บทที่ 4
สองเท้าของปัถยาเป็นอันต้องชะงักเมื่อเจอพิรภพยืนยิ้มแต้รออยู่ที่หน้าไซต์งาน หญิงสาวถึงกับกลอกตาใส่ด้วยความเบื่อหน่าย แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสนใจ เขากลับยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงใบหู
“เราบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกมาวุ่นวายกับเรา ยังไง...”
“ยังไงเราก็ไม่มีวันแต่งงานกับคนอย่างนาย” ชายหนุ่มพูดดักอย่างรู้ทัน เพราะประโยคนี้เขาฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ทุกครั้งมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป
“รู้แล้วยังจะมาวุ่นวายอีก”
“เผื่อรุ้งจะใจอ่อนเข้าสักวัน” พิรภพลอยหน้าลอยตาตอบอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่มีวัน”
พูดจบปัถยาก็รีบเดินตรงไปที่ลิฟต์ เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานที่มารอขึ้นรถรับส่งของบริษัทที่หน้าโครงการ เริ่มเมียงมองมายังเธอกับพิรภพอย่างอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนเหล่านั้น ด้วยเกรงว่าจะมีการเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับพิรภพเป็นแฟนกัน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะคิดช้าไป เพราะคนที่เดินตามหลังเธอออกมาติดๆ จากในไซต์งานได้เข้าใจไปแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ชวกรมองตามสองหนุ่มสาวที่เดินตามกันต้อยๆ ไปที่ลิฟต์พลางเหยียดยิ้มหยัน
“มารับกันแทบทุกวันขนาดนี้ ยังมีหน้าไปป่าวประกาศว่าตัวเองโสดอีกนะ ผู้หญิงสมัยนี้เป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือยังไงนะ”
ชายหนุ่มนึกค่อนแคะอยู่ในใจ เห็นพฤติกรรมของปัถยาแล้วเขาก็อดนึกถึงอดีตคนรักไม่ได้ พฤติกรรมของเธอทั้งสองไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด หลังจากเซฟตีสาวป่าวประกาศให้คนทั้งไซต์ทราบว่าเธอยังโสดในวันนั้น ก็มีหนุ่มมากหน้าหลายตาหวังเข้าไปสานสัมพันธ์กับเธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด เห็นแล้วเขาก็นึกคันปากขึ้นมายิบๆ อยากจะบอกพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด บางครั้งเขาก็นึกอยากจะบอกผู้ชายคนนั้นเหลือเกินว่า ลับหลังเขานั้นปัถยาทำตัวยังไงบ้าง แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น และโดยส่วนตัวเขาไม่ใช่คนช่างฟ้องเท่าไร จึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น แม้มันออกจะขัดใจเขาอยู่มากก็ตาม
โฟร์แมนหนุ่มรีบสลัดเรื่องราวของปัถยาและอดีตคนรักออกไปจากหัว แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่นัดกับเพื่อนไว้แล้ว จึงรีบก้าวตรงไปยังลิฟต์เพื่อเพื่อนจะได้ไม่เสียเวลารอ
ร้านที่ชวกรนัดแนะกับเพื่อนนั้นอยู่ไม่ไกลจากไซต์งานมากนัก ไม่กี่นาทีเขาก็เดินทางมาถึง สายตาคมกวาดมองไปทั่วร้านซึ่งตอนนี้มีลูกค้านั่งจับจองอยู่ราวๆ ห้าโต๊ะ แต่แล้วสายตาคมก็สะดุดเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งตรงโต๊ะริมสุดติดกับกระจก
“ทำไมยิ่งไม่ชอบยิ่งต้องเจออยู่เรื่อยเลยวะ”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนเดินทำหน้าไม่สบอารมณ์เข้าไปหาหญิงสาวผมซอยสั้น ท่าทางเหมือนทอมที่นั่งรออยู่ถัดมาจากโต๊ะของปัถยามาสองโต๊ะ
“เฮ้ย ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ ดูทำหน้าสิ” สุมณฑาร้องทักเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนโกรธใครมาของอีกฝ่าย
“เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มปฏิเสธพร้อมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
เมื่อนั่งเรียบร้อย ชวกรก็ได้แต่นึกบ่นเพื่อนรักอยู่ในใจ ที่ช่างเลือกโต๊ะได้พอเหมาะพอเจาะเสียเหลือเกิน ตำแหน่งที่เขานั่งนั้นสามารถมองคู่รักคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
“แล้วแกมานานยัง”
“มาถึงก่อนแกแค่แป๊บเดียวเอง” ตอบพลางยื่นเมนูให้คนที่เพิ่งมาถึง
ชวกรรับเมนูมาเปิดดูรายการอาหารทีละหน้า ขณะเดียวกันตาคู่คมก็คอยมองไปยังอีกโต๊ะเป็นระยะๆ จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจับสังเกตได้
“รู้จักเหรอ” สุมณฑาถามขึ้นหลังจากหันไปมองตามสายตาของเพื่อนแล้วพบว่าชายหนุ่มมองชายหญิงคู่นั้นราวกับรู้จักกันมาก่อน
“อืม น้องที่ทำงานน่ะ” ชวกรละสายตาจากคนทั้งสอง แล้วกลับมาให้ความสนใจเมนูอาหารที่อยู่ในมือ
“ไม่เข้าไปทักทายน้องเขาสักหน่อยเหรอ” ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดี เจอคนรู้จักที่ไหนเป็นต้องเข้าไปทักทายเสมอ สุมณฑาจึงแนะนำไปเช่นนั้น
“ไม่ละ ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไร”
“หา แกว่าอะไรนะไอ้ตรี” สาวมาดทอมหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักระคนแปลกใจ ไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับใครอย่างชวกรจะมีความคิดแบบนี้ด้วย
“ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา จะว่าเกลียดเลยก็ได้”
ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นฝ่ายชายตักอาหารให้ฝ่ายหญิงอย่างเอาอกเอาใจ ความรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันคำว่า ‘ยังไม่มีแฟน’ ที่เธอป่าวประกาศไปทั่วไซต์งานในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว แล้วดูตอนนี้สิ การกระทำมันช่างตรงข้ามกับคำพูดสิ้นดี
ชวกรนึกตำหนิอยู่ในใจ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาคิดและเข้าใจนั้นตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะปัถยานั่งหันหลังให้เขา ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าแสนเบื่อหน่ายของหญิงสาว ในขณะที่พิรภพนั้นนั่งหันหน้ามาทางเขา เขาจึงเห็นเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มของฝ่ายชาย ที่ไม่ว่าปัถยาจะแสดงอาการไม่พอใจขนาดไหนเขาก็ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งกว่านั้นยังเอาอกเอาใจหญิงสาวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้ไม่ขาด
“ทำไมวะ”
คำถามของสุมณฑาดึงให้โฟร์แมนหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้”
“แกเป็นอะไรของแกวะไอ้ตรี ปกติใครจะทำอะไรหรือมีนิสัยยังไงแกไม่เคยเก็บมาใส่ใจนี่หว่า แล้วคราวนี้ทำไมแกถึงคิดหยุมหยิมกับเรื่องแค่นี้วะ” สาวมาดทอมมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นแล้วมันอดนึกถึง...” ชวกรหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ควรเก็บมันมาใส่ใจอย่างที่เพื่อนว่านั่นแหละ ยิ่งเก็บมาคิดตัวเองก็เป็นคนทุกข์ใจเสียเอง
“นึกถึงอะไร”
“ช่างมันเถอะ แกจะสั่งอะไรก็สั่งไปเลยนะไนต์ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง” เขาวางเมนูลงก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและสาวเท้ายาวๆ ไปยังทิศทางของห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังร้าน
“มันเป็นอะไรของมันวะ”
สุมณฑารำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางหันไปมองหญิงสาวคู่กรณีของเพื่อนรักอีกครั้ง ก่อนหันกลับไปมองยังเพื่อนรักที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำชายอย่างไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง
“รุ้งลองชิมนี่ดูสิ ร้านนี้เขาทำอร่อยนะ” พิรภพตักแกงส้มชะอมกุ้งใส่ถ้วยให้ปัถยาอย่างเอาใจ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะประทับใจไม่รู้ลืมที่เขาเอาอกเอาใจขนาดนี้ แต่สำหรับปัถยาแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดก็ว่าได้ และที่เธอยอมออกมากินข้าวกับเขาวันนี้ก็เพื่อตัดรำคาญเท่านั้น ไม่ได้เกิดพิศวาสอะไรคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ตอนนี้เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างภาพหรอก” ที่ปัถยาพูดเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“รุ้งพูดอะไรก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่ภพทำเพื่อรุ้งก็ออกมาจากใจทั้งนั้นแหละ” หนุ่มหล่อยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งยังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“เรารู้จักกันมาสิบปีแล้วนะภพ ไม่ใช่สิบวัน ถึงจะไม่รู้ว่าตัวตนของกันและกันเป็นยังไง”
พิรภพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนปรับสีหน้าและน้ำเสียงเป็นจริงจัง เมื่อเห็นแล้วว่าสร้างภาพยังไงก็คงไม่เป็นผล เพราะความชอบเอาชนะของตัวเองแท้ๆ ถึงต้องมานั่งปั้นหน้าฝืนทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้
“ถามจริงเถอะ ทำไมรุ้งถึงไม่อยากแต่งงานกับเรา ทั้งที่เราเพียบพร้อมทุกอย่าง ผู้หญิงทุกคนต่างก็อยากร่วมหอลงโรงกับเราทั้งนั้น”
“เพราะเราไม่ได้รักภพ และภพเองก็ไม่ได้รักเรา ถ้าเราจะแต่งงานจริงๆ เราจะแต่งกับคนที่เรารักและรักเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีผลต่อการตัดสินใจหรอก ต่อให้คนคนนั้นจะหล่อ รวย เพอร์เฟ็กแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราต้องการมีเพียงหัวใจเท่านั้น ซึ่งภพไม่มีให้เรา และคนที่รักใครไม่เป็นอย่างภพไม่มีวันเข้าใจหรอก”
หญิงสาวอธิบายเหตุผลยาวเหยียดและได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจและเลิกตามตอแยเธอเสียที
“สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเหรอรักแท้ ใครๆ เขาก็มองที่เงินทั้งนั้นแหละ ยิ่งมีเงินเยอะผู้หญิงยิ่งชอบ เพราะมันบันดาลสิ่งที่พวกเธอต้องการได้แทบทุกอย่าง”
คนที่ไม่เคยเชื่อในรักแท้ยังคงเชื่อมั่นในนิยามของตัวเอง เพราะเขาพิสูจน์มาด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า เงินนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ความรักและหัวใจเป็นเพียงข้ออ้างให้ฟังดูดีก็เท่านั้น
“ใครๆ ที่ภพว่าคงไม่ใช่เราแน่ เพราะเรามองคนที่หัวใจ ไม่ได้มองที่เงินทองของนอกกาย ถ้าภพอยากให้เขารักภพ ก็ต้องเอาใจแลกใจ ไม่ใช่ใช้แต่เงิน อย่าคิดว่าเงินมันจะซื้อได้ทุกอย่าง จริงอยู่มันบันดาลอะไรๆ ให้เราได้หลายอย่าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินเราหมดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภพลองคิดดูสิ”
“ไอ้ที่รุ้งพร่ำมานั่นน่ะ เราไม่เข้าใจหรอกนะ เรารู้แค่ว่าแค่มีเงินสาวๆ ก็พร้อมศิโรราบแล้ว”
“ยังไงก็ฝากภพเก็บไปคิดด้วยละกัน เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ปัถยาเอ่ยขอตัวไปสงบสติอารมณ์เมื่อเห็นว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ คนที่เห็นความรักของผู้หญิงเป็นของเล่นแบบเขาคงไม่มีวันเข้าใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ปัถยากล่าวขอโทษขอโพย เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่จนไม่ได้มองทาง จึงชนเข้าอย่างจังกับชายคนหนึ่งที่เดินสวนออกมาจากฝั่งห้องน้ำชาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยทักทายเสียงใส
“อ้าวนายช่าง มากินข้าวร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ”
สิ่งที่หญิงสาวได้กลับมามีเพียงความเงียบ ไม่มีคำทักทายใดๆ หลุดจากปากของอีกฝ่าย เขาทำเพียงปรายตามองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาแล้วก็เดินหน้านิ่งกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง ซึ่งการกระทำของเขาสร้างความงุนงงให้กับคนถามเป็นอย่างมาก
ปัถยามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปด้วยความไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหน เขาถึงได้ทำเฉยเมยราวกับคนไม่รู้จักกันแบบนั้น แถมยังมองเธอราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน
“เป็นอะไรของเขานะ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แถมยังมาตีหน้ายักษ์ใส่อีกต่างหาก” คนกำลังงงพึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย
สร้างรัก...บทที่ 4
สองเท้าของปัถยาเป็นอันต้องชะงักเมื่อเจอพิรภพยืนยิ้มแต้รออยู่ที่หน้าไซต์งาน หญิงสาวถึงกับกลอกตาใส่ด้วยความเบื่อหน่าย แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะสนใจ เขากลับยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงใบหู
“เราบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกมาวุ่นวายกับเรา ยังไง...”
“ยังไงเราก็ไม่มีวันแต่งงานกับคนอย่างนาย” ชายหนุ่มพูดดักอย่างรู้ทัน เพราะประโยคนี้เขาฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ทุกครั้งมันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ร่ำไป
“รู้แล้วยังจะมาวุ่นวายอีก”
“เผื่อรุ้งจะใจอ่อนเข้าสักวัน” พิรภพลอยหน้าลอยตาตอบอย่างน่าหมั่นไส้
“ไม่มีวัน”
พูดจบปัถยาก็รีบเดินตรงไปที่ลิฟต์ เมื่อเห็นว่าบรรดาคนงานที่มารอขึ้นรถรับส่งของบริษัทที่หน้าโครงการ เริ่มเมียงมองมายังเธอกับพิรภพอย่างอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนเหล่านั้น ด้วยเกรงว่าจะมีการเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับพิรภพเป็นแฟนกัน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะคิดช้าไป เพราะคนที่เดินตามหลังเธอออกมาติดๆ จากในไซต์งานได้เข้าใจไปแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ชวกรมองตามสองหนุ่มสาวที่เดินตามกันต้อยๆ ไปที่ลิฟต์พลางเหยียดยิ้มหยัน
“มารับกันแทบทุกวันขนาดนี้ ยังมีหน้าไปป่าวประกาศว่าตัวเองโสดอีกนะ ผู้หญิงสมัยนี้เป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือยังไงนะ”
ชายหนุ่มนึกค่อนแคะอยู่ในใจ เห็นพฤติกรรมของปัถยาแล้วเขาก็อดนึกถึงอดีตคนรักไม่ได้ พฤติกรรมของเธอทั้งสองไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด หลังจากเซฟตีสาวป่าวประกาศให้คนทั้งไซต์ทราบว่าเธอยังโสดในวันนั้น ก็มีหนุ่มมากหน้าหลายตาหวังเข้าไปสานสัมพันธ์กับเธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด เห็นแล้วเขาก็นึกคันปากขึ้นมายิบๆ อยากจะบอกพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด บางครั้งเขาก็นึกอยากจะบอกผู้ชายคนนั้นเหลือเกินว่า ลับหลังเขานั้นปัถยาทำตัวยังไงบ้าง แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น และโดยส่วนตัวเขาไม่ใช่คนช่างฟ้องเท่าไร จึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น แม้มันออกจะขัดใจเขาอยู่มากก็ตาม
โฟร์แมนหนุ่มรีบสลัดเรื่องราวของปัถยาและอดีตคนรักออกไปจากหัว แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่นัดกับเพื่อนไว้แล้ว จึงรีบก้าวตรงไปยังลิฟต์เพื่อเพื่อนจะได้ไม่เสียเวลารอ
ร้านที่ชวกรนัดแนะกับเพื่อนนั้นอยู่ไม่ไกลจากไซต์งานมากนัก ไม่กี่นาทีเขาก็เดินทางมาถึง สายตาคมกวาดมองไปทั่วร้านซึ่งตอนนี้มีลูกค้านั่งจับจองอยู่ราวๆ ห้าโต๊ะ แต่แล้วสายตาคมก็สะดุดเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งตรงโต๊ะริมสุดติดกับกระจก
“ทำไมยิ่งไม่ชอบยิ่งต้องเจออยู่เรื่อยเลยวะ”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนเดินทำหน้าไม่สบอารมณ์เข้าไปหาหญิงสาวผมซอยสั้น ท่าทางเหมือนทอมที่นั่งรออยู่ถัดมาจากโต๊ะของปัถยามาสองโต๊ะ
“เฮ้ย ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ ดูทำหน้าสิ” สุมณฑาร้องทักเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนโกรธใครมาของอีกฝ่าย
“เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มปฏิเสธพร้อมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
เมื่อนั่งเรียบร้อย ชวกรก็ได้แต่นึกบ่นเพื่อนรักอยู่ในใจ ที่ช่างเลือกโต๊ะได้พอเหมาะพอเจาะเสียเหลือเกิน ตำแหน่งที่เขานั่งนั้นสามารถมองคู่รักคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
“แล้วแกมานานยัง”
“มาถึงก่อนแกแค่แป๊บเดียวเอง” ตอบพลางยื่นเมนูให้คนที่เพิ่งมาถึง
ชวกรรับเมนูมาเปิดดูรายการอาหารทีละหน้า ขณะเดียวกันตาคู่คมก็คอยมองไปยังอีกโต๊ะเป็นระยะๆ จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจับสังเกตได้
“รู้จักเหรอ” สุมณฑาถามขึ้นหลังจากหันไปมองตามสายตาของเพื่อนแล้วพบว่าชายหนุ่มมองชายหญิงคู่นั้นราวกับรู้จักกันมาก่อน
“อืม น้องที่ทำงานน่ะ” ชวกรละสายตาจากคนทั้งสอง แล้วกลับมาให้ความสนใจเมนูอาหารที่อยู่ในมือ
“ไม่เข้าไปทักทายน้องเขาสักหน่อยเหรอ” ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดี เจอคนรู้จักที่ไหนเป็นต้องเข้าไปทักทายเสมอ สุมณฑาจึงแนะนำไปเช่นนั้น
“ไม่ละ ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไร”
“หา แกว่าอะไรนะไอ้ตรี” สาวมาดทอมหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักระคนแปลกใจ ไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับใครอย่างชวกรจะมีความคิดแบบนี้ด้วย
“ไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา จะว่าเกลียดเลยก็ได้”
ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นฝ่ายชายตักอาหารให้ฝ่ายหญิงอย่างเอาอกเอาใจ ความรู้สึกไม่ชอบใจยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันคำว่า ‘ยังไม่มีแฟน’ ที่เธอป่าวประกาศไปทั่วไซต์งานในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว แล้วดูตอนนี้สิ การกระทำมันช่างตรงข้ามกับคำพูดสิ้นดี
ชวกรนึกตำหนิอยู่ในใจ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาคิดและเข้าใจนั้นตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เพราะปัถยานั่งหันหลังให้เขา ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าแสนเบื่อหน่ายของหญิงสาว ในขณะที่พิรภพนั้นนั่งหันหน้ามาทางเขา เขาจึงเห็นเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้มของฝ่ายชาย ที่ไม่ว่าปัถยาจะแสดงอาการไม่พอใจขนาดไหนเขาก็ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งกว่านั้นยังเอาอกเอาใจหญิงสาวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้ไม่ขาด
“ทำไมวะ”
คำถามของสุมณฑาดึงให้โฟร์แมนหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
“ไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้”
“แกเป็นอะไรของแกวะไอ้ตรี ปกติใครจะทำอะไรหรือมีนิสัยยังไงแกไม่เคยเก็บมาใส่ใจนี่หว่า แล้วคราวนี้ทำไมแกถึงคิดหยุมหยิมกับเรื่องแค่นี้วะ” สาวมาดทอมมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นแล้วมันอดนึกถึง...” ชวกรหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อคิดได้ว่าเขาไม่ควรเก็บมันมาใส่ใจอย่างที่เพื่อนว่านั่นแหละ ยิ่งเก็บมาคิดตัวเองก็เป็นคนทุกข์ใจเสียเอง
“นึกถึงอะไร”
“ช่างมันเถอะ แกจะสั่งอะไรก็สั่งไปเลยนะไนต์ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง” เขาวางเมนูลงก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและสาวเท้ายาวๆ ไปยังทิศทางของห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังร้าน
“มันเป็นอะไรของมันวะ”
สุมณฑารำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางหันไปมองหญิงสาวคู่กรณีของเพื่อนรักอีกครั้ง ก่อนหันกลับไปมองยังเพื่อนรักที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำชายอย่างไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง
“รุ้งลองชิมนี่ดูสิ ร้านนี้เขาทำอร่อยนะ” พิรภพตักแกงส้มชะอมกุ้งใส่ถ้วยให้ปัถยาอย่างเอาใจ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะประทับใจไม่รู้ลืมที่เขาเอาอกเอาใจขนาดนี้ แต่สำหรับปัถยาแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดก็ว่าได้ และที่เธอยอมออกมากินข้าวกับเขาวันนี้ก็เพื่อตัดรำคาญเท่านั้น ไม่ได้เกิดพิศวาสอะไรคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ตอนนี้เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างภาพหรอก” ที่ปัถยาพูดเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำนั้นไม่ได้ออกมาจากใจจริง เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
“รุ้งพูดอะไรก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่ภพทำเพื่อรุ้งก็ออกมาจากใจทั้งนั้นแหละ” หนุ่มหล่อยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งยังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“เรารู้จักกันมาสิบปีแล้วนะภพ ไม่ใช่สิบวัน ถึงจะไม่รู้ว่าตัวตนของกันและกันเป็นยังไง”
พิรภพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนปรับสีหน้าและน้ำเสียงเป็นจริงจัง เมื่อเห็นแล้วว่าสร้างภาพยังไงก็คงไม่เป็นผล เพราะความชอบเอาชนะของตัวเองแท้ๆ ถึงต้องมานั่งปั้นหน้าฝืนทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้
“ถามจริงเถอะ ทำไมรุ้งถึงไม่อยากแต่งงานกับเรา ทั้งที่เราเพียบพร้อมทุกอย่าง ผู้หญิงทุกคนต่างก็อยากร่วมหอลงโรงกับเราทั้งนั้น”
“เพราะเราไม่ได้รักภพ และภพเองก็ไม่ได้รักเรา ถ้าเราจะแต่งงานจริงๆ เราจะแต่งกับคนที่เรารักและรักเราเท่านั้น อย่างอื่นไม่มีผลต่อการตัดสินใจหรอก ต่อให้คนคนนั้นจะหล่อ รวย เพอร์เฟ็กแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราต้องการมีเพียงหัวใจเท่านั้น ซึ่งภพไม่มีให้เรา และคนที่รักใครไม่เป็นอย่างภพไม่มีวันเข้าใจหรอก”
หญิงสาวอธิบายเหตุผลยาวเหยียดและได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจและเลิกตามตอแยเธอเสียที
“สมัยนี้ยังมีอยู่อีกเหรอรักแท้ ใครๆ เขาก็มองที่เงินทั้งนั้นแหละ ยิ่งมีเงินเยอะผู้หญิงยิ่งชอบ เพราะมันบันดาลสิ่งที่พวกเธอต้องการได้แทบทุกอย่าง”
คนที่ไม่เคยเชื่อในรักแท้ยังคงเชื่อมั่นในนิยามของตัวเอง เพราะเขาพิสูจน์มาด้วยตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า เงินนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ความรักและหัวใจเป็นเพียงข้ออ้างให้ฟังดูดีก็เท่านั้น
“ใครๆ ที่ภพว่าคงไม่ใช่เราแน่ เพราะเรามองคนที่หัวใจ ไม่ได้มองที่เงินทองของนอกกาย ถ้าภพอยากให้เขารักภพ ก็ต้องเอาใจแลกใจ ไม่ใช่ใช้แต่เงิน อย่าคิดว่าเงินมันจะซื้อได้ทุกอย่าง จริงอยู่มันบันดาลอะไรๆ ให้เราได้หลายอย่าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินเราหมดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ภพลองคิดดูสิ”
“ไอ้ที่รุ้งพร่ำมานั่นน่ะ เราไม่เข้าใจหรอกนะ เรารู้แค่ว่าแค่มีเงินสาวๆ ก็พร้อมศิโรราบแล้ว”
“ยังไงก็ฝากภพเก็บไปคิดด้วยละกัน เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ปัถยาเอ่ยขอตัวไปสงบสติอารมณ์เมื่อเห็นว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ คนที่เห็นความรักของผู้หญิงเป็นของเล่นแบบเขาคงไม่มีวันเข้าใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ปัถยากล่าวขอโทษขอโพย เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่จนไม่ได้มองทาง จึงชนเข้าอย่างจังกับชายคนหนึ่งที่เดินสวนออกมาจากฝั่งห้องน้ำชาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เอ่ยทักทายเสียงใส
“อ้าวนายช่าง มากินข้าวร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ”
สิ่งที่หญิงสาวได้กลับมามีเพียงความเงียบ ไม่มีคำทักทายใดๆ หลุดจากปากของอีกฝ่าย เขาทำเพียงปรายตามองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาแล้วก็เดินหน้านิ่งกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง ซึ่งการกระทำของเขาสร้างความงุนงงให้กับคนถามเป็นอย่างมาก
ปัถยามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไปด้วยความไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนไหน เขาถึงได้ทำเฉยเมยราวกับคนไม่รู้จักกันแบบนั้น แถมยังมองเธอราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน
“เป็นอะไรของเขานะ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แถมยังมาตีหน้ายักษ์ใส่อีกต่างหาก” คนกำลังงงพึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย