แรกเริ่มมีแต่ความว่าง ที่ไร้สมมุติ ไร้สิ่งปรุงแต่ง แต่ในความว่างนั้นมีพลังงานอยู่โดยธรรมชาติ
เมื่อพลังงานในความว่างเกิดการหมุนวน เกิดเป็นดวงจิต ลักษณะเป็นแก้วประกายพรึก มีพลังงานในตนเองส่องสว่างไสวเป็นประภัสสรท่ามกลางความว่าง
ดวงจิตแรกเริ่ม ใสซื่อ บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งปัญญาเหมือนเด็กเกิดใหม่ ถูกความมืดบอดของอวิชชาคือ ความไม่รู้ ที่มีอยู่โดยธรรมชาติเข้าครอบงำดวงจิต จนมืดบอด ดำสนิท สร้างเป็นวัฏสงสาร 31 ภพภูมิขึ้น จากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุทิพย์ เกิดเป็นจักรวาล นรก สวรรค์ พรหมโลกขึ้น ล้วนเกิดขึ้นในจิต สร้างเป็นตัวละคร เป็นมนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม สัตว์เดรัจฉานและสัตว์นรก
ดวงจิตส่งกระแสจิตไปควบคุมตัวละครนั้น เพราะความหลง ความอยาก กิเลส ตัณหา ความเพลิดเพลินจนหลงว่าตัวละครนั้น คือ ตัวตนที่แท้จริงของดวงจิต เกิดเป็นตัวกู ของกู เวียนว่ายตายเกิด เป็นมนุษย์บ้าง เป็นกษัตริย์ เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนพิการ เทวดาบ้าง พรหมบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง สัตว์นรกบ้าง สลับกันไปไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความเพลิดเพลิน
เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ในคุกแห่งวัฏสงสารที่คุมขังโดยอวิชชานี้ จึงหาทางหลุดพ้นโดยการทำทาน ศีล สมถสมาธิและวิปัสสนา นับชาติไม่ถ้วน จนจิตหลุดพ้นจากอวิชชา เป็นดวงจิตที่มีปัญญาไม่ถูกอวิชชาครอบงำอีกต่อไป เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกและพาดวงจิตดวงอื่นหลุดพ้นด้วยเกิดเป็นพระอรหันต์
การหลุดพ้นจากอวิชชาทำได้ 2 วิธี
หลุดพ้นชั่วคราว ด้วยการเจริญสมถกรรมฐาน (สมาธิ) จนจิตหยุดการเชื่อมต่อกับวัฏสงสารผ่านอายตนะทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจชั่วคราว จนอวิชชาไม่สามารถครอบงำได้ กลับสู่สภาวะเดิมแท้ของจิต คือ เป็นแก้วใส ประกายพรึก ส่องสว่างเป็นประภัสสร ท่ามกลางความว่างที่ไร้สมมุติ บัญญัติอีกครั้ง ความว่างนั้นไม่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความคิด ไร้สมมุติบัญญัติทั้งปวง แต่ดวงจิตยังไร้ปัญญาเมื่อออกจากความสงบ อวิชชาจะเข้าครอบงำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว กลับสู่วัฏสงสารอีกครั้ง
หลุดพ้นอย่างถาวร โดยการเจริญสมถกรรมฐาน จนจิตไร้อวิชชาครอบงำอีกครั้ง จิตสงบมีกำลัง มีความเป็นกลาง มองเห็นตามความเป็นจริง แล้วทำการเจริญวิปัสสนา โดยพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จนเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เกิดเป็นดวงจิตที่มีปัญญา อวิชชาไม่สามารถครอบงำได้อีกต่อไป เมื่อกายนี้สิ้นสุดลงจิตก็ดับจากวัฏสงสาร กลับสู่สภาวะดั้งเดิม คือ พลังงานที่ผสมผสานกับความว่างดั้งเดิมแต่พลังงานนี้ไม่หลงกับอวิชชาจึงไม่เชื่อมต่อกับวัฏสงสาร พลังงานนั้นผสมผสานกับความว่างอันบริสุทธิ์ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ปล.บทความนี้เขียนจากประสบการณ์การปฏิบัติของผมไม่ได้เอามาจากที่ใด ถ้าผิดพลาดขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
แรกเริ่มมีแต่ความว่าง ที่ไร้สมมุติ ไร้สิ่งปรุงแต่ง แต่ในความว่างนั้นมีพลังงานอยู่โดยธรรมชาติ
เมื่อพลังงานในความว่างเกิดการหมุนวน เกิดเป็นดวงจิต ลักษณะเป็นแก้วประกายพรึก มีพลังงานในตนเองส่องสว่างไสวเป็นประภัสสรท่ามกลางความว่าง
ดวงจิตแรกเริ่ม ใสซื่อ บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งปัญญาเหมือนเด็กเกิดใหม่ ถูกความมืดบอดของอวิชชาคือ ความไม่รู้ ที่มีอยู่โดยธรรมชาติเข้าครอบงำดวงจิต จนมืดบอด ดำสนิท สร้างเป็นวัฏสงสาร 31 ภพภูมิขึ้น จากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุทิพย์ เกิดเป็นจักรวาล นรก สวรรค์ พรหมโลกขึ้น ล้วนเกิดขึ้นในจิต สร้างเป็นตัวละคร เป็นมนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม สัตว์เดรัจฉานและสัตว์นรก
ดวงจิตส่งกระแสจิตไปควบคุมตัวละครนั้น เพราะความหลง ความอยาก กิเลส ตัณหา ความเพลิดเพลินจนหลงว่าตัวละครนั้น คือ ตัวตนที่แท้จริงของดวงจิต เกิดเป็นตัวกู ของกู เวียนว่ายตายเกิด เป็นมนุษย์บ้าง เป็นกษัตริย์ เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนพิการ เทวดาบ้าง พรหมบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง สัตว์นรกบ้าง สลับกันไปไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความเพลิดเพลิน
เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ในคุกแห่งวัฏสงสารที่คุมขังโดยอวิชชานี้ จึงหาทางหลุดพ้นโดยการทำทาน ศีล สมถสมาธิและวิปัสสนา นับชาติไม่ถ้วน จนจิตหลุดพ้นจากอวิชชา เป็นดวงจิตที่มีปัญญาไม่ถูกอวิชชาครอบงำอีกต่อไป เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกและพาดวงจิตดวงอื่นหลุดพ้นด้วยเกิดเป็นพระอรหันต์
การหลุดพ้นจากอวิชชาทำได้ 2 วิธี
หลุดพ้นชั่วคราว ด้วยการเจริญสมถกรรมฐาน (สมาธิ) จนจิตหยุดการเชื่อมต่อกับวัฏสงสารผ่านอายตนะทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจชั่วคราว จนอวิชชาไม่สามารถครอบงำได้ กลับสู่สภาวะเดิมแท้ของจิต คือ เป็นแก้วใส ประกายพรึก ส่องสว่างเป็นประภัสสร ท่ามกลางความว่างที่ไร้สมมุติ บัญญัติอีกครั้ง ความว่างนั้นไม่มีทั้งความสุข ความทุกข์ ความคิด ไร้สมมุติบัญญัติทั้งปวง แต่ดวงจิตยังไร้ปัญญาเมื่อออกจากความสงบ อวิชชาจะเข้าครอบงำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว กลับสู่วัฏสงสารอีกครั้ง
หลุดพ้นอย่างถาวร โดยการเจริญสมถกรรมฐาน จนจิตไร้อวิชชาครอบงำอีกครั้ง จิตสงบมีกำลัง มีความเป็นกลาง มองเห็นตามความเป็นจริง แล้วทำการเจริญวิปัสสนา โดยพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จนเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เกิดเป็นดวงจิตที่มีปัญญา อวิชชาไม่สามารถครอบงำได้อีกต่อไป เมื่อกายนี้สิ้นสุดลงจิตก็ดับจากวัฏสงสาร กลับสู่สภาวะดั้งเดิม คือ พลังงานที่ผสมผสานกับความว่างดั้งเดิมแต่พลังงานนี้ไม่หลงกับอวิชชาจึงไม่เชื่อมต่อกับวัฏสงสาร พลังงานนั้นผสมผสานกับความว่างอันบริสุทธิ์ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ปล.บทความนี้เขียนจากประสบการณ์การปฏิบัติของผมไม่ได้เอามาจากที่ใด ถ้าผิดพลาดขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว