ชวกรเดินนำปัถยาไปยังซอยข้างโรงพยาบาล เดินเข้าซอยไปประมาณห้าสิบเมตรก็ถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านไม้โบราณที่ดัดแปลงให้กลายเป็นร้านอาหาร ที่ตกแต่งแนวเรโทร โดยนำของเก่ามาตกแต่งสร้างบรรยากาศให้ร้านดูคลาสสิคยิ่งขึ้น และภายในร้านแบ่งออกเป็นโซนในบ้านที่เป็นห้องปรับอากาศ ซึ่งโซนนี้จะมีเวทีสำหรับวงดนตรีขึ้นเล่นดนตรีสดและด้านนอกเป็นโซนนั่งกินลมชมวิว ซึ่งสองหนุ่มสาวเลือกนั่งที่โซนด้านนอกเพื่อจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่รอบตัวบ้าน
“นายช่างมาร้านนี้บ่อยเหรอคะ” ปัถยาถาม แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูที่พนักงานนำมาให้
“ไม่บ่อยหรอก คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ ผมกินได้หมด”
ปัถยาขานรับจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเลือกรายการอาหาร โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคมกำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยหวานของตนอย่างไม่วางตา หน้าตาของเธอดูสดใสร่าเริง เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรและนี่คงจะเป็นเสน่ห์ของเธอสินะ ชายหนุ่มคิดในใจ
“นายช่างจะสั่งน้ำอะไรคะ” ปัถยาเอ่ยถามหลังจากสั่งอาหารไปสี่อย่างอย่างพร้อมกับน้ำเปล่าสำหรับตัวเองขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เมนูตรงหน้า
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าสายตาคมของนายช่างหนุ่มนั้นกำลังจับจ้องเธออยู่อย่างไม่วางตา และสายตาคู่นี้ยังดึงดูดเธอจนไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ ทั้งสองจ้องกันอยู่เนิ่นนาน จนพนักงานต้องส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อเธอจะได้ไปรับออเดอร์ที่โต๊ะอื่น เพราะลูกค้าเริ่มทยอยมาจนแน่นร้านแล้ว
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
สองหนุ่มสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของพนักงานสาวสวยวัยแรกแย้มแทรกเข้าไปในภวังค์ความคิดของทั้งสอง
“ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มถามพลางหยิบเมนูตรงหน้าขึ้นมาดูแก้เก้อ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็เสมองสำรวจรอบๆ ร้านแก้เขินที่เผลอไปจ้องตอบชายหนุ่มเป็นนานสองนาน
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” พนักงานสาวทวนคำถามซ้ำอีกรอบพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ให้กับลูกค้าทั้งสอง
“ผมขอเป็นเบียร์ละกัน” ชวกรหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังจากเรียกสติกลับมาได้
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะนายช่าง” ปัถยาพูดขึ้นหลังจากพนักงานเดินจากไป พลางมองสำรวจรอบร้าน เนื่องจากเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
รอบๆ บ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายชนิดช่วยให้บรรยากาศภายในร้านดูร่มรื่น พร้อมทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกลีลาวดีที่ปลูกไว้หลายต้นตามแนวรั้วบ้าน ตอนนี้แขกในร้านเริ่มหนาตา คนทยอยมาเรื่อยๆ จนเหลือโต๊ะว่างไม่กี่โต๊ะ ถ้าหากเธอมาช้ากว่านี้อีกนิดคงไม่มีที่นั่งเป็นแน่ หญิงสาวคิดในใจ
“ดีมากเลยแหละ แล้วคุณชอบไหม”
“ชอบค่ะ รุ้งชอบต้นไม้ ชอบดอกไม้” ปัถยาบอกเสียงใส พลันนึกขึ้นมาได้ว่าป่านนี้ที่บ้านคงรอทานข้าวแย่แล้ว “ขอคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะนายช่าง”
พูดจบหญิงสาวก็ต่อสายหาผู้เป็นน้าทันที สักพักก็วางสายไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี ปัถยาลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนชวกรก็จิบเบียร์ส่วนสายตาก็จ้องมองคนตรงหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่กลัวอ้วนเลยสักนิด
“เบียร์มันอร่อยตรงไหนเหรอคะ ขมก็ขม ทำไมถึงได้ชอบดื่มกันจัง” หญิงสาวถาม ขณะมือยังคงสาละวนอยู่กับอาหารตรงหน้า ส่วนคนถูกถามลดแก้วเครื่องดื่มสีเหลืองทองในมือลงก่อนตอบคำถามด้วยคำถาม
“เคยดื่มหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันขม”
“ยังไม่เคยค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าประกอบคำตอบพลางยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ ก่อนจะพูดต่อ “ถามเพื่อน เพื่อนบอกว่ารสมันขมๆ น่ะค่ะ”
“ขมที่ไหนกัน หวานออก ไม่เชื่อลองชิมดูสิ คุณโดนเพื่อนหลอกแล้วแหละ” ไม่พูดเปล่า ชวกรยังจัดการรินเบียร์ใส่แก้วเปล่าอีกใบพร้อมยื่นให้หญิงสาวลองชิมดู
“ไม่ดีกว่าค่ะ กลัวเมากลับบ้าน เดี๋ยวน้าว่าเอา”
“แค่จิบคำสองคำไม่เมาหรอก และจะได้รู้ด้วยว่ามันหวานขนาดไหน ไม่ได้ขมอย่างที่เขาว่ากัน”
ชวกรยังไม่ลดละ ยังคะยั้นคะยอให้หญิงสาวลองดื่มดู จนอีกฝ่ายทนแรงยุไม่ไหวรับแก้วจากเขามากระดกดื่มไปเสียอึกใหญ่ และทันทีที่น้ำสีเหลืองทองไหลผ่านลำคอลงไป หญิงสาวผู้ซึ่งไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อน แทบจะคายส่วนที่เหลือในปากทิ้ง ถ้าเสียงของคนตรงหน้าไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“ห้ามคายทิ้งนะ เสียดายของ” โฟร์แมนหนุ่มแสร้งเอ่ยเสียงเข้มอย่างรู้ทันความคิดของหญิงสาว ปัถยาจึงกลั้นใจกลืนส่วนที่เหลือลงไปพร้อมกับทำสีหน้าพะอืดพะยม
“นายช่างแกล้งรุ้ง ไหนบอกว่าหวานไงคะ นี่อะไรขมปี๋เลย” ปัถยาทำหน้ามุ่ยพร้อมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเพื่อล้างคอเกือบหมดแก้ว ขณะที่คนขี้แกล้งได้แต่กลั้นขำจนปวดแก้ม ไม่คิดว่าเธอจะหลอกง่ายขนาดนี้
“ผมบอกให้คุณจิบ แต่คุณเล่นกระดกซะเต็มที่” ชวกรยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ มันเป็นรอยยิ้มแบบเต็มที่ ยิ้มทั้งปากทั้งตาในรอบหลายปีของเขา ไม่ใช่รอยยิ้มที่ต้องฝืนยิ้มยามเข้าสังคมเหมือนทุกครั้ง
“ก็รุ้งไม่เคยดื่มนี่คะ คิดว่าคงจะเหมือนดื่มน้ำ”
“หัดดื่มไว้ก็ไม่เสียหาย จะได้รู้ไว้ ไม่ต้องโดนใครเขาหลอกเอา” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเหมือนก่อนหน้านี้
“ก็คงจะมีแต่นายช่างนี้แหละมั้งคะที่จะหลอกให้รุ้งดื่ม” ปัถยาพูดด้วยใบหน้างอง้ำ
“ผมขอโทษละกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งไม่โกรธ ถ้าการได้แกล้งรุ้งแล้วทำให้นายช่างหัวเราะได้ รุ้งก็ยินดีค่ะ เพราะเวลานายช่างยิ้มและหัวเราะน่ามองกว่าตอนทำหน้านิ่ง ทำหน้าจริงจังอีกค่ะ” ปัถยาบอกยิ้มๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่คนที่ชอบทำหน้าตาไร้ความรู้สึกนั้นทั้งหัวเราะและขำกับการกระทำของเธอ จะโกรธเขาก็โกรธไม่ลงหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเธอนั้นแพ้รอยยิ้มของเขา รอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใด
“ขนาดนั้นเลย” ชวกรพูดเสียงเรียบ กลับเข้าสู่โหมดปกติเมื่อเริ่มรู้สึกสับสนภายในหัวใจตนเอง พักหลังมานี้เขาเป็นอะไรไปนะ เริ่มไม่เข้าใจตัวเอง อย่างเมื่อกี้อยู่ๆ เขาก็อยากแกล้งเธอ การกระทำดังกล่าวมันไม่ใช่ตัวเขาเลย
“นายช่างไม่กินเหรอคะ” เสียงของคนที่อยู่ในความคิดเรียกให้ชายหนุ่มได้สติ
“กินสิ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า พร้อมกับชวนคุยไปด้วย “ผู้รับเหมาพวกนั้นยังมาวุ่นวายกับคุณอยู่ไหม”
ปัถยาละสายตาจากจานข้าวตรงหน้าพร้อมส่ายหน้าประกอบคำตอบ “ไม่แล้วค่ะ” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ฉายขึ้นมาในหัว
สร้างรัก...บทที่ 7 (2)
“นายช่างมาร้านนี้บ่อยเหรอคะ” ปัถยาถาม แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูที่พนักงานนำมาให้
“ไม่บ่อยหรอก คุณอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ ผมกินได้หมด”
ปัถยาขานรับจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเลือกรายการอาหาร โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคมกำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยหวานของตนอย่างไม่วางตา หน้าตาของเธอดูสดใสร่าเริง เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาดูไม่มีพิษมีภัยอะไรและนี่คงจะเป็นเสน่ห์ของเธอสินะ ชายหนุ่มคิดในใจ
“นายช่างจะสั่งน้ำอะไรคะ” ปัถยาเอ่ยถามหลังจากสั่งอาหารไปสี่อย่างอย่างพร้อมกับน้ำเปล่าสำหรับตัวเองขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เมนูตรงหน้า
“...” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าสายตาคมของนายช่างหนุ่มนั้นกำลังจับจ้องเธออยู่อย่างไม่วางตา และสายตาคู่นี้ยังดึงดูดเธอจนไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ ทั้งสองจ้องกันอยู่เนิ่นนาน จนพนักงานต้องส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อเธอจะได้ไปรับออเดอร์ที่โต๊ะอื่น เพราะลูกค้าเริ่มทยอยมาจนแน่นร้านแล้ว
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
สองหนุ่มสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของพนักงานสาวสวยวัยแรกแย้มแทรกเข้าไปในภวังค์ความคิดของทั้งสอง
“ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มถามพลางหยิบเมนูตรงหน้าขึ้นมาดูแก้เก้อ ส่วนหญิงสาวอีกคนก็เสมองสำรวจรอบๆ ร้านแก้เขินที่เผลอไปจ้องตอบชายหนุ่มเป็นนานสองนาน
“คุณผู้ชายจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” พนักงานสาวทวนคำถามซ้ำอีกรอบพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ให้กับลูกค้าทั้งสอง
“ผมขอเป็นเบียร์ละกัน” ชวกรหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานหลังจากเรียกสติกลับมาได้
“ร้านนี้บรรยากาศดีนะคะนายช่าง” ปัถยาพูดขึ้นหลังจากพนักงานเดินจากไป พลางมองสำรวจรอบร้าน เนื่องจากเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
รอบๆ บ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายชนิดช่วยให้บรรยากาศภายในร้านดูร่มรื่น พร้อมทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆจากดอกลีลาวดีที่ปลูกไว้หลายต้นตามแนวรั้วบ้าน ตอนนี้แขกในร้านเริ่มหนาตา คนทยอยมาเรื่อยๆ จนเหลือโต๊ะว่างไม่กี่โต๊ะ ถ้าหากเธอมาช้ากว่านี้อีกนิดคงไม่มีที่นั่งเป็นแน่ หญิงสาวคิดในใจ
“ดีมากเลยแหละ แล้วคุณชอบไหม”
“ชอบค่ะ รุ้งชอบต้นไม้ ชอบดอกไม้” ปัถยาบอกเสียงใส พลันนึกขึ้นมาได้ว่าป่านนี้ที่บ้านคงรอทานข้าวแย่แล้ว “ขอคุยโทรศัพท์สักครู่นะคะนายช่าง”
พูดจบหญิงสาวก็ต่อสายหาผู้เป็นน้าทันที สักพักก็วางสายไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟพอดี ปัถยาลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนชวกรก็จิบเบียร์ส่วนสายตาก็จ้องมองคนตรงหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่กลัวอ้วนเลยสักนิด
“เบียร์มันอร่อยตรงไหนเหรอคะ ขมก็ขม ทำไมถึงได้ชอบดื่มกันจัง” หญิงสาวถาม ขณะมือยังคงสาละวนอยู่กับอาหารตรงหน้า ส่วนคนถูกถามลดแก้วเครื่องดื่มสีเหลืองทองในมือลงก่อนตอบคำถามด้วยคำถาม
“เคยดื่มหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันขม”
“ยังไม่เคยค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าประกอบคำตอบพลางยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ ก่อนจะพูดต่อ “ถามเพื่อน เพื่อนบอกว่ารสมันขมๆ น่ะค่ะ”
“ขมที่ไหนกัน หวานออก ไม่เชื่อลองชิมดูสิ คุณโดนเพื่อนหลอกแล้วแหละ” ไม่พูดเปล่า ชวกรยังจัดการรินเบียร์ใส่แก้วเปล่าอีกใบพร้อมยื่นให้หญิงสาวลองชิมดู
“ไม่ดีกว่าค่ะ กลัวเมากลับบ้าน เดี๋ยวน้าว่าเอา”
“แค่จิบคำสองคำไม่เมาหรอก และจะได้รู้ด้วยว่ามันหวานขนาดไหน ไม่ได้ขมอย่างที่เขาว่ากัน”
ชวกรยังไม่ลดละ ยังคะยั้นคะยอให้หญิงสาวลองดื่มดู จนอีกฝ่ายทนแรงยุไม่ไหวรับแก้วจากเขามากระดกดื่มไปเสียอึกใหญ่ และทันทีที่น้ำสีเหลืองทองไหลผ่านลำคอลงไป หญิงสาวผู้ซึ่งไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อน แทบจะคายส่วนที่เหลือในปากทิ้ง ถ้าเสียงของคนตรงหน้าไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“ห้ามคายทิ้งนะ เสียดายของ” โฟร์แมนหนุ่มแสร้งเอ่ยเสียงเข้มอย่างรู้ทันความคิดของหญิงสาว ปัถยาจึงกลั้นใจกลืนส่วนที่เหลือลงไปพร้อมกับทำสีหน้าพะอืดพะยม
“นายช่างแกล้งรุ้ง ไหนบอกว่าหวานไงคะ นี่อะไรขมปี๋เลย” ปัถยาทำหน้ามุ่ยพร้อมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเพื่อล้างคอเกือบหมดแก้ว ขณะที่คนขี้แกล้งได้แต่กลั้นขำจนปวดแก้ม ไม่คิดว่าเธอจะหลอกง่ายขนาดนี้
“ผมบอกให้คุณจิบ แต่คุณเล่นกระดกซะเต็มที่” ชวกรยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ มันเป็นรอยยิ้มแบบเต็มที่ ยิ้มทั้งปากทั้งตาในรอบหลายปีของเขา ไม่ใช่รอยยิ้มที่ต้องฝืนยิ้มยามเข้าสังคมเหมือนทุกครั้ง
“ก็รุ้งไม่เคยดื่มนี่คะ คิดว่าคงจะเหมือนดื่มน้ำ”
“หัดดื่มไว้ก็ไม่เสียหาย จะได้รู้ไว้ ไม่ต้องโดนใครเขาหลอกเอา” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นเหมือนก่อนหน้านี้
“ก็คงจะมีแต่นายช่างนี้แหละมั้งคะที่จะหลอกให้รุ้งดื่ม” ปัถยาพูดด้วยใบหน้างอง้ำ
“ผมขอโทษละกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งไม่โกรธ ถ้าการได้แกล้งรุ้งแล้วทำให้นายช่างหัวเราะได้ รุ้งก็ยินดีค่ะ เพราะเวลานายช่างยิ้มและหัวเราะน่ามองกว่าตอนทำหน้านิ่ง ทำหน้าจริงจังอีกค่ะ” ปัถยาบอกยิ้มๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่คนที่ชอบทำหน้าตาไร้ความรู้สึกนั้นทั้งหัวเราะและขำกับการกระทำของเธอ จะโกรธเขาก็โกรธไม่ลงหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเธอนั้นแพ้รอยยิ้มของเขา รอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใด
“ขนาดนั้นเลย” ชวกรพูดเสียงเรียบ กลับเข้าสู่โหมดปกติเมื่อเริ่มรู้สึกสับสนภายในหัวใจตนเอง พักหลังมานี้เขาเป็นอะไรไปนะ เริ่มไม่เข้าใจตัวเอง อย่างเมื่อกี้อยู่ๆ เขาก็อยากแกล้งเธอ การกระทำดังกล่าวมันไม่ใช่ตัวเขาเลย
“นายช่างไม่กินเหรอคะ” เสียงของคนที่อยู่ในความคิดเรียกให้ชายหนุ่มได้สติ
“กินสิ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า พร้อมกับชวนคุยไปด้วย “ผู้รับเหมาพวกนั้นยังมาวุ่นวายกับคุณอยู่ไหม”
ปัถยาละสายตาจากจานข้าวตรงหน้าพร้อมส่ายหน้าประกอบคำตอบ “ไม่แล้วค่ะ” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ฉายขึ้นมาในหัว