยสะท้อนสองข้างทาง แต่ผมยังได้ยินเสียงลุงมิ่งหัวเราะในลำคอเบา ๆ
เมื่อพากันออกมาจากโรงเรียนได้ไม่ไกลลุงน้อยก็พารถเลี้ยวขวาและเข้าเขตวัดเมื่อเลี้ยวมาได้ไม่กี่วา เพราะวัดกับโรงเรียนอยู่ติดกัน เพียงแค่มีป่าโปร่งและพุ่มไม้เล็ก ๆ กระจายกั้นอยู่ระหว่างกลางเท่านั้น เมื่อถึงวัดก็เห็นต้นโพธิ์ใหญ่และกุฏิไม้หลังเล็กเก่าแก่ใต้ถุนสูงเรียงอยู่ห้าหลัง ถัดไปเป็นศาลาสำหรับทำบุญซึ่งใต้ถุนสูงและสร้างจากไม้ทั้งหลังเช่นกัน กว้างยาวประมาณห้าวาซึ่งดูกะทัดรัดไม่ใหญ่โตโอ่โถงเหมือนกับศาลาวัดในตัวอำเภอ
รถลุงน้อยแหวกเข้าไปกลางฝูงไก่วัด ซึ่งกำลังล้อมวงจิกกินเศษข้าวก้นบาตรที่พระหว่านไว้ขาวโพลน เสียงไก่ตกใจร้องลั่นพร้อมกับวิ่งกระจายออกไปคนละทาง ตัวหนึ่งบินเรี่ยพื้นเลยกุฏิห้าหลัง ไปถลาร่อนลงตรงโคนต้นโพธิ์แล้ววิ่งร้อง กระต๊าก กระต๊าก ไปจนเกือบถึงหน้าวัดจึงหยุดยืนแล้วยกขาข้างหนึ่ง หันซ้ายหันขวาจนหงอนบนหัวสะบัดไปมาพร้อมกับทำเสียง กุก กุก กุก ในลำคอ ก่อนวางเท้าลงกับพื้น เขี่ยดินไปถอยหลังไป สามสี่ครั้ง แล้วก้มลงจิกอะไรบางอย่างบนพื้นดินเพลินอยู่ตรงนั้นไม่หันกลับมา
เสียงไก่สงบลงเมื่อรถลุงน้อยเข้าไปจอดหน้ากุฏิหลังหนึ่ง พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกออกไป ขณะผมยังคงนั่งอยู่บนรถเพราะมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใคร เลยไม่รู้จะลงไปทำไม
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่ครับ หลวงพี่อยู่มั้ย”
เสียงตอบรับอู้อี้มาจากข้างในก่อนที่อึดใจผ่านไปจะมีพระรูปหนึ่งตัวเล็ก ๆ ผิวคล้ำ เปิดประตูกุฏิแล้วเดินออกมาที่นอกชาน
“หลวงพี่โหน่งเห็นไอ้ตั้มไหมครับ เมื่อคืนมันไม่ได้เข้าบ้าน”
ลุงมิ่งเอ่ยถามแข่งกับเสียงรถออกไป หลวงพี่โหน่งหันซ้ายหันขวาก่อนหันมายิ้มฟันขาวทำตาหยี ขณะกอดจีวรซึ่งม้วนกลมไว้แนบอกแน่นพร้อมกับเอ่ยออกมา
“ไม่เห็นหรอกโยมมิ่ง ถ้าเห็นโยมตั้มอาตมาคงระวังตัวกว่านี้”
ประโยคหลังหลวงพี่โหน่งพูดอ้อมแอ้มในลำคอพร้อมกับกอดจีวรแน่นเข้าไปอีก ก่อนมองซ้ายมองขวาอีกครั้งแล้วเดินถอยหลังผ่านช่องประตู ส่งยิ้มฟันขาวให้พวกเราขณะดึงประตูปิดตามเข้าไป
ลุงมิ่งหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าไปมาก่อนสะกิดให้ลุงน้อยออกรถเพื่อไปดูที่อื่นต่อ ลุงน้อยบิดคันเร่งแล้วตีวงกลับไปทางหน้าวัดฝ่าเข้าไปกลางฝูงไก่ซึ่งเพิ่งกลับมารวมตัวกันจนกระจายออกไปอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียง กระต๊าก ลั่นวัด คราวนี้มีหมาวัดผอมแห้งสี่ห้าตัววิ่งกรูตามมาพร้อมส่งเสียงเห่าระงม ผมยกขาทั้งสองข้างขึ้นพลางเอี้ยวคอมองอย่างระแวงกลัวจะโดนงับเอา แต่เมื่อพวกมันวิ่งมาจนใกล้ออกจากเขตวัดก็หยุดวิ่ง แล้วยืนเรียงหน้ากระดานแหงนคอเห่าท้าทายอยู่อึดใจก่อนเลี้ยวกลับวิ่งเข้าวัดไป ขณะตัวหนึ่งแวะตรงต้นมะม่วงข้างทางยกขาขึ้นฉี่ใส่โคนต้นจนน้ำนอง เมื่อเสร็จแล้วจึงวางขาลง สะบัดเท้าสองข้างเขี่ยพื้นดินมาข้างหลังสี่ห้าครั้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ก่อนหมุนตัวกลับมาก้มลงดม ๆ ที่พื้นแล้วเงยหน้าหมุนตัววิ่งตามพรรคพวกไป
ผมยังคงชำเลืองมองข้างหลังอย่างสยดสยองเมื่อนึกถึงคมเขี้ยวของหมา เพราะไม่ว่าจะเป็นหมาอ้วนหรือหมาผอมก็กัดเจ็บเท่ากัน เมื่อพ้นเขตวัดและรถวิ่งถึงทางแยกลุงน้อยทำท่าจะเลี้ยวขวาไปทางร้านกาแฟเจ๊แตง ขณะลุงมิ่งมองไปทางโรงเรียนด้านซ้ายมือ พร้อมกับสะกิดเอวลุงน้อยให้เบาเครื่องพลางเอี้ยวคอมาทางผมแล้วเอ่ยออกมา
“เอ๊ะครู วันอาทิตย์มีครูเวรด้วยเหรอ”
ผมมองตามลุงมิ่งไปทางโรงเรียนด้วยความแปลกใจ ก่อนเอ่ยออกไปขณะลุงน้อยผ่อนคันเร่งจนรถหยุดสนิทอยู่กลางแยกแล้ววางเท้าลงกับพื้นพร้อมกับหันมองไปทางเดียวกัน
“ไม่มีนี่ลุง วันนี้มีผมอยู่คนเดียวครูคนอื่นเขากลับบ้านกันหมด”
ลุงมิ่งสะกิดเอวลุงน้อยอีกครั้งพร้อมกับชี้มือไปทางโรงเรียน เป็นทีให้ลุงน้อยขับรถไปทางนั้นขณะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกับผม
“อ้าว ผมเห็นครูคนหนึ่งเดินแวบ ๆ อยู่กลางสนาม เข้าไปดูหน่อยสิวะไอ้น้อย เผื่อเป็นขโมย ไม่มีใครอยู่ในโรงเรียนด้วยตอนนี้”
ลุงน้อยได้ยินดังนั้นจึงหันหน้ารถไปทางซ้ายแล้วบิดคันเร่งขึ้นไปช้า ๆ ในขณะสายตาผมกวาดมองเข้าในบริเวณโรงเรียน จึงเห็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีกากีเดินเลาะอยู่ข้างโรงอาหาร ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นเสื้อครู เพราะหน่วยราชการแถวนี้ไม่มี อีกทั้งยังเป็นวันอาทิตย์อีกด้วย และเมื่อใกล้เข้าไปจนเห็นชายคนนั้นชัด ลุงมิ่งจึงพูดเสียงดังจนเกือบเป็นเสียงตะโกนออกมา
“ไอ้ตั้ม”.........
( มีต่อครับ )