เอายังงี้เลยครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
พูดกันง่ายๆ ตามประสาพี่ไทยก็แล้วกัน อย่าไปคิดลึกเชิงวิชาการให้มันมากมายนัก เพราะเดี๋ยวจะไม่คุ้นลิ้น
คำว่า "อัตตา" มันคือ "ดวงวิญญาณ" ของความเชื่อพราหมณ์
ที่แยกตัวมาจากดวงวิญญาณใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า "ปรมาตมัน"
แยกตัวออกมาด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฏ แต่หน้าที่ของพราหมณ์คือ
ต้องชำระล้างบาปออกให้หมดเพื่อกลับไปรวมกันกับปรมาตมันดังเดิม
ลักษณะเฉพาะตัวของอัตตาแบบพราหมณ์นี้จึงต้องเที่ยงและเป็นอมตะ
เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมนั่นแหละ
เมื่อหมดเวรหมดกรรมแล้ว ก็จะลอยละล่องไปรวมกันกับดวงวิญญาณใหญ่
ก็แบบนี้ นี่งัยล่ะ !!!!!
แหม่.....ทับกันได้สนิทกับลัทธิผีของไทยเลย ว่าไม๊ ?
คราวนี้ พระพุทธเจ้าหลังจากท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็สอนว่า
เจ้าดวงๆ แบบนั้นน่ะ มันไม่มีหรอก ทึกทักเชื่อกันไปเองเพราะความอยากมีตัวตน
เป็นตัณหา เป็นความติดข้องด้วยความไม่รู้ เป็นอวิชชา ไม่เข้าใจในสภาวะธรรมตามธรรมชาติ
ท่านบัญญัติศัพท์ว่า มันเป็นแค่ "อัตตานุทิฏฐิ" ทึกทักเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ
อัตตาจริงๆ หามีไม่ ไอ้เจ้าดวงๆ แบบนั้นที่เป็นอมตะน่ะ มันไม่มี
ถ้ามีจริงๆ แล้วมันอยู่ตรงไหน ?
เพราะแม้แต่จิตก็เกิดดับ เดี๋ยวไปเรื่องโน้นที เดี๋ยวไปเรื่องนี้ที
บางทีจำสิ่งที่เคยทำไปแล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วตรงไหนล่ะ ที่เที่ยง และเป็นอมตะน่ะ ?
ความเป็นคนที่ประกอบด้วยรูปธรรมและนามธรรมนี้ มันล้วนไม่ใช่อัตตา
ท่านก็เลยบัญญัติศัพท์ขึ้นมาว่า "อนัตตตา" แปลว่า ความที่มันไม่ใช่อัตตา นั่นเอง
ที่ต้องบัญญัติขึ้นมาใหม่เพราะไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่เพราะมันมี แต่มีในอีกแบบหนึ่ง
ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ไม่ใช่ไม่มีอัตตาแล้วก็จะกลายไปเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกนึกคิด
เพราะท่านตรัสว่า ที่มันมีรูปธรรมและนามธรรมกันอยู่นี้ เพราะมันมีเหตุ มีปัจจัยให้มันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
มีแบบขันธ์ 5 ที่ทำงานประสานกันอยู่ ลึกเข้าไปถึงจิตถงนามธรรมที่ตามองไม่เห็น
ท่านบัญญัติศัพท์ว่า "ปฏิจจสมุปปันนธรรม"
ซึ่งก็หมายความถึงอนัตตตา นั่นเองครับ
เพราะชีวิตนั้น ไม่ได้มีอัตตามาคอยบังคับบัญชาใดๆ ทั้งสิ้นเลย
มีแต่เหตุปัจจัย มีแต่ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นทำผสานปนเปกันไปให้ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ
เช่น คนคดโกงจนร่ำรวยมหาศาลก็เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นมากระทำการร่วมกันกับรูปกับนามนี้
ไม่มีอัตตามาคอยสั่งการ แต่เป็นการปรุงแต่งสภาวะของกายใจนั่นบ้าง นี่บ้างให้ดำเนินไปเรื่อยๆ ด้วยตัวมันเอง
และผลจากการกระทำก็สะท้อนกลับไปกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนุนเนื่องกันไป
จนจับต้นชนปลายได้ไม่จบสิ้น
ไม่ใช่ไม่มีอัตตาแล้วจะกลายไปเป็นหุ่นยนต์
ยังมีสภาวะธรรมมากมายที่เข้ามาร่วมปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้ชีวิตดำเนินไป ดีบ้าง เลวบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง โดยมีรูปธรรมนามธรรมประสานเสียงกันอยู่ด้วยตัวมันเองนั่นแหละ
สรุปคือไม่ใช่ดวงวิญญาณแบบอัตตา แล้วก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยครับ
แต่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นจริงๆ ที่ล้วนมีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิดขึ้น
พระนิพพาน ก็ไม่ใช่ปรมาตมัน หรือ "อัตตาใหญ่" แต่สภาพธรรมก็เป็นของมันเองอยู่อย่างนั้นและเป็นอนัตตตา
เป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติแม้จะไม่ปรากฏการเกิด ตั้งอยู่อย่างไม่แปรปรวน พระนิพพานก็ไม่มีอัตตาใหญ่แฝงกายอยู่
ณ ที่ใดๆ คนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการสร้างเหตุ สร้างปัจจัยโดยไม่จำเป็นต้องบวงสรวงอ้อนวอนให้พระนิพพานเห็น
ใจเปิดประตูต้อนรับเขา
และอนัตตตา
มันก็ไม่เกี่ยวกับอนิจจตา และ ทุกขตา ครับ มันคนละเรื่อง !!!
หลายท่านจับมาโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชาวพุทธได้เลย
ว่า "อนัตตตา นั้น ต้องไม่เที่ยง และเป็นทุกขัง"
ลักษณะน่ะ มันไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ได้หรือครับ ขอถามหน่อยเถอะ?
มันไม่ใช่ทั้งรูปธรรมและนามธรรม มันเป็นแค่ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม
แล้วมันจะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ได้อย่างไร นึกกันออกไหมครับ ?
ยกตัวอย่างว่า "ทีวีเครื่องนี้นะ เดี๋ยวก็พัง และมันเสื่อมลงเรื่อยๆ แล้วมันก็ไม่มีลักษณะของดวงวิญญาณแบบอัตตาเลย"
แต่บางคนดันทึกทักเอาเป็นตุเป็นตะว่า
"ความไม่มีลักษณะดวงวิญญาณแบบอัตตานี้นะมันไม่เที่ยงและเป็นทุกข์"
เออ...แทนที่จะเอาลักษณะไปบรรยายรูปธรรมนามธรรม
ดันจับลักษณะมาใส่ลักษณะมันซ้อนเข้าไปหน้าตาเฉยเลย !!!
เอาล่ะ คุณหัวหอมคู่เลอะเทอะมาหลายกระทู้แล้วว่า.....
อย่าบอกว่า " อัตตาไม่มี "...นี่คือ...อัตตา 3 แบบที่ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์...เป็นอนัตตา
ผมจะสรุปว่า...
1....." อนัตตา..ก็คือ...อัตตา..ที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป " <---นี่คือ..อนัตตา..ที่ถูกต้อง
2..... อนัตตา....มาจาก..อัตตา(ที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป)...ดังนั้น..อย่าไปบอกว่า.." อัตตาไม่มี "
เพราะมันจะกลายเป็น.." อุจเฉททิฏฐิ "..ไปนะ ครับ
3.... จากเหตุผลข้อที่ 1 และ 2 ...นิพพานจึงไม่เกี่ยวกับ...อนัตตา...แต่อย่างใด
เพราะว่า...นิพพานไม่มีเกิดปรากฏ........เมื่อเกิดไม่ปรากฏ...อัตตา...จึงไม่เกิดขึ้น
และ...นิพพานไม่เสื่อมเกิดปรากฏ...เมื่อไม่เสื่อม...........อนัตตา..จะมีได้อย่างไร?
และ...นิพพานเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีอย่างอื่นปรากฏ..."ตั้งอยู่"..ก็แสดงว่ามี....แล้ว.."ไม่อย่างอื่นปรากฏ"...ก็เป็นอมตะ..ครับ
คุณเผยแพร่เนื้อหาแบบนี้ คุณกล้าดี แต่ดีไม่ได้จริงๆ นะจ๊ะ
อัตตาของคุณหัวหอม คือ ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ โอย....เป็นตุ เป็นตะ
พูดกันง่ายๆ ตามประสาพี่ไทยก็แล้วกัน อย่าไปคิดลึกเชิงวิชาการให้มันมากมายนัก เพราะเดี๋ยวจะไม่คุ้นลิ้น
คำว่า "อัตตา" มันคือ "ดวงวิญญาณ" ของความเชื่อพราหมณ์
ที่แยกตัวมาจากดวงวิญญาณใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า "ปรมาตมัน"
แยกตัวออกมาด้วยสาเหตุใดไม่ปรากฏ แต่หน้าที่ของพราหมณ์คือ
ต้องชำระล้างบาปออกให้หมดเพื่อกลับไปรวมกันกับปรมาตมันดังเดิม
ลักษณะเฉพาะตัวของอัตตาแบบพราหมณ์นี้จึงต้องเที่ยงและเป็นอมตะ
เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมนั่นแหละ
เมื่อหมดเวรหมดกรรมแล้ว ก็จะลอยละล่องไปรวมกันกับดวงวิญญาณใหญ่
ก็แบบนี้ นี่งัยล่ะ !!!!!
แหม่.....ทับกันได้สนิทกับลัทธิผีของไทยเลย ว่าไม๊ ?
คราวนี้ พระพุทธเจ้าหลังจากท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็สอนว่า
เจ้าดวงๆ แบบนั้นน่ะ มันไม่มีหรอก ทึกทักเชื่อกันไปเองเพราะความอยากมีตัวตน
เป็นตัณหา เป็นความติดข้องด้วยความไม่รู้ เป็นอวิชชา ไม่เข้าใจในสภาวะธรรมตามธรรมชาติ
ท่านบัญญัติศัพท์ว่า มันเป็นแค่ "อัตตานุทิฏฐิ" ทึกทักเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ
อัตตาจริงๆ หามีไม่ ไอ้เจ้าดวงๆ แบบนั้นที่เป็นอมตะน่ะ มันไม่มี
ถ้ามีจริงๆ แล้วมันอยู่ตรงไหน ?
เพราะแม้แต่จิตก็เกิดดับ เดี๋ยวไปเรื่องโน้นที เดี๋ยวไปเรื่องนี้ที
บางทีจำสิ่งที่เคยทำไปแล้วไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วตรงไหนล่ะ ที่เที่ยง และเป็นอมตะน่ะ ?
ความเป็นคนที่ประกอบด้วยรูปธรรมและนามธรรมนี้ มันล้วนไม่ใช่อัตตา
ท่านก็เลยบัญญัติศัพท์ขึ้นมาว่า "อนัตตตา" แปลว่า ความที่มันไม่ใช่อัตตา นั่นเอง
ที่ต้องบัญญัติขึ้นมาใหม่เพราะไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่เพราะมันมี แต่มีในอีกแบบหนึ่ง
ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ไม่ใช่ไม่มีอัตตาแล้วก็จะกลายไปเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกนึกคิด
เพราะท่านตรัสว่า ที่มันมีรูปธรรมและนามธรรมกันอยู่นี้ เพราะมันมีเหตุ มีปัจจัยให้มันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
มีแบบขันธ์ 5 ที่ทำงานประสานกันอยู่ ลึกเข้าไปถึงจิตถงนามธรรมที่ตามองไม่เห็น
ท่านบัญญัติศัพท์ว่า "ปฏิจจสมุปปันนธรรม"
ซึ่งก็หมายความถึงอนัตตตา นั่นเองครับ
เพราะชีวิตนั้น ไม่ได้มีอัตตามาคอยบังคับบัญชาใดๆ ทั้งสิ้นเลย
มีแต่เหตุปัจจัย มีแต่ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นทำผสานปนเปกันไปให้ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ
เช่น คนคดโกงจนร่ำรวยมหาศาลก็เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นมากระทำการร่วมกันกับรูปกับนามนี้
ไม่มีอัตตามาคอยสั่งการ แต่เป็นการปรุงแต่งสภาวะของกายใจนั่นบ้าง นี่บ้างให้ดำเนินไปเรื่อยๆ ด้วยตัวมันเอง
และผลจากการกระทำก็สะท้อนกลับไปกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนุนเนื่องกันไป
จนจับต้นชนปลายได้ไม่จบสิ้น
ไม่ใช่ไม่มีอัตตาแล้วจะกลายไปเป็นหุ่นยนต์
ยังมีสภาวะธรรมมากมายที่เข้ามาร่วมปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้ชีวิตดำเนินไป ดีบ้าง เลวบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง โดยมีรูปธรรมนามธรรมประสานเสียงกันอยู่ด้วยตัวมันเองนั่นแหละ
สรุปคือไม่ใช่ดวงวิญญาณแบบอัตตา แล้วก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยครับ
แต่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นจริงๆ ที่ล้วนมีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิดขึ้น
พระนิพพาน ก็ไม่ใช่ปรมาตมัน หรือ "อัตตาใหญ่" แต่สภาพธรรมก็เป็นของมันเองอยู่อย่างนั้นและเป็นอนัตตตา
เป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติแม้จะไม่ปรากฏการเกิด ตั้งอยู่อย่างไม่แปรปรวน พระนิพพานก็ไม่มีอัตตาใหญ่แฝงกายอยู่
ณ ที่ใดๆ คนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการสร้างเหตุ สร้างปัจจัยโดยไม่จำเป็นต้องบวงสรวงอ้อนวอนให้พระนิพพานเห็น
ใจเปิดประตูต้อนรับเขา
และอนัตตตา
มันก็ไม่เกี่ยวกับอนิจจตา และ ทุกขตา ครับ มันคนละเรื่อง !!!
หลายท่านจับมาโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชาวพุทธได้เลย
ว่า "อนัตตตา นั้น ต้องไม่เที่ยง และเป็นทุกขัง"
ลักษณะน่ะ มันไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ได้หรือครับ ขอถามหน่อยเถอะ?
มันไม่ใช่ทั้งรูปธรรมและนามธรรม มันเป็นแค่ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม
แล้วมันจะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ได้อย่างไร นึกกันออกไหมครับ ?
ยกตัวอย่างว่า "ทีวีเครื่องนี้นะ เดี๋ยวก็พัง และมันเสื่อมลงเรื่อยๆ แล้วมันก็ไม่มีลักษณะของดวงวิญญาณแบบอัตตาเลย"
แต่บางคนดันทึกทักเอาเป็นตุเป็นตะว่า
"ความไม่มีลักษณะดวงวิญญาณแบบอัตตานี้นะมันไม่เที่ยงและเป็นทุกข์"
เออ...แทนที่จะเอาลักษณะไปบรรยายรูปธรรมนามธรรม
ดันจับลักษณะมาใส่ลักษณะมันซ้อนเข้าไปหน้าตาเฉยเลย !!!
เอาล่ะ คุณหัวหอมคู่เลอะเทอะมาหลายกระทู้แล้วว่า.....
อย่าบอกว่า " อัตตาไม่มี "...นี่คือ...อัตตา 3 แบบที่ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์...เป็นอนัตตา
ผมจะสรุปว่า...
1....." อนัตตา..ก็คือ...อัตตา..ที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป " <---นี่คือ..อนัตตา..ที่ถูกต้อง
2..... อนัตตา....มาจาก..อัตตา(ที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป)...ดังนั้น..อย่าไปบอกว่า.." อัตตาไม่มี "
เพราะมันจะกลายเป็น.." อุจเฉททิฏฐิ "..ไปนะ ครับ
3.... จากเหตุผลข้อที่ 1 และ 2 ...นิพพานจึงไม่เกี่ยวกับ...อนัตตา...แต่อย่างใด
เพราะว่า...นิพพานไม่มีเกิดปรากฏ........เมื่อเกิดไม่ปรากฏ...อัตตา...จึงไม่เกิดขึ้น
และ...นิพพานไม่เสื่อมเกิดปรากฏ...เมื่อไม่เสื่อม...........อนัตตา..จะมีได้อย่างไร?
และ...นิพพานเมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีอย่างอื่นปรากฏ..."ตั้งอยู่"..ก็แสดงว่ามี....แล้ว.."ไม่อย่างอื่นปรากฏ"...ก็เป็นอมตะ..ครับ
คุณเผยแพร่เนื้อหาแบบนี้ คุณกล้าดี แต่ดีไม่ได้จริงๆ นะจ๊ะ