บทที่ 6
หลังเกิดเรื่องในวันนั้นปัถยาพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับชวกร ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นเธอก็จะไม่โผล่หน้าไปให้เขาเห็นเป็นอันขาด ทุกวันนี้เธอต้องทำงานอย่างหวาดระแวง กลัวว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเหตุขึ้นมาอีก ถึงแม้เขาจะเข้ามาขอโทษและรับปากว่าจะให้ความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดี แต่เธอก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี ด้วยเธอยังไม่รู้จักเขาดีพอ จึงไม่รู้ว่าจะสามารถเชื่อคำพูดเขาได้มากแค่ไหน ทั้งยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่เขาไม่ชอบหน้าเธอ ขืนโผล่หน้าไปให้เขาเห็นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเขาเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาอีก จนหาเรื่องให้เธอโดนรีเจ็กต์ออกจากโครงการ มันคงไม่ดีแน่ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้คือเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา เมื่อใดที่เขาขึ้นไปบนออฟฟิศเธอก็จะหลบลงไปอยู่หน้างาน แต่ถ้าเขายังอยู่หน้างานเธอก็จะเตร่อยู่แถวโซนเอและโซนบี จะเข้าไปโซนซีที่เขารับผิดชอบอยู่ก็ต่อเมื่อเขาไม่อยู่ แต่ถ้ามีธุระเรื่องงานที่จำเป็นต้องติดต่อประสานงานกัน เธอก็เลือกที่จะสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์หรือวิทยุสื่อสารเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ความพยายามของปัถยาจะไม่เป็นผลสักเท่าไร เมื่อคนที่เธอพยายามเลี่ยงเพื่อลดปัญหานั้นกลับทำตัวมีปัญหาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หน้างานโซนเอ ว.2[1] ค่ะ” ปัถยาส่งเสียงเรียกผ่านวิทยุสื่อสาร ไม่นานก็มีเสียงนพัตธรตอบกลับมา
“ว.2 ครับ”
“พรุ่งนี้โซนเอมีฮ็อตเวิร์กไหมคะ” เซฟตีสาวหมายถึงงานที่มีความร้อน ไม่ว่าจะเป็นงานตัด งานเชื่อมหรือแม้กระทั่งงานอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประกายไฟ
“ไม่มีครับ”
“โอเคค่ะ”
หลังสอบถามโซนเอเสร็จหญิงสาวก็ไล่ถามโซนอื่นๆ ต่อ เพื่อจะทำเรื่องขออนุญาตทำงานที่มีความร้อน ทุกโซนตอบกลับมาหมดยกเว้นโซนซีที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของชวกร ไม่ว่าหญิงสาวจะถามไปกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายเลย
“หน้างานโซนซี ว.2 ค่ะ” เซฟตีสาวกรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสารอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงเสียงดังซ่าๆ ของคลื่นแทรก
“...”
“หน้างานโซนซี ว.2 ค่ะ”
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาหญิงสาวจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นลูกพี่
“พี่โจ้คะ รบกวนโทร.ถามช่างตรีให้หน่อยค่ะว่าพรุ่งนี้โซนซีมีฮ็อตเวิร์กหรือเปล่า”
“ทำไมรุ้งไม่โทร.ไปถามเองล่ะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
ก้องภพอดแปลกใจกับท่าทีของลูกน้องทั้งสองไม่ได้ เขาผิดสังเกตมาตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องไฟไหม้แล้ว แต่ฝ่ายชวกรยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเขาก็เชื่ออย่างนั้น แต่เมื่อมาเห็นท่าทีแปลกๆ ของปัถยาเขาคงทำใจให้เชื่อต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องถามให้ได้ความ
“เปล่าค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันค่ะ” ปัถยาปฏิเสธพัลวันพลางหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมากดโทร.ออกไปยังเบอร์ของคนที่เธอพยายามหลบหน้าหลบตามาทั้งอาทิตย์ เธอรอสายจนสัญญาณตัดไป จึงลองกดโทร.ออกอีกครั้ง และผลก็ไม่ต่างจากรอบแรก เซฟตีสาวจึงตัดสินใจเดินลงไปหาเขาที่โซนซี
“ทำไมไม่ตอบ ว. และไม่รับโทรศัพท์คะนายช่าง”
ปัถยาถามขึ้นอย่างฉุนๆ เมื่อรู้ว่าเขาจงใจที่จะไม่ตอบ ขณะที่เธอเดินไปหาเขา เธอกดโทร.หาเขาไปด้วย สลับกับเรียกเขาผ่านทางวิทยุสื่อสาร และสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าคือเขายืนจ้องโทรศัพท์ที่เป็นสายจากเธอนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย ไหนจะเสียงวิทยุสื่อสารที่ดังเป็นระยะๆ นั่นอีก
“ถ้าผมตอบผมก็ไม่ได้เจอคุณสักทีน่ะสิ ทำไมคุณต้องคอยหลบหน้าหลบตาผมด้วย หรือว่าคุณยังไม่หายโกรธผมสำหรับเรื่องวันนั้น”
ชวกรถามอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของหญิงสาว ในเมื่อเขาก็ขอโทษและรับปากไปแล้วว่าจะให้ความร่วมมือเรื่องความปลอดภัย แล้วทำไมเธอยังทำเหมือนโกรธเขาอยู่ ทั้งยังตั้งใจหลบเลี่ยงที่จะเจอเขา ซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าการที่ไม่มีอีกฝ่ายมาคอยป้วนเปี้ยนให้ขวางหูขวางตา มันจะทำให้เขาสบายอกสบายใจและทำงานอย่างมีความสุข แต่พอเอาเข้าจริงทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด นานวันเข้าเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดและหงุดหงิดขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เมื่อเห็นเธอคุยหัวเราะเล่นกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน แต่พอเขาย่างกรายเข้าไปใกล้เธอกลับปิดปากเงียบเป็นเป่าสากและขอตัวออกจากวงสนทนาไปทันที เธอทำราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคอย่างไรอย่างนั้น
จนผ่านมาเป็นอาทิตย์เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องสำคัญกับเธอเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้เจอและพูดคุยกับเธอ ซึ่งดูแล้วมันน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายกรุ่นโกรธไม่น้อย ถึงได้พูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนกว่าทุกครั้งที่เขาเคยได้ยิน
“คุณคิดว่าเรื่องที่คุณทำไว้กับฉันมันน่าโกรธไหมล่ะคะ ฉันจะโดนไล่ออกวันไหนยังไม่รู้เลย เกิดวันไหนฉันเสนอหน้าไปให้คุณเห็นแล้วคุณเกิดหมั่นไส้ฉันขึ้นมา และคุณทำอย่างวันนั้นอีก ฉันก็ซวยไปสิ” ปัถยาระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดังลั่นอย่างเหลืออด
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจตอนไหน คุณถึงได้ทำเหมือนโกรธเกลียดฉันมาเป็นชาติแบบนี้”
“ผมเคยพูดเหรอว่าผมเกลียดคุณ” ชวกรตกใจไม่น้อยกลับอารมณ์อีกด้านหนึ่งของเซฟตีสาว ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ปกติเธอจะพูดจาอ่อนหวานกับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาที่แสดงออกกรายๆ ว่าไม่ค่อยชอบหน้าเธอ แต่เธอก็ยังพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ไม่เคยเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแบบครั้งนี้
“คุณไม่พูดแต่การกระทำคุณมันฟ้อง เจอหน้าฉันทีไรคุณชอบทำหน้าเสียอารมณ์ เวลาฉันบอกฉันเตือนอะไรคุณก็ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ฉันตลอด ฉันพูดด้วยดีๆ คุณก็ตอบแบบกระโชกโฮกฮากทุกครั้งไป แบบนี้จะให้ฉันคิดว่าคุณพิศวาสฉันเหรอคะ ถามจริงคุณมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนา ถ้ามีปัญหาอะไรก็พูดออกมาเลย จะได้เคลียร์กันให้จบในวันนี้ จะได้ไม่ต้องค้างคาใจกันอีกต่อไป”
ปัถยาถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาเสียงดัง เมื่อไม่สามารถทนกักเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจได้อีกต่อไป วันนี้เป็นไงเป็นกัน แม้ต้องแตกหักกันเธอก็ยอม ถ้ามันทำให้รู้ถึงสาเหตุที่เขาไม่ชอบใจเธอ
ชวกรนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นปัถยาในโหมดนี้มาก่อน พร้อมคิดตามที่หญิงสาวพูด มันก็จริงอย่างเธอว่า เขาทำตัวเหมือนโกรธเหมือนเกลียดเธอมาเป็นชาติ ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลยสักนิด เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาโดยตลอด ข้อนี้เขาเองยังแอบชื่นชมเธออยู่เลย แต่ติดอยู่แค่เรื่องเดียวและเป็นเรื่องที่เขาเกลียดที่สุด คือเรื่องที่เธอชอบทำตัวเป็นสาวโสดเมื่ออยู่ลับหลังคนรัก แม้เขาจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่านั่นมันเรื่องส่วนตัวของเธอ ให้แยกแยะระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แต่มันก็อดอคติไม่ได้อยู่เรื่อย ยิ่งวันไหนเห็นแฟนหนุ่มของเธอมารอรับที่หน้าไซต์งาน ความไม่ชอบใจในตัวหญิงสาวยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น
“เงียบทำไมล่ะ ตอบมาสิคะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน เซฟตีสาวจึงถามย้ำอีกที
“ผมขอโทษ”
“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แต่ฉันต้องการคำอธิบาย ถึงสาเหตุที่คุณไม่ชอบขี้หน้าฉัน”
“ผม...” ชายหนุ่มอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะเหตุผลของเขานั้นมันงี่เง่าสิ้นดี
“มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่น แล้วฉันจะรู้ไหมว่าคุณโกรธเกลียดฉันเรื่องอะไร” ปัถยาเริ่มจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่พูดออกมาสักที
“ผมไม่ได้เกลียดคุณ ผมแค่...”
ยังไม่ทันที่ชวกรจะได้พูดอธิบายอะไร ก็มีเสียงคนงานตะโกนแทรกเข้ามาว่า
“ไฟไหม้ ไฟไหม้”
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวแทบหมดแรงเมื่อได้ยินคำดังกล่าว ก่อนจะตั้งสติและรีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุที่อยู่บริเวณโซนบี โดยมีชวกรวิ่งตามไปติดๆ
ทันทีที่มาถึงปัถยาและชวกรไม่รอช้ารีบเข้าไปช่วยคนงานดับไฟที่กำลังลุกลามไปตามกองเศษกระดาษลูกฟูกที่เพิ่งแกะออกจากเฟอร์นิเจอร์ หลังเพลิงสงบลงเซฟตีสาวถึงกับเซ แข้งขามันไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ยังดีที่ชวกรเข้ามาพยุงไว้ทัน แต่เจ้าตัวกลับสะบัดออกราวกับรังเกียจหนักหนา พร้อมหันมามองคนหวังดีตาขวาง ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น
“ไม่ต้องมาถูกตัวฉัน สมใจคุณแล้วล่ะสิ ต่อไปคุณคงจะทำงานอย่างสบายใจ ไม่ต้องทนเจอหน้าฉัน ไม่มีฉันให้คุณรำคาญอีกต่อไป” หญิงสาวจ้องตาชายหนุ่มนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่เคยรำคาญคุณเลยนะ”
“ฝืนใจไหมคะที่พูดคำนี้ออกมา” เซฟตีสาวพูดอย่างหยันๆ
“เคลียร์ตรงนี้เสร็จแล้ว ขึ้นไปคุยกันที่ห้องประชุมหน่อยนะ” ศรันย์ที่มาทันเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่พูดขึ้นเสียงเย็น ก่อนจะเดินหน้านิ่งออกไป ทำเอาคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
‘เราจะโดนรีเจ็กต์ออกจากโครงการจริงๆ ใช่ไหม’ ปัถยาพูดกับตัวเองในใจ พลันน้ำใสๆ ก็ไหลออกมาจากหางตา เริ่มท้อแท้กับการเดินบนเส้นทางนี้ แม้เธอจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่ไหน แต่ถ้าคนอื่นไม่ให้ความร่วมมือมันก็เท่านั้น และผลก็อย่างที่เห็น
“เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยคุณ เปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว” โฟร์แมนหนุ่มว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กขึ้นมาหมายจะเช็ดน้ำตาให้ ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนแพ้น้ำตาผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า เห็นทีไรใจที่แข็งกระด้างของเขาเป็นต้องกระตุกวูบ พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่พร้อมใจกันวิ่งเข้ามาจู่โจมโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไม่ทันที่ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยจะได้สัมผัสกับแก้มเนียนใส เจ้าของใบหน้าก็เบือนหน้าหนีพร้อมปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างแรง “เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง” ว่าเสร็จก็เดินลิ่วเข้าไปหาวิษณุที่กำลังสำรวจความเสียหายในจุดเกิดเหตุ
[1]ว.2 คือ รหัสวิทยุสื่อสาร หมายถึง ได้ยินหรือไม่/ได้ยินแล้ว
สร้างรัก...บทที่ 6 (1)
หลังเกิดเรื่องในวันนั้นปัถยาพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับชวกร ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นเธอก็จะไม่โผล่หน้าไปให้เขาเห็นเป็นอันขาด ทุกวันนี้เธอต้องทำงานอย่างหวาดระแวง กลัวว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเหตุขึ้นมาอีก ถึงแม้เขาจะเข้ามาขอโทษและรับปากว่าจะให้ความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดี แต่เธอก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี ด้วยเธอยังไม่รู้จักเขาดีพอ จึงไม่รู้ว่าจะสามารถเชื่อคำพูดเขาได้มากแค่ไหน ทั้งยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่เขาไม่ชอบหน้าเธอ ขืนโผล่หน้าไปให้เขาเห็นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเขาเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาอีก จนหาเรื่องให้เธอโดนรีเจ็กต์ออกจากโครงการ มันคงไม่ดีแน่ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้คือเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา เมื่อใดที่เขาขึ้นไปบนออฟฟิศเธอก็จะหลบลงไปอยู่หน้างาน แต่ถ้าเขายังอยู่หน้างานเธอก็จะเตร่อยู่แถวโซนเอและโซนบี จะเข้าไปโซนซีที่เขารับผิดชอบอยู่ก็ต่อเมื่อเขาไม่อยู่ แต่ถ้ามีธุระเรื่องงานที่จำเป็นต้องติดต่อประสานงานกัน เธอก็เลือกที่จะสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์หรือวิทยุสื่อสารเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ความพยายามของปัถยาจะไม่เป็นผลสักเท่าไร เมื่อคนที่เธอพยายามเลี่ยงเพื่อลดปัญหานั้นกลับทำตัวมีปัญหาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หน้างานโซนเอ ว.2[1] ค่ะ” ปัถยาส่งเสียงเรียกผ่านวิทยุสื่อสาร ไม่นานก็มีเสียงนพัตธรตอบกลับมา
“ว.2 ครับ”
“พรุ่งนี้โซนเอมีฮ็อตเวิร์กไหมคะ” เซฟตีสาวหมายถึงงานที่มีความร้อน ไม่ว่าจะเป็นงานตัด งานเชื่อมหรือแม้กระทั่งงานอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประกายไฟ
“ไม่มีครับ”
“โอเคค่ะ”
หลังสอบถามโซนเอเสร็จหญิงสาวก็ไล่ถามโซนอื่นๆ ต่อ เพื่อจะทำเรื่องขออนุญาตทำงานที่มีความร้อน ทุกโซนตอบกลับมาหมดยกเว้นโซนซีที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของชวกร ไม่ว่าหญิงสาวจะถามไปกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายเลย
“หน้างานโซนซี ว.2 ค่ะ” เซฟตีสาวกรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสารอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงเสียงดังซ่าๆ ของคลื่นแทรก
“...”
“หน้างานโซนซี ว.2 ค่ะ”
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาหญิงสาวจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นลูกพี่
“พี่โจ้คะ รบกวนโทร.ถามช่างตรีให้หน่อยค่ะว่าพรุ่งนี้โซนซีมีฮ็อตเวิร์กหรือเปล่า”
“ทำไมรุ้งไม่โทร.ไปถามเองล่ะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
ก้องภพอดแปลกใจกับท่าทีของลูกน้องทั้งสองไม่ได้ เขาผิดสังเกตมาตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องไฟไหม้แล้ว แต่ฝ่ายชวกรยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเขาก็เชื่ออย่างนั้น แต่เมื่อมาเห็นท่าทีแปลกๆ ของปัถยาเขาคงทำใจให้เชื่อต่อไปไม่ได้แล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องถามให้ได้ความ
“เปล่าค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันค่ะ” ปัถยาปฏิเสธพัลวันพลางหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมากดโทร.ออกไปยังเบอร์ของคนที่เธอพยายามหลบหน้าหลบตามาทั้งอาทิตย์ เธอรอสายจนสัญญาณตัดไป จึงลองกดโทร.ออกอีกครั้ง และผลก็ไม่ต่างจากรอบแรก เซฟตีสาวจึงตัดสินใจเดินลงไปหาเขาที่โซนซี
“ทำไมไม่ตอบ ว. และไม่รับโทรศัพท์คะนายช่าง”
ปัถยาถามขึ้นอย่างฉุนๆ เมื่อรู้ว่าเขาจงใจที่จะไม่ตอบ ขณะที่เธอเดินไปหาเขา เธอกดโทร.หาเขาไปด้วย สลับกับเรียกเขาผ่านทางวิทยุสื่อสาร และสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าคือเขายืนจ้องโทรศัพท์ที่เป็นสายจากเธอนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย ไหนจะเสียงวิทยุสื่อสารที่ดังเป็นระยะๆ นั่นอีก
“ถ้าผมตอบผมก็ไม่ได้เจอคุณสักทีน่ะสิ ทำไมคุณต้องคอยหลบหน้าหลบตาผมด้วย หรือว่าคุณยังไม่หายโกรธผมสำหรับเรื่องวันนั้น”
ชวกรถามอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของหญิงสาว ในเมื่อเขาก็ขอโทษและรับปากไปแล้วว่าจะให้ความร่วมมือเรื่องความปลอดภัย แล้วทำไมเธอยังทำเหมือนโกรธเขาอยู่ ทั้งยังตั้งใจหลบเลี่ยงที่จะเจอเขา ซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าการที่ไม่มีอีกฝ่ายมาคอยป้วนเปี้ยนให้ขวางหูขวางตา มันจะทำให้เขาสบายอกสบายใจและทำงานอย่างมีความสุข แต่พอเอาเข้าจริงทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด นานวันเข้าเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดและหงุดหงิดขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เมื่อเห็นเธอคุยหัวเราะเล่นกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน แต่พอเขาย่างกรายเข้าไปใกล้เธอกลับปิดปากเงียบเป็นเป่าสากและขอตัวออกจากวงสนทนาไปทันที เธอทำราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคอย่างไรอย่างนั้น
จนผ่านมาเป็นอาทิตย์เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องสำคัญกับเธอเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้เจอและพูดคุยกับเธอ ซึ่งดูแล้วมันน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายกรุ่นโกรธไม่น้อย ถึงได้พูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนกว่าทุกครั้งที่เขาเคยได้ยิน
“คุณคิดว่าเรื่องที่คุณทำไว้กับฉันมันน่าโกรธไหมล่ะคะ ฉันจะโดนไล่ออกวันไหนยังไม่รู้เลย เกิดวันไหนฉันเสนอหน้าไปให้คุณเห็นแล้วคุณเกิดหมั่นไส้ฉันขึ้นมา และคุณทำอย่างวันนั้นอีก ฉันก็ซวยไปสิ” ปัถยาระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดังลั่นอย่างเหลืออด
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าฉันไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจตอนไหน คุณถึงได้ทำเหมือนโกรธเกลียดฉันมาเป็นชาติแบบนี้”
“ผมเคยพูดเหรอว่าผมเกลียดคุณ” ชวกรตกใจไม่น้อยกลับอารมณ์อีกด้านหนึ่งของเซฟตีสาว ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ปกติเธอจะพูดจาอ่อนหวานกับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาที่แสดงออกกรายๆ ว่าไม่ค่อยชอบหน้าเธอ แต่เธอก็ยังพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ไม่เคยเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแบบครั้งนี้
“คุณไม่พูดแต่การกระทำคุณมันฟ้อง เจอหน้าฉันทีไรคุณชอบทำหน้าเสียอารมณ์ เวลาฉันบอกฉันเตือนอะไรคุณก็ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ฉันตลอด ฉันพูดด้วยดีๆ คุณก็ตอบแบบกระโชกโฮกฮากทุกครั้งไป แบบนี้จะให้ฉันคิดว่าคุณพิศวาสฉันเหรอคะ ถามจริงคุณมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนา ถ้ามีปัญหาอะไรก็พูดออกมาเลย จะได้เคลียร์กันให้จบในวันนี้ จะได้ไม่ต้องค้างคาใจกันอีกต่อไป”
ปัถยาถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมาเสียงดัง เมื่อไม่สามารถทนกักเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจได้อีกต่อไป วันนี้เป็นไงเป็นกัน แม้ต้องแตกหักกันเธอก็ยอม ถ้ามันทำให้รู้ถึงสาเหตุที่เขาไม่ชอบใจเธอ
ชวกรนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นปัถยาในโหมดนี้มาก่อน พร้อมคิดตามที่หญิงสาวพูด มันก็จริงอย่างเธอว่า เขาทำตัวเหมือนโกรธเหมือนเกลียดเธอมาเป็นชาติ ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลยสักนิด เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาโดยตลอด ข้อนี้เขาเองยังแอบชื่นชมเธออยู่เลย แต่ติดอยู่แค่เรื่องเดียวและเป็นเรื่องที่เขาเกลียดที่สุด คือเรื่องที่เธอชอบทำตัวเป็นสาวโสดเมื่ออยู่ลับหลังคนรัก แม้เขาจะพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่านั่นมันเรื่องส่วนตัวของเธอ ให้แยกแยะระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แต่มันก็อดอคติไม่ได้อยู่เรื่อย ยิ่งวันไหนเห็นแฟนหนุ่มของเธอมารอรับที่หน้าไซต์งาน ความไม่ชอบใจในตัวหญิงสาวยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น
“เงียบทำไมล่ะ ตอบมาสิคะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน เซฟตีสาวจึงถามย้ำอีกที
“ผมขอโทษ”
“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แต่ฉันต้องการคำอธิบาย ถึงสาเหตุที่คุณไม่ชอบขี้หน้าฉัน”
“ผม...” ชายหนุ่มอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะเหตุผลของเขานั้นมันงี่เง่าสิ้นดี
“มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่น แล้วฉันจะรู้ไหมว่าคุณโกรธเกลียดฉันเรื่องอะไร” ปัถยาเริ่มจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่พูดออกมาสักที
“ผมไม่ได้เกลียดคุณ ผมแค่...”
ยังไม่ทันที่ชวกรจะได้พูดอธิบายอะไร ก็มีเสียงคนงานตะโกนแทรกเข้ามาว่า
“ไฟไหม้ ไฟไหม้”
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยสาวแทบหมดแรงเมื่อได้ยินคำดังกล่าว ก่อนจะตั้งสติและรีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุที่อยู่บริเวณโซนบี โดยมีชวกรวิ่งตามไปติดๆ
ทันทีที่มาถึงปัถยาและชวกรไม่รอช้ารีบเข้าไปช่วยคนงานดับไฟที่กำลังลุกลามไปตามกองเศษกระดาษลูกฟูกที่เพิ่งแกะออกจากเฟอร์นิเจอร์ หลังเพลิงสงบลงเซฟตีสาวถึงกับเซ แข้งขามันไร้เรี่ยวแรงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ยังดีที่ชวกรเข้ามาพยุงไว้ทัน แต่เจ้าตัวกลับสะบัดออกราวกับรังเกียจหนักหนา พร้อมหันมามองคนหวังดีตาขวาง ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น
“ไม่ต้องมาถูกตัวฉัน สมใจคุณแล้วล่ะสิ ต่อไปคุณคงจะทำงานอย่างสบายใจ ไม่ต้องทนเจอหน้าฉัน ไม่มีฉันให้คุณรำคาญอีกต่อไป” หญิงสาวจ้องตาชายหนุ่มนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่เคยรำคาญคุณเลยนะ”
“ฝืนใจไหมคะที่พูดคำนี้ออกมา” เซฟตีสาวพูดอย่างหยันๆ
“เคลียร์ตรงนี้เสร็จแล้ว ขึ้นไปคุยกันที่ห้องประชุมหน่อยนะ” ศรันย์ที่มาทันเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่พูดขึ้นเสียงเย็น ก่อนจะเดินหน้านิ่งออกไป ทำเอาคนฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
‘เราจะโดนรีเจ็กต์ออกจากโครงการจริงๆ ใช่ไหม’ ปัถยาพูดกับตัวเองในใจ พลันน้ำใสๆ ก็ไหลออกมาจากหางตา เริ่มท้อแท้กับการเดินบนเส้นทางนี้ แม้เธอจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่ไหน แต่ถ้าคนอื่นไม่ให้ความร่วมมือมันก็เท่านั้น และผลก็อย่างที่เห็น
“เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยคุณ เปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว” โฟร์แมนหนุ่มว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กขึ้นมาหมายจะเช็ดน้ำตาให้ ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนแพ้น้ำตาผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า เห็นทีไรใจที่แข็งกระด้างของเขาเป็นต้องกระตุกวูบ พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่พร้อมใจกันวิ่งเข้ามาจู่โจมโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไม่ทันที่ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยจะได้สัมผัสกับแก้มเนียนใส เจ้าของใบหน้าก็เบือนหน้าหนีพร้อมปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างแรง “เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง” ว่าเสร็จก็เดินลิ่วเข้าไปหาวิษณุที่กำลังสำรวจความเสียหายในจุดเกิดเหตุ
[1]ว.2 คือ รหัสวิทยุสื่อสาร หมายถึง ได้ยินหรือไม่/ได้ยินแล้ว