เมื่อพ่อที่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่พ่อ อยากให้ไปดูแลในวันที่ป่วยหนัก ควรทำอย่างไรดี?

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า จขกท เป็นเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ 5 ขวบ จขกท อยู่ในความดูแลของแม่ทุกอย่างตั้งแต่เล็กๆ เมื่อก่อนครอบครัวยากจนมากคุณตา คุณยาย และแม่ เป็นคนเลี้ยงและพยายามพยุงครอบครัวให้พอมีอยู่มีกินจนทุกวันนี้ หลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน พ่อไม่ค่อยได้เจอกับ จขกท เนื่องจากคุณยายไม่ค่อยชอบพ่อ จึงไม่ค่อยอนุญาตให้มาเจอ แต่พ่อก็จะพยายามแอบมาเจอที่โรงเรียนในตอนที่เรายังเด็กๆ พยายามซื้อขนมมาให้ซื้อเสื้อผ้าให้ จนกระทั่งพ่อแต่งงานใหม่จากนั้นพ่อก็ไม่ได้มาหา จขกท อีกเลย จน จขกท เรียนมัธยม พ่อฝากตังมาให้บ้างปีละครั้งสองครั้ง ครั้งละ 1000 บาท เราก็มีขอบ้างแต่พ่อมักจะพูดบ่อยๆว่าไม่มี จขกท ก็ไม่ได้อะไรให้ก็ได้ ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร จน จขกท ขึ้นมหาลัย ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง เราอยากแบ่งเบาแม่บ้าง จึงพยายามลองคุยกับพ่อขอให้พ่อจ่ายค่าเทอมให้ เพราะเราเรียนมหาลัยรัฐค่าเทอมไม่แพงมาก ในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆแม่จะเป็นคนรับผิดชอบ แต่พ่อก็ปฏิเสธมาโดยตลอด และมักจะบอกเราว่าพ่อไม่มีตัง แต่ก็จะมีให้บ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่สงกรานต์ครั้งละ 2000 จนถึงวันที่เราเรียนจบพ่อจะพยายามโทรหาบ่อยมาก และมักถามว่าได้งานทำหรือยัง และมักจะพูดว่าถ้าทำงานแล้วให้พ่อใช้เงินเดือนด้วยหน่อยนะ แต่หลังจากที่ จขกท เรียนจบไม่นาน คุณตา จขกท ป่วย เราจึงอยู่ดูแลคุณตาและไม่ได้ไปทำงานเพราะเราอยู่กับแม่แค่สองคน คุณยายเสียไปแล้ว แต่เราก็ขายของกับคุณแม่และดูแลตาไปด้วยเราจึงไม่มีเงินเดือน ณ ตอนนี้ส่วนใหญ่เงินที่ใช้อยู่ก็ยังมาจากแม่เราจึงไม่ได้ส่งให้พ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อโทรมาบอกเราว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อยากขอตังไปหาหมอ แต่เรายังมีตังอยู่ไม่เยอะ ใช้บ้างเก็บบ้าง เราเลยให้ไปนิดหน่อย เดือนต่อมาพ่อขออีก เราก็ให้ไป (ครั้งละ 1500-2500) และพ่อก็โทรมาขออยู่บ่อยๆ  ซึ่งเราเคยตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าพ่อไม่ขอก็จะให้บ้างตามกำลังที่พอมี แต่สี่ห้าเดือนมานี้เราไม่ได้ส่งตังให้พ่อเพราะคุณตาป่วยหนักเราจำเป็นต้องใช้ตัง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าพ่อเรารักษาตัวอยู่ กทม ส่วนเราอยู่ต่างจังหวัด ในช่วงที่ตาเราอาการหนัก พ่อเรากลับมาบ้านต่างจังหวัดจึงอยากให้เราไปหา แต่ตอนนั้นคือคุณตา จขกท จะไม่ไหวแล้วจึงยังไม่ได้ไปหาพ่อ แต่พ่อก็โทรมาบอกให้ไปหาทุกวัน จนที่สุดคุณตา จขกท ก็จากไป แต่ญาติของพ่อก็พยายามมาบอก จขกท ไปหาพ่อ ทั้งที่วันนั้นเป็นงานศพของตา (ตาพึ่งเสียได้สองเดือนนะคะ) หลังจากเสร็จงานคุณตา จขกท จึงไปเยี่ยมคุณพ่อค่ะ จากนั้น 1 วัน พ่อก็กลับ กทม ไปรักษาตัวต่อแต่อาการไม่ดีขึ้น (ขณะที่พ่อป่วยพ่อยังช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่ต้องระวังเป็นพิเศษคือระวังอย่าให้ล้มเพราะอาการจะทรุด)  ทำให้พ่ออยากกลับมาอยู่บ้านกับย่าที่ ตจว ซึ่งหมู่บ้านที่พ่ออยู่ห่างกับบ้านเรา 8 กม. พ่อได้โทรมาและบอกกับเราว่าให้เราไปดูแลหน่อยถ้าพ่อกลับบ้าน เพราะภรรยาใหม่ของพ่อไม่สามารถกลับมาดูแลพ่อได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในความเป็นจริงเราไม่เคยคิดว่าจะไม่ดูแลพ่อนะ แต่เราไม่สามารถไปเฝ้าได้ทุกวันและทุกเวลา เพราะ เราอยู่กับแม่สองคน เราทิ้งให้แม่อยู่คนเดียวไม่ได้และเดือนมกรานี้ เราจะเริ่มทำงานแล้ว เราไม่สามารถไปอยู่บ้านพ่อได้ แต่ไปเป็นครั้งคราวได้  
#ถ้าหากเราจะปฏิเสธการไปดูแลพ่อแบบที่ท่านต้องการจะดูเป็นลูกที่แย่มากไหม แต่เราจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนบ่อยๆ เพราะเราไม่เคยคิดเลยว่าจะไม่ไปหา ด้วยอีกอย่างเราจะทำอะไรเราต้องนึกถึงใจแม่เราให้มากๆ เพราะแม่ลำบากมากๆกว่าจะเลี้ยงเรามาได้ขนาดนี้ แม่ต้องตื่นแต่เช้าไปขายของ กลับมาก็แทบไม่มีเวลานอนเพราะต้องเตรียมของขายวันต่อไป และแม่เลี้ยงเราดีจนเราไม่เคยคิดเลยว่าเราขาดพ่อ เพราะไม่ว่าเราจะเอ่ยปากขออะไรแม่มีให้เราหมด แม่ลำบากขายของส่งเราเรียนจนจบโดยที่ไม่ให้เรากู้ยืมเลยสักบาทเพราะกลัวเรียนจบแล้วต้องลำบากใช้หนี้ แต่ในทางกลับกันพ่อมักจะปฏิเสธเราก่อนเสมอไม่ว่าตอนนั้นเราจะเดือดร้อนหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้เราแค่คิดว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งพยายามสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกคนหนึ่งสบายและมีทุกอย่างที่ควรจะมี แต่ผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่สู้อะไรเลยทำเพียงปัดป่ายไปเป็นครั้งคราว เราไม่เคยลืมบุญคุณที่พ่อทำให้เราได้เกิดมา และไม่เคยลืมภาพวันที่พ่อพยามยามแอบไปเจอเราตอนเป็นเด็กๆ แต่พ่อก็ไม่ได้พยายามเลี้ยงดูเราให้มีคุณภาพชีวิตดีๆแบบที่แม่ทำ พอมาวันนี้วันที่พ่อคิดว่าใกล้จะถึงบั้นปลายชีวิต พ่อกลับต้องการเรามากๆ จริงๆตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าควรแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงถ้าพ่อกลับมาอยู่กับย่าจริงๆ เพราะคุณย่าเราแก่มากแล้ว ในบ้านก็จะมีเพียงคุณอาและภรรยาของคุณอาที่อยู่กับย่า แต่อาเราก็ต้องทำงานเหมือนกัน เราจึงกังวลมากๆว่าถ้าพ่อกลับมาแล้วจะไม่มีใครดูแล เพราะเราเข้าใจดีว่าการดูแลผู้ป่วยคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
"แม่ลำบากขายของส่งเราเรียนจนจบโดยที่ไม่ให้เรากู้ยืมเลยสักบาท    เพราะกลัวเรียนจบแล้วต้องลำบากใช้หนี้ แต่ในทางกลับกัน   พ่อมักจะปฏิเสธเราก่อนเสมอ   ไม่ว่าตอนนั้นเราจะเดือดร้อนหรืออะไรก็ตาม   ตอนนี้เราแค่คิดว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งพยายามสู้ทุกอย่าง  เพื่อให้ลูกคนหนึ่งสบายและมีทุกอย่างที่ควรจะมี   แต่ผู้ชายอีกคนหนึ่งไม่สู้อะไรเลย   ทำเพียงปัดป่ายไปเป็นครั้งคราว  เราไม่เคยลืมบุญคุณที่พ่อทำให้เราได้เกิดมา"   
    
            คิดถึง "คุณแม่"  ให้มากๆ     คำตอบ อยู่ ตรงนี้ ค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
นี่จะเป็นกระทู้แรกในชีวิตที่เข้ามาตอบโดยเฉพาะเลยค่ะ จขกท.มีชีวิตวัยเด็กที่คล้ายกันมาก แต่จขกท.มีบุญมากกว่านะ เพราะพ่อยังมาดูแลบ้าง แต่บ้านนี้ไม่เคยแม้แต่จะโทรสอบสารทุกข์สุขดิบ งั้นขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ดังนี้นะคะ โดยข้อแรกคือ อย่าไปขีดเส้นให้ตัวเอง ว่าต้องดูแลหรือไม่ดูแล ถ้าไม่ ... ถือว่า"อกตัญญู" ถ้าไม่ทำ เท่ากับ "บาปกรรม" หรืออะไรทั้งสิ้น จะทำอะไรเอาความสุขของตัวเองและแม่เป็นที่ตั้งค่ะ จัดลำดับความสำคัญและคนที่รักเรา และเราก็รักเขาก่อน มีชีวิตสายกลางๆ คือมีเวลาก็ไปดูแลพ่อ มีเงินก็ส่งไปให้ใช้ ไม่มีเวลาก็ไม่ต้องไปจนเดือดเนื้อร้อนใจ เงินไม่พอใช้ก็ไม่ต้องส่ง เอาเท่าที่เราโอเคและไหวที่จะทำ ยืนจุดที่สบายใจที่สุดพอ และไม่ต้องไปกังวลว่าใครจะพูด จะว่าอะไร มันคือชีวิตของเรา ใช้ชีวิตกลางๆ คือดีที่สุด ถ้าเป็นคนดี แล้วต้องดูแลพ่อจนตัวเองไม่มีเวลา เดือดร้อนเงิน จนเราต้องเป็นทุกข์ ... ก็คงไม่ใช่ จะทอดทิ้งพ่อไม่ดูแลเลย ก็คงไม่อยากไปทางนี้แน่นอนใช่ไหมคะ เพราะถ้าไปทางนี้ คงไม่ตั้งกระทู้?

ที่ผ่านมาก็ลุ่มๆดอนๆ เหมือนกัน แต่ก็ภูมิใจที่สุดแล้วค่ะ ช่วงแรกที่พ่อดูแลตัวเองได้ ก็ส่งเงิน ไปหาบ้าง ตามที่เราทำไหว ช่วงที่สองพ่อป่วย ไม่มีแรง ก็เช่าห้อง (ที่ไม่เดือดร้อนเรา) ใกล้ๆบ้านของเราให้พ่ออยู่ และซื้อข้าวปลาอาหาร ดูแลพ่อก่อนไปทำงานและทำงานเสร็จก็ไปดูแล หาข้าว น้ำ ทำความสะอาดบ้าน ทำไป มีทุกข์บ้าง แต่สิ่งหนึ่งคือจะไม่เอาทุกข์เข้าบ้าน ดูแลพ่อเสร็จก็กลับบ้านของเรา แค่เพิ่มไปอีกหนึ่งหน้าที่ ปกติใช้เวลาประมาณ  1-2 ชม.เท่านั้นเอง ตลอดเวลาที่ดูแลพ่อมีคนมาพูด มาชี้นำ มาแนะนำ มานินทา เสนอหน้ามาทุกประเภท ก็ปล่อยบ้าง ด่ากลับไปบ้าง แต่เราก็ทำหน้าที่ลูกของเราไป ปัจจุบันพ่อเพิ่งเสียไปได้ 5 เดือน ตอนนี้มีความสุขมากกับชีวิตปัจจุบัน และไม่เสียใจที่เราได้ดูแลพ่อจนสิ้นใจ และอนาคตต้องไม่ต้องมาติดใจว่าทำไม ตอนนั้นไม่ดูแลพ่อบ้าง อย่างน้อยก็ทำหน้าที่ลูก แม้พ่ออาจจะไม่ได้ทำหน้าที่พ่อก็ตาม มันเป็นส่วนของเขา สุดท้ายเอากำลังใจมาเติมนะคะ ตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยสติและปัญญา ชีวิตจะผ่านไปได้อย่างมีความสุขแน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 17
ไม่ต้องไปดูหรอกค่ะ เรามีลูกมีสามีแล้วจะบอกว่าพ่อประเภทนี้ก็แค่คนที่มีเซกซ์ไม่ป้องกัน แล้วไม่รับผิดชอบอะไรเลย

กลับกันถ้าเป็นลูก(ตัวน้องเอง) หรือคุณแม่ป่วยหนัก เค้าจะกลับมาดูมั้ยล่ะ

ถ้าสามีเราเลิกกันไปแอบมาหาลูกแค่นิดๆหน่อยๆแบบนี้เราจะบอกว่ากระจอก มาหาลูกปลอบประโลมจิตใจตัวเองเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยสงสัยเลยว่าภรรยากับลูก ผู้หญิง2คนๆ นึงตัวเล็ก คนนึงตัวโตวันๆจะกินอะไร

พี่พูดไปน้องอาจจะมองไม่เห็น วันนึงมีลูกน้องจะเข้าใจว่าเลี้ยงเด็กคนเดียวนี่เหนี่อยแทบขาดใจขนาดไหน ขนาดบางคน(พี่เอง)มีพร้อมแต่เลี้ยงคนเดียวส่วนใหญ่แทบจะเป็นโรคซึมเศร้า+ความเครียดสะสม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 1
ส่วนตัวเราคิดว่า พ่อค่อนข้างเห็นแก่ตัวนะคะ ในเมื่อมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว
เราดูแลแม่เราดีกว่าค่ะ
ความคิดเห็นที่ 28
น่าเกลียดมาก แทบไม่ส่งเสียอะไร แค่ยื่นๆเศษเงินให้ พอให้ไม่รู้สึกผิด ซึ่งมันน้อยมากๆ
ยังกะเป็นผู้ชายแค่ผลิตน้ำเชื้อได้ ทำลูกได้นี่สบายไปทั้งชาติ
พอคุณจบปุ๊บถามทันทีว่าทำงานรึยัง ส่งเงินให้ด้วย ตอนพูดไม่กระดากอะไรบ้างเหรอ ไม่สนใจเลยเหรอว่าที่ผ่านมาแม่ลูกกินอยู่ยังไง
สมมติกลับกัน คุณป่วยหนักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราว่าเค้าหายหัวแน่  

เอาคนตรงหน้าไว้ก่อน แม่ของคุณน่ะค่ะ ดูแลเค้าให้มากๆ นึกถึงอนาคตตัวเองให้มากๆ
ส่วนพ่อ ที่ผ่านมาเค้าขอแล้วคุณมห้นี่ก็พอสมควรแล้วล่ะค่ะสำหรับคนยังไม่มีงาน

เค้าอยากมาอยู่ชองเค้าเอง เมียก็มีพอดูแลได้ถ้ายังอยู่ กทม อยากรนหาที่มาลำบากแล้วอยากฉุดคนอื่นลำบากด้วยก็ต้องปล่อยเค้าค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ทำเท่าที่ไหว แต่จริงๆพ่อคุณก็ยังรักคุณนะ ไม่ได้ทิ้งขว้างมากนัก  ยังแอบมาหา ยังพอให้เงิน ซึ่งเค้าอาจจะไม่มีจริงๆ ในส่วนที่ขอ  แต่ถ้าไปเทียบกับแม่ ก็คือ ไม่ได้ขี้เล็บ    
ไม่รู้สิ   ไปบ้าง ถือว่าเอาบุญ  สงเคราะห์คนป่วยใกล้ตาย   ถ้าเค้ามีกำลังใจดี จะอยู่ได้นานขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่