ในสมัยก่อนพุทธกาล นักพรต นักบวช ฤาษีชีไพร มักจะทำฌานได้ มีฤทธิ์ทางจิต แต่ไม่สามารถบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรม เป็นพระอรหันต์ได้
เพราะอะไร ก็เพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ท่านลองคิดดูสิครับ คำที่บอกว่า ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน เพียงนี้ไม่ใช่ของเล่นๆ ไม่ได้มีในศาสนาอื่น
พระพุทธเจ้าเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเรา พระองค์ต้องลงทุนสร้างบารมีแบบเอาชีวิตเข้าแลก ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ
สัมมาทิฏฐิ คืออะไร ได้มาจากใหน เอาไปใช้ขณะทำวิปัสสนาตรงใหน
สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง มีสองระดับ ความเห็นที่เกี่ยวกับอานิสงค์แห่งขันธ์ และความเห็นที่เกี่ยวกับการหลุดพ้น
ได้มาจากใหน ก็ฟังจากพระสูตร แล้วไตรตรอง ก็คือ สุตมยะปัญญา และ จินตมยะปัญญา
เอาไปใช้ขณะทำวิปัสสนาตรงใหน ก็ เอามาน้อมจิต ป้อนข้อมูลไปสู่ญาณ ก็คือ ภาวนามยะปัญญา คือความรู้ระดับญาณ เกิดวิปัสสนาญาณเรียกว่าบรรลุธรรม
สิ่งที่ผมตั้งกระทู้ก็เพื่อจะ มาคุยเรื่อง สัมมาทิฏฐิ
เพราะแต่ละท่าน มีความเห็นไม่เหมือนกัน
อย่างผม เห็นว่า ในตัวเรามี จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยมี จิต(สังขตะธาตุ) กับ นิพพาน(เป็นอสังขตะธาตุ) เป็นตัวผู้รู้ คือมีสองตัว
มีคนบอกว่า ผมเป็นสัสสตทิฏฐิ เป็นความเชื่อสุดโต่ง ว่ามีตน
พระพุทธเจ้ากล่าวถึง นิพพานธาตุว่า อย่างไร พระองค์ตรัสว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่....
แล้วถ้าผมบอกว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่ กับผมบอกว่า มีในตัวเรา ด้วยถ้าไม่มีอยู่ในตัวเรา จะอยู่นอกตัวเรา เราจะไปศึกษาทำไม
พระพุทธองค์ตรัสว่า อายตนะนิพพาน มี
แล้วผมบอกว่า นิพพานธาตุ สามารถรับรู้ได้เป็นตัวผู้รู้ได้
แล้วผมบอกว่า นิพพานธาตุเป็นอัตตาที่ใหน ผมบอกเหมือนพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วจะสับสนผมจึงเรียกตรงๆครับ
เอาละ ผมอ่านความคิดเห็นมามากพอควร ผมเก็บข้อมูลของ คนที่มาตอบกระทู้
เขากล่าวอย่างนี้
ในตัวเรานี้ประกอบไปด้วยขันธ์ห้า ต้องบอกว่าเท่านั้น ไม่มีนิพพานธาตุอะไรหรอก นิพพานเป็นเพียงสภาวะที่จิตไปพบเข้า
- ถ้าอย่างนั้น ถ้าพระอรหันต์ตายแล้ว จะเหลืออะไร เพราะ พระอรหันต์ตายแล้ว จะไม่เกิดใหม่ จะไม่มีขันธ์ห้าอันใหม่รองรับ
ก็แสดงว่า พระอรหันต์ตายแล้วก็สูญสิครับ เขาก็บอกว่า อย่าไปอยากรู้เรื่องนั้นยังไม่ถึงเวลา
การศึกษาธรรมะ ผมอยากให้มองเป็นวิทยาศาสตร์บ้างเป็นบางส่วน การที่บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา คุณธรรมความรู้ของคุณยังไม่ถึง อธิบายไปก็เท่านั้น
ผมว่า ไม่มีคำนี้ในพระสูตร เป็นคำโม้ คำแก้ตัวต่างหาก
เขาแสดงอย่างนี้ว่า กระบวนการทำวิปัสสนา จากที่เขาเชื่อว่า ตัวเรานี้ มีแต่ขันธ์ห้าเท่านั้น โดยมีตัวผู้รู้อยู่ตัวเดียว วิธีทำวิปัสสนาก็คือ
การเอาจิต จองมองดูขันธ์ห้า ดูความเป็นไตรลักษณ์ จนกระทั้งจิตยอมรับว่า ใจกับกาย(ขันธ์ห้า)นี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เมื่อดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตเข้าสู่สภาวะที่ไร้กิเลส จิตจะอับเกรด ไปเป็นจิตที่บรรลุธรรม และจิตจะเข้าสู่สภาวะนิพพาน
และกลายเป็นจิตเดิมแท้
ที่ผมอธิบายมานี้ ผมก็งงนะ ไม่ค่อยเข้าใจฟังมาคร่าวๆ เพียงแต่รู้ว่า จิต เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่อมตะ
เมื่อตายแล้ว ก็จะเหลือ จิตที่เป็นอมตะนี้แหละ
อันนี้ แย้งอย่างมาก กับคำสอนที่ว่า ไม่มีขันธ์ห้าในตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า เพราะจิตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า
การน้อมจิต มีหลายแบบ การดูการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ห้าโดยตรงเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง หรือก็อีกอย่าง ป้อนข้อมูลจากที่จิตได้เชื่ออยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น
ในพระสูตร มีพระรูปหนึ่งมาถามพระอานนท์ว่า ผมก็รู้ว่า ขันธ์ห้าไม่มีตนในนั้น ทำไมผมไม่บรรลุธรรมละครับ พระอานนท์ก็ซักว่า ท่านเห็น ว่า รูปมีตน หรือ
ไม่ได้เป็นครับ.......สุดท้าย พระรูปนั้นก็อุทานขณะสนทนากับพระอานนท์ว่า เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นขณะนั้นเอง นี้ก็คือการป้อนข้อมูลจากการสาธยายธรรมร่วมกัน
การเชื่อว่า ในตัวเราไม่มีนิพพานธาตุเลย มีแต่จิตที่จะกลายไปเป็นจิตที่อมตะนั้น จะไปขัดแย้งกับ สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อย่างยิ่ง
จิตไม่มีทางที่จะเป็นอมตะได้เลย จิตก็ต้องเป็นจิต เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
นิพพานธาตุ เป็นอสังขตะธรรม มีอายตนะ เป็นของตนเอง
ถ้าเรามีความเห็นไม่ตรง แล้วเราจะน้อมจิตได้ถูกต้องอย่างไร
ผมไม่เห็นด้วยกับคำที่ว่า เอาจิตมาดูจิต เพราะไม่มีจิตในตน ไม่มีตนในจิต จะเอาจิตมาดูจิตได้อย่างไร
ท่านเชื่อหรือไม่ในความฝัน ท่านคิดว่า จิตทำงานตามลำพัง คิดของมันเอง สั่งการของมันเองวาดภาพสิ่งน่ากลัวมาหลอกตัวเอง ท่านเอาจิตดวงที่กำลังฝันไปดูจิต
ที่กำลังฝันได้อย่างไร ไม่มีทาง
ถ้าเราฝึกดูจิต ขณะมีสติจากการที่จิต เคลื่อนไป เช่นใจลอย ใจโกรธ ใจมีความอยาก สติเช่นนี้จะตามด้วยสัมปชัญญะเสมอ
ซึ่งต่างจากสติที่ได้จากการทำอานาปานสติ เพราะการทำอานาปานสติต้อง ฝึกในการมีสัมปชัญญะตามเสมอ
สัมปชัญญะ ที่ได้จากการดูจิตท่านคงคิดว่า คือสติล้วนๆ ไม่เลยนั้นคือสัมปชัญญะต่างหาก
มีคนเถียงผมว่า สัมปชัญญะก็คือ ปัญญาเจตสิก ผมบอกว่า ไม่ใช่ ถ้าสติละใช่
ตัวอย่าง สติ แปลว่า จิตระลึกได้ สัมปชัญญะ แปลว่า การรู้สึกตัว ถ้าสัมปชัญญะเป็นปัญญาเจตสิก ก็จะแปลว่า จิตมีการรู้ เพราะปัญญาแปลว่าการรู้
รู้อะไรละรู้สึกตัว
ตัวไม่ได้อยู่ที่จิตนี้ หรือมีคนคิดว่า ตัวตนเราอยู่ที่จิต
ถ้าคิดว่าจิตเป็นตน นั้นแหละเรียกว่า สัสสตะทิฏฐิ
ผมเคยบอกว่า ญาณก็คือ สัมปชัญญะที่มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสัมปชัญญะ และ ญาณ ก็คือ กริยาของนิพพานธาตุนั้นเอง
ในนักพรตนอกศาสนา เขาไม่เข้าใจ เพราะไม่มีการบอกเรื่องนี้เขาก็เข้าใจว่า ญาณที่เกิดขึ้นก็คือจิต
การน้อมจิตเพื่อเกิด สังขารุเบกขาญาณ.จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนมา
อันที่จริงผมก็ไม่ถึงกับเข้าใจเรื่องน้อมจิต คือคงต้องปฏิบัติถึงขั้นตอนนั้น ดูเหมือน ถ้าเราอ่าน ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน น่าจะใช่
ก็คือต้องฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อนนั้นแหละ
ครับ ท่านมีความคิดเห็นเรื่อง สัมมาทิฏฐิ ที่เราจะนำไปเพื่อเกิดวิปัสสนาญาณว่าอย่างไร อธิบายด้วยครับ
ขอบคุณที่มาร่วมกันครับ
สัมมาทิฏฐิ เป็นหัวใจของการทำวิปัสสนา อย่างไร
เพราะอะไร ก็เพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ท่านลองคิดดูสิครับ คำที่บอกว่า ไม่มีตนในขันธ์ห้า ไม่มีขันธ์ห้าในตน เพียงนี้ไม่ใช่ของเล่นๆ ไม่ได้มีในศาสนาอื่น
พระพุทธเจ้าเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเรา พระองค์ต้องลงทุนสร้างบารมีแบบเอาชีวิตเข้าแลก ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ
สัมมาทิฏฐิ คืออะไร ได้มาจากใหน เอาไปใช้ขณะทำวิปัสสนาตรงใหน
สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง มีสองระดับ ความเห็นที่เกี่ยวกับอานิสงค์แห่งขันธ์ และความเห็นที่เกี่ยวกับการหลุดพ้น
ได้มาจากใหน ก็ฟังจากพระสูตร แล้วไตรตรอง ก็คือ สุตมยะปัญญา และ จินตมยะปัญญา
เอาไปใช้ขณะทำวิปัสสนาตรงใหน ก็ เอามาน้อมจิต ป้อนข้อมูลไปสู่ญาณ ก็คือ ภาวนามยะปัญญา คือความรู้ระดับญาณ เกิดวิปัสสนาญาณเรียกว่าบรรลุธรรม
สิ่งที่ผมตั้งกระทู้ก็เพื่อจะ มาคุยเรื่อง สัมมาทิฏฐิ
เพราะแต่ละท่าน มีความเห็นไม่เหมือนกัน
อย่างผม เห็นว่า ในตัวเรามี จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยมี จิต(สังขตะธาตุ) กับ นิพพาน(เป็นอสังขตะธาตุ) เป็นตัวผู้รู้ คือมีสองตัว
มีคนบอกว่า ผมเป็นสัสสตทิฏฐิ เป็นความเชื่อสุดโต่ง ว่ามีตน
พระพุทธเจ้ากล่าวถึง นิพพานธาตุว่า อย่างไร พระองค์ตรัสว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่....
แล้วถ้าผมบอกว่า ธรรมชาตินั้นมีอยู่ กับผมบอกว่า มีในตัวเรา ด้วยถ้าไม่มีอยู่ในตัวเรา จะอยู่นอกตัวเรา เราจะไปศึกษาทำไม
พระพุทธองค์ตรัสว่า อายตนะนิพพาน มี
แล้วผมบอกว่า นิพพานธาตุ สามารถรับรู้ได้เป็นตัวผู้รู้ได้
แล้วผมบอกว่า นิพพานธาตุเป็นอัตตาที่ใหน ผมบอกเหมือนพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วจะสับสนผมจึงเรียกตรงๆครับ
เอาละ ผมอ่านความคิดเห็นมามากพอควร ผมเก็บข้อมูลของ คนที่มาตอบกระทู้
เขากล่าวอย่างนี้
ในตัวเรานี้ประกอบไปด้วยขันธ์ห้า ต้องบอกว่าเท่านั้น ไม่มีนิพพานธาตุอะไรหรอก นิพพานเป็นเพียงสภาวะที่จิตไปพบเข้า
- ถ้าอย่างนั้น ถ้าพระอรหันต์ตายแล้ว จะเหลืออะไร เพราะ พระอรหันต์ตายแล้ว จะไม่เกิดใหม่ จะไม่มีขันธ์ห้าอันใหม่รองรับ
ก็แสดงว่า พระอรหันต์ตายแล้วก็สูญสิครับ เขาก็บอกว่า อย่าไปอยากรู้เรื่องนั้นยังไม่ถึงเวลา
การศึกษาธรรมะ ผมอยากให้มองเป็นวิทยาศาสตร์บ้างเป็นบางส่วน การที่บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา คุณธรรมความรู้ของคุณยังไม่ถึง อธิบายไปก็เท่านั้น
ผมว่า ไม่มีคำนี้ในพระสูตร เป็นคำโม้ คำแก้ตัวต่างหาก
เขาแสดงอย่างนี้ว่า กระบวนการทำวิปัสสนา จากที่เขาเชื่อว่า ตัวเรานี้ มีแต่ขันธ์ห้าเท่านั้น โดยมีตัวผู้รู้อยู่ตัวเดียว วิธีทำวิปัสสนาก็คือ
การเอาจิต จองมองดูขันธ์ห้า ดูความเป็นไตรลักษณ์ จนกระทั้งจิตยอมรับว่า ใจกับกาย(ขันธ์ห้า)นี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เมื่อดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตเข้าสู่สภาวะที่ไร้กิเลส จิตจะอับเกรด ไปเป็นจิตที่บรรลุธรรม และจิตจะเข้าสู่สภาวะนิพพาน
และกลายเป็นจิตเดิมแท้
ที่ผมอธิบายมานี้ ผมก็งงนะ ไม่ค่อยเข้าใจฟังมาคร่าวๆ เพียงแต่รู้ว่า จิต เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่อมตะ
เมื่อตายแล้ว ก็จะเหลือ จิตที่เป็นอมตะนี้แหละ
อันนี้ แย้งอย่างมาก กับคำสอนที่ว่า ไม่มีขันธ์ห้าในตน ไม่มีตนในขันธ์ห้า เพราะจิตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า
การน้อมจิต มีหลายแบบ การดูการเปลี่ยนแปลงของขันธ์ห้าโดยตรงเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง หรือก็อีกอย่าง ป้อนข้อมูลจากที่จิตได้เชื่ออยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น
ในพระสูตร มีพระรูปหนึ่งมาถามพระอานนท์ว่า ผมก็รู้ว่า ขันธ์ห้าไม่มีตนในนั้น ทำไมผมไม่บรรลุธรรมละครับ พระอานนท์ก็ซักว่า ท่านเห็น ว่า รูปมีตน หรือ
ไม่ได้เป็นครับ.......สุดท้าย พระรูปนั้นก็อุทานขณะสนทนากับพระอานนท์ว่า เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นขณะนั้นเอง นี้ก็คือการป้อนข้อมูลจากการสาธยายธรรมร่วมกัน
การเชื่อว่า ในตัวเราไม่มีนิพพานธาตุเลย มีแต่จิตที่จะกลายไปเป็นจิตที่อมตะนั้น จะไปขัดแย้งกับ สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อย่างยิ่ง
จิตไม่มีทางที่จะเป็นอมตะได้เลย จิตก็ต้องเป็นจิต เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
นิพพานธาตุ เป็นอสังขตะธรรม มีอายตนะ เป็นของตนเอง
ถ้าเรามีความเห็นไม่ตรง แล้วเราจะน้อมจิตได้ถูกต้องอย่างไร
ผมไม่เห็นด้วยกับคำที่ว่า เอาจิตมาดูจิต เพราะไม่มีจิตในตน ไม่มีตนในจิต จะเอาจิตมาดูจิตได้อย่างไร
ท่านเชื่อหรือไม่ในความฝัน ท่านคิดว่า จิตทำงานตามลำพัง คิดของมันเอง สั่งการของมันเองวาดภาพสิ่งน่ากลัวมาหลอกตัวเอง ท่านเอาจิตดวงที่กำลังฝันไปดูจิต
ที่กำลังฝันได้อย่างไร ไม่มีทาง
ถ้าเราฝึกดูจิต ขณะมีสติจากการที่จิต เคลื่อนไป เช่นใจลอย ใจโกรธ ใจมีความอยาก สติเช่นนี้จะตามด้วยสัมปชัญญะเสมอ
ซึ่งต่างจากสติที่ได้จากการทำอานาปานสติ เพราะการทำอานาปานสติต้อง ฝึกในการมีสัมปชัญญะตามเสมอ
สัมปชัญญะ ที่ได้จากการดูจิตท่านคงคิดว่า คือสติล้วนๆ ไม่เลยนั้นคือสัมปชัญญะต่างหาก
มีคนเถียงผมว่า สัมปชัญญะก็คือ ปัญญาเจตสิก ผมบอกว่า ไม่ใช่ ถ้าสติละใช่
ตัวอย่าง สติ แปลว่า จิตระลึกได้ สัมปชัญญะ แปลว่า การรู้สึกตัว ถ้าสัมปชัญญะเป็นปัญญาเจตสิก ก็จะแปลว่า จิตมีการรู้ เพราะปัญญาแปลว่าการรู้
รู้อะไรละรู้สึกตัว
ตัวไม่ได้อยู่ที่จิตนี้ หรือมีคนคิดว่า ตัวตนเราอยู่ที่จิต
ถ้าคิดว่าจิตเป็นตน นั้นแหละเรียกว่า สัสสตะทิฏฐิ
ผมเคยบอกว่า ญาณก็คือ สัมปชัญญะที่มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสัมปชัญญะ และ ญาณ ก็คือ กริยาของนิพพานธาตุนั้นเอง
ในนักพรตนอกศาสนา เขาไม่เข้าใจ เพราะไม่มีการบอกเรื่องนี้เขาก็เข้าใจว่า ญาณที่เกิดขึ้นก็คือจิต
การน้อมจิตเพื่อเกิด สังขารุเบกขาญาณ.จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนมา
อันที่จริงผมก็ไม่ถึงกับเข้าใจเรื่องน้อมจิต คือคงต้องปฏิบัติถึงขั้นตอนนั้น ดูเหมือน ถ้าเราอ่าน ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน น่าจะใช่
ก็คือต้องฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อนนั้นแหละ
ครับ ท่านมีความคิดเห็นเรื่อง สัมมาทิฏฐิ ที่เราจะนำไปเพื่อเกิดวิปัสสนาญาณว่าอย่างไร อธิบายด้วยครับ
ขอบคุณที่มาร่วมกันครับ