เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น. יהוה
YHWH ซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนของตน בִּלתִי (ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง)-
.....
เช่นนั้นเอง
(พุทธะ)
.......
ความเป็นเช่นนั้นอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิด
นามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา
เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง
สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เพียงคำเดียวว่า
“เช่นนั้นเอง” คือ "ตถา" หรือ “ตถาตา” ( - พุทธทาสภิกขุ )
...,..
ป.ล. WHY? .
เพราะอวิชชา ถึงความเป็นอย่างนี้ จึงเรียกว่า
สัตว์โลกทั้งหลาย ฯ ผู้แสดงออกถึงความมืดบอด...
👨🏿🦯🦮...
เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ฯ ย่อมขจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ทุกเมื่อ ฉันใด ...
(สัมมาทิฐิ.......)☀️
โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก แล่นไปสู่ความมืดมนใหญ่ ฯ
สัตว์โลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น.
(มิจฉาทิฏฐิ.......)🌑
..........
ฉะนั้น เป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (เป็นธรรมดา เช่น หน้าที่ของมารดา.. เป็นต้น)
ความทุกข์ หรือความสุข มันก็เป็นเพียง )มายา( ความรู้สึก (ปรุงแต่ง) เท่านั้นเอง.
(คิดว่าอย่างไร? มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ อยากรับไว้ เอง!
เหตุฉะนั้น ผู้ถึงพร้อม ฯ แล้วด้วยวิชชา และจรณะเท่านั้น.
(ซึ่งออกไปจากความเป็นอย่างนี้... 🌍🌏🌎👨👩👧👦⚕️😇.👺👹) ไม่เป็นอย่างอื่น.
(-คต) ถึงแล้ว ไปแล้วเช่นนั้นเอง.
.....
ได้ยินว่า บุรุษผู้มีจักษุเดินทาง
ไปในเวลาราตรีมีเมฆมืด ทางย่อมไม่ปรากฏแก่บุรุษนั้น เพราะความมืด
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดไป ทีนั้นทางก็ปรากฏแก่เขา เพราะปราศจาก
ความมืด เขาจึงเดินทางต่อไป แม้ครั้งที่สองความมืดก็ย่อมปกคลุมอีก ทางจึงไม่ปรากฏแก่เขา
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดนั้น เมื่อปราศจากความมืดแล้ว
ทางก็ได้ปรากฏ เขาจึงเดินทางต่อไป ครั้งที่สาม ความมืดได้ปกคลุมแล้ว ทาง
ก็ไม่ปรากฏ สายฟ้าแลบแล้วก็ขจัดความมืดไป.
(เหมือนการเดินทางของบุรุษผู้มีจักษุในเวลาที่มืด
ความมืดปิดบังสัจจะ 4 .... 🌩
สายฟ้าแลบ เหมือนการปรากฏของทางก็คือการปรากฏของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคนั่นแหละ.
โสดา ฯ..ถึงอนาคามิมรรค. )
ต่อมา....
อนึ่ง แผ่นหิน หรือแก้วมณี ชื่อว่า ไม่แตกไปด้วยวชิระ ⚡️
ย่อมไม่มี .... ฯลฯ (อรหัตมรรค.)
Ref.> นิทเทสวิทชูปมทุกะ
ความเป็นเช่นนั้นเอง .....
YHWH ซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนของตน בִּלתִי (ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง)-
.....
เช่นนั้นเอง
(พุทธะ)
.......
ความเป็นเช่นนั้นอยู่ตรงที่ว่า อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิด
นามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา
เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง
สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เพียงคำเดียวว่า
“เช่นนั้นเอง” คือ "ตถา" หรือ “ตถาตา” ( - พุทธทาสภิกขุ )
...,..
ป.ล. WHY? .
เพราะอวิชชา ถึงความเป็นอย่างนี้ จึงเรียกว่า
สัตว์โลกทั้งหลาย ฯ ผู้แสดงออกถึงความมืดบอด...
👨🏿🦯🦮...
เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ฯ ย่อมขจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ทุกเมื่อ ฉันใด ...
(สัมมาทิฐิ.......)☀️
โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก แล่นไปสู่ความมืดมนใหญ่ ฯ
สัตว์โลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น.
(มิจฉาทิฏฐิ.......)🌑
..........
ฉะนั้น เป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (เป็นธรรมดา เช่น หน้าที่ของมารดา.. เป็นต้น)
ความทุกข์ หรือความสุข มันก็เป็นเพียง )มายา( ความรู้สึก (ปรุงแต่ง) เท่านั้นเอง.
(คิดว่าอย่างไร? มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ อยากรับไว้ เอง!
เหตุฉะนั้น ผู้ถึงพร้อม ฯ แล้วด้วยวิชชา และจรณะเท่านั้น.
(ซึ่งออกไปจากความเป็นอย่างนี้... 🌍🌏🌎👨👩👧👦⚕️😇.👺👹) ไม่เป็นอย่างอื่น.
(-คต) ถึงแล้ว ไปแล้วเช่นนั้นเอง.
.....
ได้ยินว่า บุรุษผู้มีจักษุเดินทาง
ไปในเวลาราตรีมีเมฆมืด ทางย่อมไม่ปรากฏแก่บุรุษนั้น เพราะความมืด
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดไป ทีนั้นทางก็ปรากฏแก่เขา เพราะปราศจาก
ความมืด เขาจึงเดินทางต่อไป แม้ครั้งที่สองความมืดก็ย่อมปกคลุมอีก ทางจึงไม่ปรากฏแก่เขา
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดนั้น เมื่อปราศจากความมืดแล้ว
ทางก็ได้ปรากฏ เขาจึงเดินทางต่อไป ครั้งที่สาม ความมืดได้ปกคลุมแล้ว ทาง
ก็ไม่ปรากฏ สายฟ้าแลบแล้วก็ขจัดความมืดไป.
(เหมือนการเดินทางของบุรุษผู้มีจักษุในเวลาที่มืด
ความมืดปิดบังสัจจะ 4 .... 🌩
สายฟ้าแลบ เหมือนการปรากฏของทางก็คือการปรากฏของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคนั่นแหละ.
โสดา ฯ..ถึงอนาคามิมรรค. )
ต่อมา....
อนึ่ง แผ่นหิน หรือแก้วมณี ชื่อว่า ไม่แตกไปด้วยวชิระ ⚡️
ย่อมไม่มี .... ฯลฯ (อรหัตมรรค.)
Ref.> นิทเทสวิทชูปมทุกะ