เกิดอะไรขึ้น ขณะตรัสรู้ธรรม จากพระสูตร

เกิดอะไรขึ้น ขณะตรัสรู้ธรรม จากพระสูตร

ในพระสูตร อธิบายว่า ขณะตรัสรู้ธรรม นั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง
นิยามคำว่า ตรัสรู้ธรรม , บรรลุธรรม, มีดวงตาเห็นธรรม, ก็มีความหมายอันเดียวกัน

เกริ่นก่อนเข้าเรื่อง
การตรัสรู้ธรรม เท่าที่เราฟังจากหลายๆท่าน ก็กล่าวว่า ต้องเกิดวิปัสสนาญาณขึ้น 7 ผลัด หรือ 7 ขั้น ก็มีให้อ่านในหลายๆเวบ
แต่ที่ผมกล่าวจะว่ากันตามความเข้าจากการฟังพระสูตรครับ

เกิดอะไรขึ้นขณะบรรลุธรรม
การเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง ก็ต้องมีวัตถุที่มาเกี่ยวข้อง  ว่าสิ่งทำกับสิ่งนี้ แล้วเกิดสิ่งนี้ เป็นต้น
การบรรลุธรรมก็เช่นกัน  พระพุทธองค์กล่าวว่า ต้องมีวัตถุสองสิ่ง ถึงจะเกิดได้ คือ
ต้องมี จิต และญาณ
ผมจะยกพระสูตรมาดังนี้
" [๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้
ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคล
ผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้
ได้ด้วยจิตและญาณ......
...... ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ
ในขณะโลกุตรมรรค ฯ

ผมตัดมาบางส่วนท่านสามารถไปอ่านไนเวบ84000 ได้
จะเห็นได้ว่า การตรัสรู้ต้องประกอบด้วยวัตถุที่เป็นนามธาตุ สองอัน ก็คือจิตที่เป็นปปัจจุบัน และญาณที่อยู่ในโลกถตรมรรค
มีคนเถียงว่า ญาณก็คือ เจตสิก อันนี้ผมค้านอย่างยิ่ง เพราะถ้าญาณคือส่วนหนึ่งของจิต ทำไมพระสูตรถึงบอกว่า ต้องมีทั้งจิต และญาณ
บางท่านอาจบอกว่า ญาณก็คือจะเกิดขึ้นมา เหมือนลอยๆ ออกมา ฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย
เท่าที่ผมเข้าใจ ญาณ ก็คือ การที่เราทำสติปัฏฐาน คือทำสติให้จิตตั้งมั้นคือเป็นสมาธิ และทำให้สัมปชัญญะมีอย่างต่อเนื่อง
สัมปชัญญะที่ต่อเนื่องก็จะกลายเป็นญาณนั้นเอง
ในตัวเราประกอบด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน
จิตก็เป็นตัวผู้รู้ ที่สามารถปรุงแต่งได้  นิพพานก็เป็นตัวผู้รู้อีกตัว เป็นนามธรรมที่ปรุงแต่งไม่ได้
สัมปชัญญะก็คือการรู้สึกตัว ก็คือความรู้สึกตัวของนิพพานนะธาตุนั้นแหละ ตรงนี้เคยคุยกันในกระทู้ก่อนๆ หลายครั้ง มีคนไม่เช่ื่อก็ไม่เป็นไร

การตรัสรู้ ก็จะมีการเกิดปฏิกริยาดังนี้
--ก่อนอื่นขอยกพระสูตรมาอ้างก่อน
"             [๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
อย่างไร ฯ
             ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
อย่างนี้ ฯ"

ที่มาhttps://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=31&A=10321&w=%CB%D2%E4%B4%E9%E4%C1%E8

ผมเข้าใจดังนี้ว่า  จิต เป็นใหญ่ในการทำให้เกิด อันนี้ จิตจะเป็นผู้จัดการทั้งหมด ตั้งแต่สร้างสติ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ เพื่อเป็นพลังผลักดันสิ่งต่างๆ
สติ จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสัมปชัญญะ  จนสัมปชัญญะกลายเป็นญาณ สติจึงเป็นตัว เหนี่ยวนำให้มีการตึ่นตัวของนิพพานธาตุนั้นเอง
เมื่อญาณเกิด และจิตมีสมาธิ  
คำที่ว่า ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น  การที่ญาณเห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่จิต ป้อนให้ จิตจะป้อน ให้ญาณเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ห้า
เช่นขณะภาวนาอยู่ผู้ภาวนาเจริญอนัตสัญญา ก็เพื่อป้อนให้ญาณเห็นว่า จิตมิใช่ตน ประมาณนั้น

เมื่อ เกิดการตรัสรู้ ธรรม คือการเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์ห้าด้วยญาณนั้นเอง

เมื่อ ตรัสรู้ครั้งแรก  ก็เรียกว่า บรรลุโสดาบัน
สามารถตัด กิเลสสังโยชน์ได้ สามเส้น ตัด โทสะสองดวงได้หมด ทำให้งดอบายภูมิ ตัดตัณหาได้ห้าดวง คงเหลืออีก สามดวง ดังนั้นยังคงมีตัณหาอยู่แต่ก็เบาบาง ตัดโมหะได้หนึ่งดวง ค้างอีกหนึ่งดวงจึงต้องไปเกิดอีก เจ็ดชาติ

ทำไมเมื่อญาณเป็นตัวเห็นแล้วทำให้ตัวจิต ตัดกิเลสสังโยชน์ได้ 
ในปุถุชนทั่วไป จิต จะเชื่อมกับ นิพพานธาตุ ด้วยกิเลสสังโยชน์ สิบเส้น 
ตัวกิเลส จะอยู่ทีจิต เพราะจิตปรุงแต่งได้ นิพพานธาตุปรุงแต่งไม่ได้
อุปมาเหมือนนักเลง มากร่าง ก็เพราะมีเจ้าพ่อให้ท้ายอยู่สักวันหนึ่ง ถูกเจ้าพ่อตัดหาง วันนั้น นักเลงก็รู้ตัวว่า ขาดผู้คุ้มครองก็เลยกร่างน้อยลง

จิตก็เช่นกัน เมื่อตนรู้ว่า จิตเป็นสิ่งที่มิใข่ตน เป็นแค่ ธรรมชาติอันหนึ่ง ก็ส่งผลให้จิตไม่ฮึกเหิมเหมือนเดิม

ยกตัวอย่างพระสูตร
"   ปุถุชน
ผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่
ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต
เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนผู้มิ
ได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่น
เป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงจะเบื่อ
หน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นไม่ได้เลย ฯ"

บุคคลผู้ไม่เคยสดับ จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในจิตหามีได้ไม่เพราะเหตุได ก็เพราะ รวบรัดเอาว่าจิตเป็นตน

ถ้าเรากล่าวย้อนว่า บุคคลผู้เคยสดับ จะเบื่อหน่ายในจิตได้เพราะเหตุได ก็เพราะไม่รู้ว่าจิตไม่ใช่ตน  อย่างนี้ได้หรือไม่ คำตอบไม่ได้
เพราะ การที่จะเบื่อหน่ายได้ต้องผ่านการตรัสรู้มาก่อนนั้นเอง
การรู้ด้วยจิตเท่านั้นไม่สามารถตัดกิเลสได้
ต้องรู้ด้วยญาณ

ถ้าเราบอกว่า ตัวนิพพานธาตุเป็นอสังขตธาตุ จะมีอิทธิพลกับจิตได้อย่างไร
ได้สิครับ เพราะ ญาณรู้ความจริง จิตจึ่งเบื่อหน่าย เมื่อจิตเบื่อหน่าย ญาณจึงรู้ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรมจรรย์อยู่จบแล้ว

ดังนั้น การภาวนา ที่ถูกต้อง จะต้องทำให้จิตมีสติจนกลายเป็นสมาธิจิต  และสัมปชัญญะ เกิดอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นญาณ
ถ้าภาวนา ไม่เกิดญาณ เกิดแต่สมาธิ ก็เปล่าประโยชน์
ถ้าเกิดญาณแล้วจิตไม่ป้อนข้อมูล ก็ไม่สามารถตรัสรู้ธรรมได้

ผมเสนอความเข้าใจดังข้างต้น 
ผิดถูกอย่างไรก็อยากฟังท่านอื่นบ้าง มาร่วมตอบกระทู้กันนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ

อีกอย่างหนึ่ง  การบรรลุธรรมถือว่าคือการได้ปริญญาทางพุทธศาสนา
จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ควรเข้าใจอย่างดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่