'วิโรจน์' จวก ทบ.ฝืนมติ ครม. ส่งทหารฝึกร่วมฮาวายจนติดโควิด ซัดใช้งบสุรุ่ยสุร่าย ทั้งที่ ปชช.ลำบาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2290177
‘วิโรจน์’ อัด กองทัพบกทำตัววีไอพี ซ้ำซาก ฝืนมติ ครม.ส่งทหารฝึกร่วมฮาวายจนติดโควิด-ใช้งบสุรุ่ยสุร่ายทั้งที่ ปชช.ลำบาก จี้ แจงงบฯที่ใช้ส่งทหารไปฝึก
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีกองทัพบกได้ส่งกองร้อยทหารราบ RTA Combat Team กำลังผสมจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 ออกเดินทางไปยังเมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้รับการยืนยันในวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ว่าติดเชื้อโควิด-19 กลับมาจำนวน 9 ราย ภายหลังเข้ากักตัวและตรวจหาโรค ว่า
ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 63 ไว้อย่างชัดเจนว่ให้ปรับแผนการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ที่ตั้งไว้สำหรับศึกษา ดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ โดยให้นำเอางบประมาณมาใช้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และให้ระงับการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยง พร้อมกับมีมติ ครม.ออกมาในวันที่ 7 เมษายน 2563 ให้ปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ รวมถึงการศึกษาดูงานในต่างประเทศที่อยู่ในหลักสูตรการฝึกอบรม แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ากองทัพบกก็ไม่ได้นำพาและไม่ได้ปฏิบัติตามมติ ครม. แต่อย่างใด และยังคงดึงดันที่จะส่งกองร้อยทหารราบ RTA Combat Team ไปร่วมฝึก ทั้งๆ ที่ ณ ขณะนั้น จวบจนกระทั่งปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
นาย
วิโรจน์กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวนี้ นอกจากผู้บัญชาการทหารบกจะรับรู้ด้วยแล้ว ยังมีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาร่วมเห็นชอบด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องก็แดงขึ้นมาเนื่องจากประชาชนที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทราบว่า กองร้อยทหารราบ RTA Combat Team จำนวน 151 นาย จะเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทยในวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 และจะใช้อาคารรับรองสวนสนประดิพัทธ์ เป็นสถานที่กักตัว ประชาชนจึงได้มีการคัดค้าน เพราะเกรงว่าการท่องเที่ยวที่หัวหินที่กำลังจะเพิ่งฟื้นตัวจะได้รับผลกระทบเหมือนกับที่ จ.ระยอง ซึ่งพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เมื่อเกิดความบกพร่องขึ้น รัฐบาลไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ไม่มีการชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการผู้ที่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่บาทเดียว
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชนทันทีและยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากกองทัพบก มีอยู่หลายคำถามด้วยกัน คือ
1. ที่ผ่านมากองทัพบกเคยทำตัวเป็นกลุ่มวีไอพี ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามมติ ครม.มาทีหนึ่งแล้ว โดยจากกรณี พล.ต.
ราชิต อรุณวงษ์ เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ในฐานะนายสนามมวยลุมพินี ฝืนมตินี้และดึงดันจัดเวทีชกมวยศึกลุมพินีแชมเปี้ยนเกริกไกร ในวันที่ 6 มีนาคม 2563 จนก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ โดยนอกจากการสั่งย้ายแล้ว ยังไม่มีการดำเนินคดีอาญากับ พล.ต.
ราชิต และผู้ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด มาจนถึงกรณีการส่งทหารไปฝึกที่ฮาวาย ทั้งๆ ที่มีมติ ครม.ออกมาแล้ว ถือตนว่าเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน วีไอพีที่ไม่ต้องเคารพมติ ครม.ก็ได้อย่างนั้นหรือ
2. ประชาชนจำนวนมากต้องการทราบว่า การส่งกองกำลังทหารราบ RTA Combat Team ไปร่วมฝึกผสมในครั้งนี้นั้นใช้งบประมาณไปเท่าไหร่กันแน่ ทั้งนี้ มีการคาดว่าน่าจะเป็นงบส่วนหนึ่งจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและศึกษาต่างประเทศ 165.45 ล้านบาท ที่อยู่ในโครงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ใช่หรือไม่
“ถ้าใช่ ก็เท่ากับว่ากองทัพบกไม่ได้สนใจใยดีถึงปัญหาปากท้องและปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้าในขณะนี้เลย แทนที่จะประหยัดงบประมาณ เพื่อให้รัฐบาลเอาไปใช้ช่วยเหลือประชาชน กลับเอางบประมาณไปถลุง พากำลังพลไปติดโรคกลับประเทศ ซึ่งกองทัพบกควรจะต้องชี้แจงให้ชัดว่าใช้งบประมาณไปกี่ล้านบาท ในการพากำลังพลไปติดโรคในครั้งนี้ ปัจจุบัน ประชาชนเอือมระอากับการใช้งบประมาณที่สุรุ่ยสุร่าย โดยไม่เห็นหัวของประชาชนของกองทัพมามากเพียงพอแล้ว
“และที่ผ่านมาแทนที่กองทัพจะพิสูจน์ให้ประชาชนได้รับรับรู้ว่ากองทัพมีความรับผิดชอบสูงกว่าพลเรือน แต่จากกรณีสนามมวยลุมพินี และกรณีกราดยิงโคราช กลับทำให้ประชาชนสิ้นหวัง ไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างสมศักดิ์ศรีของกองทัพแต่อย่างใด น่าจะถึงเวลาที่กองทัพ ควรจะต้องทบทวน มีสำนึก รู้จักเอาความเดือดร้อน และปัญหาปากท้องของประชาชนมาใส่ไว้ในหัวใจของตัวเองเสียบ้าง และปรับปรุงตัวได้แล้ว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการชี้แจงในเรื่องงบประมาณในการจัดส่งทหารไปฝึกผสมที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเร็ววันนี้ ไม่ใช่คิดจะเนียน และปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ” นาย
วิโรจน์ กล่าว
“นพดล” เสนอทุกพรรคการเมืองผลักดันแก้ไข้รธน.ร่วมกัน
https://www.innnews.co.th/politics/news_736562/
นาย
นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ว่าเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยได้ถกเถียงปัญหาสำคัญเช่นนี้ และหวังว่าจะดำเนินการได้สำเร็จ ซึ่งถ้าแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จะทำให้เกิดความมั่นคงทางการเมือง ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็ง การเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจของนักการเมืองจะสะท้อนเจตจำนงของประชาชนมากขึ้น ขณะนี้มีความเห็นหลากหลาย ตนขอเสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังนี้
1. ทุกพรรคการเมือง ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านควรผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกัน
2. การแก้ไขมาตรา 256 เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีเงื่อนไขที่ไม่เข้มจนเกินไปและกลับมาใช้เกณฑ์เสียงข้างมากของทั้ง สส. และ สว. ตามที่หลายฝ่ายเสนอนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถามว่าแล้วอะไรต่อ
3. ตนเห็นว่าข้อเสนอการแก้ไขให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบของ สภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร. อาจใช้เวลาสักระยะ ในชั้นต้นที่ทำได้เลยควรแก้ไขเนื้อหาบางเรื่องที่จะทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น เช่นควรแก้ไขระบบการเลือกตั้งให้เป็นระบบที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน คนคุ้นเคย การคำนวณจำนวน สส. หลังการเลือกตั้งไม่ซับซ้อน ทำให้ประกาศผลจำนวน สส. ทั้งประเทศได้เร็วขึ้น
ดังนั้นจึงควรแก้ไขกลับไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนและบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ นอกจากนั้นมีบางฝ่ายเห็นว่าควรแก้ไขบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคงต้องหารือกับ สว. ด้วยเหตุด้วยผลต่อไป
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง แต่เป็นเรื่องของคนไทย ตนเชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายร่วมกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม การแก้ไขก็มีทางสำเร็จ กติกาที่เป็นธรรมจะนำสู่ความปรองดองและไทยจะชนะอย่างแท้จริง
JJNY : วิโรจน์จวกทบ.ฝืนมติครม./นพดลเสนอทุกพรรคดันแก้รธน.ร่วมกัน/คนมองผู้ใหญ่การเมืองไม่มีคุณธรรม/หวั่นศึกไฮเทคจีน-สหรัฐ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2290177
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีกองทัพบกได้ส่งกองร้อยทหารราบ RTA Combat Team กำลังผสมจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 ออกเดินทางไปยังเมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้รับการยืนยันในวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ว่าติดเชื้อโควิด-19 กลับมาจำนวน 9 ราย ภายหลังเข้ากักตัวและตรวจหาโรค ว่า
ทั้งๆ ที่รัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 63 ไว้อย่างชัดเจนว่ให้ปรับแผนการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ที่ตั้งไว้สำหรับศึกษา ดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ โดยให้นำเอางบประมาณมาใช้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และให้ระงับการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยง พร้อมกับมีมติ ครม.ออกมาในวันที่ 7 เมษายน 2563 ให้ปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ รวมถึงการศึกษาดูงานในต่างประเทศที่อยู่ในหลักสูตรการฝึกอบรม แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ากองทัพบกก็ไม่ได้นำพาและไม่ได้ปฏิบัติตามมติ ครม. แต่อย่างใด และยังคงดึงดันที่จะส่งกองร้อยทหารราบ RTA Combat Team ไปร่วมฝึก ทั้งๆ ที่ ณ ขณะนั้น จวบจนกระทั่งปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวนี้ นอกจากผู้บัญชาการทหารบกจะรับรู้ด้วยแล้ว ยังมีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาร่วมเห็นชอบด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องก็แดงขึ้นมาเนื่องจากประชาชนที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทราบว่า กองร้อยทหารราบ RTA Combat Team จำนวน 151 นาย จะเดินทางกลับมาสู่ประเทศไทยในวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 และจะใช้อาคารรับรองสวนสนประดิพัทธ์ เป็นสถานที่กักตัว ประชาชนจึงได้มีการคัดค้าน เพราะเกรงว่าการท่องเที่ยวที่หัวหินที่กำลังจะเพิ่งฟื้นตัวจะได้รับผลกระทบเหมือนกับที่ จ.ระยอง ซึ่งพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เมื่อเกิดความบกพร่องขึ้น รัฐบาลไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ไม่มีการชดเชยเยียวยาให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการผู้ที่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่บาทเดียว
นายวิโรจน์กล่าวว่า คำถามที่เกิดขึ้นในใจของประชาชนทันทีและยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากกองทัพบก มีอยู่หลายคำถามด้วยกัน คือ
1. ที่ผ่านมากองทัพบกเคยทำตัวเป็นกลุ่มวีไอพี ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามมติ ครม.มาทีหนึ่งแล้ว โดยจากกรณี พล.ต.ราชิต อรุณวงษ์ เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ในฐานะนายสนามมวยลุมพินี ฝืนมตินี้และดึงดันจัดเวทีชกมวยศึกลุมพินีแชมเปี้ยนเกริกไกร ในวันที่ 6 มีนาคม 2563 จนก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ โดยนอกจากการสั่งย้ายแล้ว ยังไม่มีการดำเนินคดีอาญากับ พล.ต.ราชิต และผู้ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด มาจนถึงกรณีการส่งทหารไปฝึกที่ฮาวาย ทั้งๆ ที่มีมติ ครม.ออกมาแล้ว ถือตนว่าเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน วีไอพีที่ไม่ต้องเคารพมติ ครม.ก็ได้อย่างนั้นหรือ
2. ประชาชนจำนวนมากต้องการทราบว่า การส่งกองกำลังทหารราบ RTA Combat Team ไปร่วมฝึกผสมในครั้งนี้นั้นใช้งบประมาณไปเท่าไหร่กันแน่ ทั้งนี้ มีการคาดว่าน่าจะเป็นงบส่วนหนึ่งจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและศึกษาต่างประเทศ 165.45 ล้านบาท ที่อยู่ในโครงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ใช่หรือไม่
“ถ้าใช่ ก็เท่ากับว่ากองทัพบกไม่ได้สนใจใยดีถึงปัญหาปากท้องและปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้าในขณะนี้เลย แทนที่จะประหยัดงบประมาณ เพื่อให้รัฐบาลเอาไปใช้ช่วยเหลือประชาชน กลับเอางบประมาณไปถลุง พากำลังพลไปติดโรคกลับประเทศ ซึ่งกองทัพบกควรจะต้องชี้แจงให้ชัดว่าใช้งบประมาณไปกี่ล้านบาท ในการพากำลังพลไปติดโรคในครั้งนี้ ปัจจุบัน ประชาชนเอือมระอากับการใช้งบประมาณที่สุรุ่ยสุร่าย โดยไม่เห็นหัวของประชาชนของกองทัพมามากเพียงพอแล้ว
“และที่ผ่านมาแทนที่กองทัพจะพิสูจน์ให้ประชาชนได้รับรับรู้ว่ากองทัพมีความรับผิดชอบสูงกว่าพลเรือน แต่จากกรณีสนามมวยลุมพินี และกรณีกราดยิงโคราช กลับทำให้ประชาชนสิ้นหวัง ไม่เห็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างสมศักดิ์ศรีของกองทัพแต่อย่างใด น่าจะถึงเวลาที่กองทัพ ควรจะต้องทบทวน มีสำนึก รู้จักเอาความเดือดร้อน และปัญหาปากท้องของประชาชนมาใส่ไว้ในหัวใจของตัวเองเสียบ้าง และปรับปรุงตัวได้แล้ว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการชี้แจงในเรื่องงบประมาณในการจัดส่งทหารไปฝึกผสมที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเร็ววันนี้ ไม่ใช่คิดจะเนียน และปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ” นายวิโรจน์ กล่าว
“นพดล” เสนอทุกพรรคการเมืองผลักดันแก้ไข้รธน.ร่วมกัน
https://www.innnews.co.th/politics/news_736562/
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ว่าเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยได้ถกเถียงปัญหาสำคัญเช่นนี้ และหวังว่าจะดำเนินการได้สำเร็จ ซึ่งถ้าแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จะทำให้เกิดความมั่นคงทางการเมือง ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็ง การเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจของนักการเมืองจะสะท้อนเจตจำนงของประชาชนมากขึ้น ขณะนี้มีความเห็นหลากหลาย ตนขอเสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังนี้
1. ทุกพรรคการเมือง ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านควรผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกัน
2. การแก้ไขมาตรา 256 เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีเงื่อนไขที่ไม่เข้มจนเกินไปและกลับมาใช้เกณฑ์เสียงข้างมากของทั้ง สส. และ สว. ตามที่หลายฝ่ายเสนอนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถามว่าแล้วอะไรต่อ
3. ตนเห็นว่าข้อเสนอการแก้ไขให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบของ สภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร. อาจใช้เวลาสักระยะ ในชั้นต้นที่ทำได้เลยควรแก้ไขเนื้อหาบางเรื่องที่จะทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น เช่นควรแก้ไขระบบการเลือกตั้งให้เป็นระบบที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน คนคุ้นเคย การคำนวณจำนวน สส. หลังการเลือกตั้งไม่ซับซ้อน ทำให้ประกาศผลจำนวน สส. ทั้งประเทศได้เร็วขึ้น
ดังนั้นจึงควรแก้ไขกลับไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนและบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ นอกจากนั้นมีบางฝ่ายเห็นว่าควรแก้ไขบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคงต้องหารือกับ สว. ด้วยเหตุด้วยผลต่อไป
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง แต่เป็นเรื่องของคนไทย ตนเชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายร่วมกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม การแก้ไขก็มีทางสำเร็จ กติกาที่เป็นธรรมจะนำสู่ความปรองดองและไทยจะชนะอย่างแท้จริง