https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=17&item=91&items=12&preli
**********
๕. สมนุปัสสนาสูตร
[๙๔] พระนครสาวัตถี ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เมื่อพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นตนเป็นหลายวิธี
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมพิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕
หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง.
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้หลาย ฯลฯ
ไม่ได้รับการแนะนำในสัปปุริธรรม
ย่อมตาม
เห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
ย่อมตาม
เห็นตนมีรูป ๑
ย่อมตามเห็นรูปในตน ๑
ย่อมตามเห็นตนในรูป ๑
ย่อมตาม
เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
ย่อมตาม
เห็นตนมีวิญญาณ ๑
ย่อมตามเห็นวิญญาณในตน ๑
ย่อมตามเห็นตนในวิญญาณ ๑.
การตามเห็นด้วยประการดังนี้แล เป็นอันผู้นั้นยึดมั่นถือมั่นว่า
เราเป็น
เมื่อผู้นั้น ยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็น
ในกาลนั้นอินทรีย์ ๕ คือ
จักขุนทรีย์
โสตินทรีย์
ฆานินทรีย์
ชิวหินทรีย์
กายินทรีย์
ย่อมหยั่งลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มนะมีอยู่
ธรรมทั้งหลายมีอยู่
อวิชชาธาตุมีอยู่.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว
อันความ
เสวยอารมณ์ ซึ่งเกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว
เขา
ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นว่า
เราเป็นดังนี้บ้าง
นี้เป็นเราดังนี้บ้าง
เราจักเป็นดังนี้บ้าง
จักไม่เป็นดังนี้บ้าง
จักมีรูปดังนี้บ้าง
จักไม่มีรูปดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาดังนี้บ้าง
จักไม่มีสัญญาดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาก็หามิได้
ไม่มีสัญญาก็หามิได้ดังนี้บ้าง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อินทรีย์ ๕ ย่อมตั้งอยู่
ในเพราะการตามเห็นนั้นทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมละอวิชชาเสียได้
วิชชาย่อมเกิดขึ้น
เพราะความ
คลายไปแห่อวิชชา
เพราะความเกิดขึ้นแห่งวิชชา
อริยสาวกนั้น
ย่อมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในอินทรีย์เหล่านั้นว่า
เราเป็นดังนี้บ้าง
นี้เป็นเราดังนี้บ้าง
เราจักเป็นดังนี้บ้าง
จักไม่เป็นดังนี้บ้าง
จักมีรูปดังนี้บ้าง
จักไม่มีรูปดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาดังนี้บ้าง
จักไม่มีสัญญาดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาก็หามิได้
ไม่มีสัญญาก็หามิได้ดังนี้บ้าง.
จบ สูตร ๕
**********
========
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=94
อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ อัตตทีปวรรคที่ ๕สมนุปัสสนาสูตร ว่าด้วยการพิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕
อรรถกถาสมนุปัสสนาสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปญฺจุปาทานกฺขนฺเธ สมนุปสฺสนฺติ เอเตสํ วา อญฺญตรํ ความว่า สมณะหรือพราหมณ์
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ด้วยอำนาจยึดถือขันธ์ที่บริบูรณ์
พิจารณาเห็นบรรดาขันธ์เหล่านั้นด้วยอำนาจยึดถือขันธ์ที่ไม่บริบูรณ์ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง.
บทว่า อิติ อยญฺเจว สมนุปสฺสนา ความว่า ก็อนุปัสสนานี้ ชื่อว่าทิฏฐิสมนุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อสฺมีติ จสฺส อธิคตํ โหติ ความว่า ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่าง คือ
ตัณหา
มานะ
และทิฏฐิว่า เราได้เป็นแล้วในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่างนั้น ซึ่งมีตัวสมนุปัสสนาอยู่ เป็นอันเราบรรลุแล้ว.
บทว่า ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ อวกฺกนฺติ โหติ ความว่า เมื่อกิเลสชาตนั้นมีอยู่ อินทรีย์ ๕ ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งกรรมกิเลส ย่อมบังเกิด.
คำว่า อตฺถิ ภิกฺขเว มโน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาใจซึ่งมีธรรมเป็นอารมณ์.
บทว่า ธมฺมา ได้แก่ อารมณ์.
บทว่า อวิชฺชาธาตุ ได้แก่
อวิชชาในขณะแห่งชวนจิต.
บทว่า อวิชฺชาสมฺผสฺสเชน ได้แก่ เกิดจาก
ผัสสะอันสัมปยุตด้วยอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มโน ได้แก่ ใจที่มีวิบากเป็นอารมณ์ในขณะแห่งภวังคจิต
มโนธาตุฝ่ายกิริยาในขณะแห่งอาวัชชนจิตและธรรมเป็นต้น ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า อสฺมีติปิสฺส โหติ ความว่า เขาได้ยึดมั่นอย่างนี้ว่า เราได้เป็นแล้วด้วยอำนาจตัณหามานะทิฏฐิ. นอกจากนี้ คำว่า อยมหมสฺมิ ท่านยึดถือธรรมในอารมณ์มีรูปเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวด้วยอำนาจอัตตทิฏฐิ ถือว่าเป็นตน ว่าเราเป็นนี้.
คำว่า ภวิสฺสํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ ถือว่าทุกสิ่งเที่ยง.
คำว่า น ภวิสฺสํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจอุจเฉททิฏฐิ ถือว่าทุกสิ่งขาดสูญ.
คำทั้งหมดมี รูปี ภวิสฺสํ เป็นต้น หมายเอาสัสสตทิฏฐิเท่านั้น.
บทว่า อเถตฺถ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น คือเมื่ออินทรีย์เหล่านั้นดำรงอยู่โดยประการนั้นนั่นแล.
บทว่า อวิชฺชา ป
ยติ ความว่า
เราละอวิชชาอันเป็นตัวไม่รู้ในสัจจะ ๔.
บทว่า วิชฺชา อุปฺปชฺชติ ความว่า วิชชาในอรหัตตมรรคย่อมเกิดขึ้น.
ในที่นี้พึงทราบวินิจฉัยอย่างนี้.
บทว่า อสฺมิ ได้แก่ ตัณหามานะและทิฏฐิ. อธิบายว่า ระหว่างกรรมกับอินทรีย์ ๕ เป็นสนธิหนึ่ง ระหว่างอินทรีย์ ๕ นับใจที่มีวิบากเป็นอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายอินทรีย์ ๕ กับใจที่มีกรรมเป็นอารมณ์เป็นสนธิหนึ่ง.
ธรรมเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่างจัดเป็นอดีตอัทธา อินทรีย์เป็นต้นจัดเป็นปัจจุบันอัทธา ในอัทธา ๒ อย่างนั้น ท่านแสดงปัจจัยแห่งอนาคตอัทธา เริ่มต้นแต่ใจที่มีกรรมเป็นอารมณ์ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสมนุปัสสนาสูตรที่ ๕
========
.
222*** การพิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕ | ว่าด้วยขันธ์และอุปาทานขันธ์ ๕
**********
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เมื่อพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นตนเป็นหลายวิธี
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมพิจารณาเห็นอุปาทานขันธ์ ๕
หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง.
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุถุชนไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้หลาย ฯลฯ
ไม่ได้รับการแนะนำในสัปปุริธรรม
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
ย่อมตามเห็นตนมีรูป ๑
ย่อมตามเห็นรูปในตน ๑
ย่อมตามเห็นตนในรูป ๑
ย่อมตามเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ...
ย่อมตามเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
ย่อมตามเห็นตนมีวิญญาณ ๑
ย่อมตามเห็นวิญญาณในตน ๑
ย่อมตามเห็นตนในวิญญาณ ๑.
การตามเห็นด้วยประการดังนี้แล เป็นอันผู้นั้นยึดมั่นถือมั่นว่า
เราเป็น
เมื่อผู้นั้น ยึดมั่นถือมั่นว่า เราเป็น
ในกาลนั้นอินทรีย์ ๕ คือ
จักขุนทรีย์
โสตินทรีย์
ฆานินทรีย์
ชิวหินทรีย์
กายินทรีย์
ย่อมหยั่งลง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มนะมีอยู่
ธรรมทั้งหลายมีอยู่
อวิชชาธาตุมีอยู่.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว
อันความเสวยอารมณ์ ซึ่งเกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว
เขาย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นว่า
เราเป็นดังนี้บ้าง
นี้เป็นเราดังนี้บ้าง
เราจักเป็นดังนี้บ้าง
จักไม่เป็นดังนี้บ้าง
จักมีรูปดังนี้บ้าง
จักไม่มีรูปดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาดังนี้บ้าง
จักไม่มีสัญญาดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาก็หามิได้
ไม่มีสัญญาก็หามิได้ดังนี้บ้าง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อินทรีย์ ๕ ย่อมตั้งอยู่
ในเพราะการตามเห็นนั้นทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมละอวิชชาเสียได้
วิชชาย่อมเกิดขึ้น
เพราะความคลายไปแห่อวิชชา
เพราะความเกิดขึ้นแห่งวิชชา
อริยสาวกนั้น
ย่อมไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในอินทรีย์เหล่านั้นว่า
เราเป็นดังนี้บ้าง
นี้เป็นเราดังนี้บ้าง
เราจักเป็นดังนี้บ้าง
จักไม่เป็นดังนี้บ้าง
จักมีรูปดังนี้บ้าง
จักไม่มีรูปดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาดังนี้บ้าง
จักไม่มีสัญญาดังนี้บ้าง
จักมีสัญญาก็หามิได้
ไม่มีสัญญาก็หามิได้ดังนี้บ้าง.
จบ สูตร ๕
**********
========
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=94
อรรถกถาสมนุปัสสนาสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปญฺจุปาทานกฺขนฺเธ สมนุปสฺสนฺติ เอเตสํ วา อญฺญตรํ ความว่า สมณะหรือพราหมณ์
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ด้วยอำนาจยึดถือขันธ์ที่บริบูรณ์
พิจารณาเห็นบรรดาขันธ์เหล่านั้นด้วยอำนาจยึดถือขันธ์ที่ไม่บริบูรณ์ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง.
บทว่า อิติ อยญฺเจว สมนุปสฺสนา ความว่า ก็อนุปัสสนานี้ ชื่อว่าทิฏฐิสมนุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อสฺมีติ จสฺส อธิคตํ โหติ ความว่า ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่าง คือ
ตัณหา
มานะ
และทิฏฐิว่า เราได้เป็นแล้วในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่างนั้น ซึ่งมีตัวสมนุปัสสนาอยู่ เป็นอันเราบรรลุแล้ว.
บทว่า ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ อวกฺกนฺติ โหติ ความว่า เมื่อกิเลสชาตนั้นมีอยู่ อินทรีย์ ๕ ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งกรรมกิเลส ย่อมบังเกิด.
คำว่า อตฺถิ ภิกฺขเว มโน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาใจซึ่งมีธรรมเป็นอารมณ์.
บทว่า ธมฺมา ได้แก่ อารมณ์.
บทว่า อวิชฺชาธาตุ ได้แก่ อวิชชาในขณะแห่งชวนจิต.
บทว่า อวิชฺชาสมฺผสฺสเชน ได้แก่ เกิดจากผัสสะอันสัมปยุตด้วยอวิชชา.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มโน ได้แก่ ใจที่มีวิบากเป็นอารมณ์ในขณะแห่งภวังคจิต
มโนธาตุฝ่ายกิริยาในขณะแห่งอาวัชชนจิตและธรรมเป็นต้น ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า อสฺมีติปิสฺส โหติ ความว่า เขาได้ยึดมั่นอย่างนี้ว่า เราได้เป็นแล้วด้วยอำนาจตัณหามานะทิฏฐิ. นอกจากนี้ คำว่า อยมหมสฺมิ ท่านยึดถือธรรมในอารมณ์มีรูปเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวด้วยอำนาจอัตตทิฏฐิ ถือว่าเป็นตน ว่าเราเป็นนี้.
คำว่า ภวิสฺสํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจสัสสตทิฏฐิ ถือว่าทุกสิ่งเที่ยง.
คำว่า น ภวิสฺสํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจอุจเฉททิฏฐิ ถือว่าทุกสิ่งขาดสูญ.
คำทั้งหมดมี รูปี ภวิสฺสํ เป็นต้น หมายเอาสัสสตทิฏฐิเท่านั้น.
บทว่า อเถตฺถ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น คือเมื่ออินทรีย์เหล่านั้นดำรงอยู่โดยประการนั้นนั่นแล.
บทว่า อวิชฺชา ปยติ ความว่า เราละอวิชชาอันเป็นตัวไม่รู้ในสัจจะ ๔.
บทว่า วิชฺชา อุปฺปชฺชติ ความว่า วิชชาในอรหัตตมรรคย่อมเกิดขึ้น.
ในที่นี้พึงทราบวินิจฉัยอย่างนี้.
บทว่า อสฺมิ ได้แก่ ตัณหามานะและทิฏฐิ. อธิบายว่า ระหว่างกรรมกับอินทรีย์ ๕ เป็นสนธิหนึ่ง ระหว่างอินทรีย์ ๕ นับใจที่มีวิบากเป็นอารมณ์ซึ่งเป็นฝ่ายอินทรีย์ ๕ กับใจที่มีกรรมเป็นอารมณ์เป็นสนธิหนึ่ง.
ธรรมเครื่องเนิ่นช้า ๓ อย่างจัดเป็นอดีตอัทธา อินทรีย์เป็นต้นจัดเป็นปัจจุบันอัทธา ในอัทธา ๒ อย่างนั้น ท่านแสดงปัจจัยแห่งอนาคตอัทธา เริ่มต้นแต่ใจที่มีกรรมเป็นอารมณ์ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสมนุปัสสนาสูตรที่ ๕
========
.