นั่งสมาธิจิตไปพรหมโลก
ขณะบวชที่วัดถ้ำสหาย เมื่อปี 2559 นั่งสมาธิดูลมหายใจควบคู่ภาวนาพุทโธ เมื่อสงบเป็นสมาธิ ลมหายใจดับ กายดับสนิท จิตหดลงเล็กมากๆ แล้วพุ่งออกไปรอดผ่านรูเข็มเล็กๆสว่างไสวคล้ายรูหนอน จิตไปโผล่อีกมิติหนึ่ง เหมือนเราอยู่ที่นั่นจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นด้วยทิพยจักษุณาน จิตเราอยู่ในมิตินั่นจริงๆ จิตไม่รับรู้ถึงกาย ลมหายใจและความคิด มิตินั่นมีแต่ความกว้าง เวิ้งว้างไม่มีประมาณ ไม่มีความขนาดว่ากว้าง ยาว สูง ตรงกลางห้วงความว่างนั้นมีจิตประภัสสร เหมือนแก้วประกายพฤกษ์ส่องสว่างๆไสวดุจดวงอาทิตย์ เป็นแสงขาวนวล สว่างไสว อยู่กลางห้วงความว่างนั้น ไม่มีความคิดใดๆและลมหายใจเข้ามาได้ เมื่ออยู่ในห้วงความว่างนั้นระยะหนึ่ง ลมหายใจเริ่มเข้ามาได้ ลมหายใจนั้นเหมือนน้ำที่ซัดเข้าจนเขื่อนแตก จิตถอนจากมิติความว่างกลับสู่ร่าง ความสุขพุ่งไปทุกอณูร่างกาย ตามด้วยปีติ ซาบซ่านแผ่ไปทั้งกาย เริ่มรู้สึกกาย และความคิดจึงกลับมา ออกจากสมาธิปัญญาสว่างไสวมากๆ เหมือนเราฉลาดขึ้น ได้ปัญญาขึ้นมาเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ร่างกายเราหรือแม้แต่ความคิดเราล้วนสร้างขึ้นโดยอวิชชา ตัวเรานี่แหละ (กายและความคิด) คือ อวิชชา ความสุขที่แผ่ซ่าน ทำให้ความเครียด ความหิว ความง่วงหายไปจนหมดสิ้น ดูเวลาพบว่านั่งสมาธิไป 4-5 ชม. เข้าใจมาตลอดว่าสภาวะนี้ คือ พระนิพพาน
ปีนี้ (2564) จึงนำสภาวะนี้ไปเรียนถาม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ท่านตอบว่า จิตเข้าไปสู่มิติโลกทิพย์ เป็นพรหมโลก เป็นสภาวะเช่นนั้นแหละ ยังไม่ใช่นิพพาน (อันนี้ไม่ได้เล่าให้ท่านฟังแต่ท่านรู้ว่าผมคิดว่าเป็นนิพพาน)
นั่งสมาธิจิตไปพรหมโลก
ขณะบวชที่วัดถ้ำสหาย เมื่อปี 2559 นั่งสมาธิดูลมหายใจควบคู่ภาวนาพุทโธ เมื่อสงบเป็นสมาธิ ลมหายใจดับ กายดับสนิท จิตหดลงเล็กมากๆ แล้วพุ่งออกไปรอดผ่านรูเข็มเล็กๆสว่างไสวคล้ายรูหนอน จิตไปโผล่อีกมิติหนึ่ง เหมือนเราอยู่ที่นั่นจริงๆ ไม่ใช่แค่เห็นด้วยทิพยจักษุณาน จิตเราอยู่ในมิตินั่นจริงๆ จิตไม่รับรู้ถึงกาย ลมหายใจและความคิด มิตินั่นมีแต่ความกว้าง เวิ้งว้างไม่มีประมาณ ไม่มีความขนาดว่ากว้าง ยาว สูง ตรงกลางห้วงความว่างนั้นมีจิตประภัสสร เหมือนแก้วประกายพฤกษ์ส่องสว่างๆไสวดุจดวงอาทิตย์ เป็นแสงขาวนวล สว่างไสว อยู่กลางห้วงความว่างนั้น ไม่มีความคิดใดๆและลมหายใจเข้ามาได้ เมื่ออยู่ในห้วงความว่างนั้นระยะหนึ่ง ลมหายใจเริ่มเข้ามาได้ ลมหายใจนั้นเหมือนน้ำที่ซัดเข้าจนเขื่อนแตก จิตถอนจากมิติความว่างกลับสู่ร่าง ความสุขพุ่งไปทุกอณูร่างกาย ตามด้วยปีติ ซาบซ่านแผ่ไปทั้งกาย เริ่มรู้สึกกาย และความคิดจึงกลับมา ออกจากสมาธิปัญญาสว่างไสวมากๆ เหมือนเราฉลาดขึ้น ได้ปัญญาขึ้นมาเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ร่างกายเราหรือแม้แต่ความคิดเราล้วนสร้างขึ้นโดยอวิชชา ตัวเรานี่แหละ (กายและความคิด) คือ อวิชชา ความสุขที่แผ่ซ่าน ทำให้ความเครียด ความหิว ความง่วงหายไปจนหมดสิ้น ดูเวลาพบว่านั่งสมาธิไป 4-5 ชม. เข้าใจมาตลอดว่าสภาวะนี้ คือ พระนิพพาน
ปีนี้ (2564) จึงนำสภาวะนี้ไปเรียนถาม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ท่านตอบว่า จิตเข้าไปสู่มิติโลกทิพย์ เป็นพรหมโลก เป็นสภาวะเช่นนั้นแหละ ยังไม่ใช่นิพพาน (อันนี้ไม่ได้เล่าให้ท่านฟังแต่ท่านรู้ว่าผมคิดว่าเป็นนิพพาน)