💝💝หักศรกามเทพ..3💝💝



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
   
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
                                                                                บทที่ 3

      งานชุมนุมนักเรียนไทยในเยอรมันได้เริ่มแล้วด้วยจำนวนหนุ่มๆจากหลายเมืองมาลงทะเบียนรับกุญแจห้องในปราสาทเก่าอันโอ่อ่า ด้านนอกปราสาทล้อมรอบด้วยน้ำ มีสะพานเชื่อมเป็นทางออก ราวกับย้อนไปสมัยโบราณ ที่ต้องมีคูน้ำคั่นกันการบุกรุก

     อาหารและเบียร์ดูจะเป็นหัวใจในงานนี้ น้องชายของท่านนายกสมาคมเป็นผู้จัดการเรื่องเบียร์และอาหาร ซึ่งคุณกรรมการและปฏิคมคือผู้ปรุงอาหารตลอดงานในจำนวนผู้ชุมนุมราวสองร้อยคน ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักมิใช่น้อย ถ้าไม่เสิร์ฟไส้กรอกเยอรมันในหลายมื้อ ซึ่งก็เข้าและคู่กับเบียร์เป็นอย่างดี

   แน่นอนว่าวงดนตรีย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้งานครบถ้วนในความบันเทิง  ผู้คนหลายหน้าหลากตารวมทั้งผู้ติดตามที่เป็นภรรยาต่างชาติที่ปนเปกับหญิงไทยมีจำนวนนับหัวได้

  ในเมื่อท่านนายกผู้จัดเป็นเจ้าของถิ่น  เพ็ญระพีก็ได้ถูกใช้ให้ช่วยทำงานเล็กๆน้อยๆ เช่นการลงทะเบียนว่าใครมาจากเมืองไหน  เพื่อเก็บเป็นข้อมูลต่อไป แต่คนแล้วคนเล่าก็หาได้เห็นคนที่หล่อนหลงคอยอยู่ไม่

   งานเตะบอลจับคู่ตัดกำหนดในวันแรก และวันที่สองเป็นการละเล่นต่างๆเช่นวิ่งสี่ร้อยเมตร ในวันที่สามสุดท้ายจึงแข่งบอลชิงแชมป์ประจำปี  งานได้ดำเนินไปด้วยดี และการเต้นรำก็สนุกสนานไม่แพ้การเตะบอล

    เพ็ญระพีได้รับการแนะนำให้รู้จักคนหลายต่อหลายคน ซึ่งหล่อนเองก็คิดว่าชั่วพบกันแค่ครั้งเดียว จึงมิได้ให้การจดจำหน้าตาใครเป็นพิเศษ  รู้แต่ว่าท่านนายกได้ให้ความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด ใครๆก็เรียกชื่อเล่นเขาว่า คุณเก่ง

  การเต้นรำกับหนุ่มที่ดื่มเบียร์ย่อมได้กลิ่นเบียร์ตอนพูดคุยกำจายฟุ้งไป  หลายคนได้บันทึกภาพกันอย่างมากมาย นัยว่ากล้องเป็นเครื่องเล่นคู่กับผู้ชาย  และนั่นก็เป็นเหตุให้ภาพของหล่อนถูกแพร่หลายตามคนบันทึกไป คนที่หล่อนเต้นรำด้วยก็เป็นท่านนายกและคุณอนาวิล

   เมื่องานจบลงในวันสุดท้าย ความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองที่มีต่อหล่อนก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับด้วยหล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวจากเมืองนี้

      พี่วิทย์พาหล่อนเดินทางกลับหอพัก  ระหว่างทางนั่งรถทุกครั้ง หล่อนมักจะใจลอยนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  นับจากวันนี้ก็มีเวลาอีกสามสัปดาห์ที่จะถึงวันกลับเมืองไทยของหล่อน ณ เวลานี้ความรู้สึกอยากอยู่ที่นี่ก็ผุดขึ้นมา  หล่อนยังไม่อยากกลับ กลับไปเพื่ออะไร มันไม่มีอะไรที่ฉุดรั้งให้กลับไป  สมองเริ่มทำงานโดยทันที หล่อนหันไปถามพี่ชายว่า  กรณีที่หล่อนจะอยู่ที่นี่ต่อเป็นไปได้ไหม  พี่วิทย์นิ่งคิดสักพักจึงถามว่า ทำไมหรือ ทำไมถึงไม่อยากกลับบ้าน  เมื่อหันมาก็เห็นหล่อนนั่งนิ่งทำตาแดงๆ เขาจึงหันกลับมองตรงขับรถต่อไป

    เมื่อถึงหอพักแล้วต่างก็ไม่ได้พูดคุยกันอีก  รอเวลาที่เหมาะสมเปิดใจคุยกันถึงปัญหาหล่อนเอามาฝากพี่ชาย เมื่อได้แสดงความจำนงอยากอยู่ต่อแล้ว หล่อนก็รู้สึกได้ว่า เหมือนคำพูดเยอรมันที่ว่า เอาปัญหาไปใส่กระเป๋าคนอื่น  พี่วิทย์ดูจะครุ่นคิดและคงจะกระจ่างในการมา'เยี่ยม' ของหล่อนก็ในคราวนี้เอง

  เมื่อมีเวลาสงบๆส่วนตัวหล่อนก็ได้เขียนจดหมายตอบคุณภูพิงค์ ในใจนึกอาลัยอาวรณ์ในวันเวลาที่ต้องจากกันไปไกลมากขึ้น  นึกถึงคำพูดของเขาที่น่าจะเป็นหล่อนพูดว่า 'เราจะมีโอกาสพบกันสักครั้งไหมนะในเยอรมัน'  หล่อนได้รู้เป็นอย่างดีเดี๋ยวนี้ว่า ความรู้สึกขณะที่เขาเขียน มันเป็นอย่างนี้ อย่างที่หล่อนกำลังรู้สึกนั่นเอง 
   
    มันไม่ง่ายเลยกับการที่จะเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งและตัดสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งในเวลาเดียวกัน แต่การตัดสัมพันธ์หล่อนก็ได้ทำไปแล้ว รอแต่ว่าเขาจะยอมรับไหม  ก็น่าจะยอมรับ ใครล่ะจะมารอคนที่ตัดเยื่อใยตน  แต่หล่อนก็ถือได้ว่าแก้ปัญหาไปแล้ว  เหลือแต่ผู้ที่กำลังจะเขียนถึงว่าจะร่ายร้อยถ้อยความอย่างไรดี

         เมื่อเรียบเรียงความคิดแล้ว ก็ได้แต่เขียนว่า 

     เพ็ญได้ไปงานชุมนุมหน้าร้อนของนักเรียนไทย คิดว่าคุณภูอาจจะมางานนี้ด้วย หากแต่คงแค่เป็นความคิดของเพ็ญฝ่ายเดียว  คิดไปฝ่ายเดียวนี่ดูว่ามันจะเกิดกับเพ็ญบ่อยครั้งเสียจริง  คุณภูว่ามันเป็นอย่างเพ็ญพูดไหมคะ หรือว่าเราไม่คิดคล้ายกันเหมือนแต่ก่อน    
 เรื่องที่อยากเขียนมีอีกมากมายแต่คิดเอาเองว่าไม่กล้าเขียนไปทั้งหมด เพราะนอกจากอาจจะทำให้คุณภูเป็นกังวล ถึงอย่างไรก็ดีเพ็ญก็อยากให้คุณภูสบายใจและกายดังเช่นเคย   เพ็ญหวังว่าคุณภูคงจะพอมีเวลาตอบจดหมายฉบับนี้ ซึ่งเพ็ญดีใจที่ได้รับฉบับก่อนค่ะ

 จดหมายฉบับนี้ของหล่อนได้ถูกนำมาส่งที่ตู้ไปรษณีย์เมืองทางใต้เมื่อลงแวะดูเมืองขับผ่าน  เนื่องจากพี่วิทย์พาหล่อนลงเยี่ยมเยียน โอม่า (Oma ยาย)
ด้วยว่าวันต่อมาพี่วิทย์บอกจะพาไปเที่ยวทางใต้ลงไปหน่อย ซึ่งใช้เวลาขับรถสามชั่วโมง  พี่วิทย์เคยได้พักที่เมืองนั้น นอยอูล์ม ( Neu Ulm) เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ

    การได้มาเที่ยวเพ็ญระพีรู้สึกเพลิดเพลินกับสภาพวิวโดยทั่วไป   และที่หล่อนชอบคือ เจ้าของบ้านสามีภรรยาต้อนรับดีมาก หล่อนได้ร่วมโต๊ะทานอาหารเยอรมันแท้ๆทั้งมื้อเช้าและเย็น ที่น่าแปลกใจคือการใช้เตายังวางบนแผ่นเหล็กร้อนบนเตาเชื้อเพลิงเป็นไม้ และวางหม้อบนเหล็กร้อนนั้น
 
   ตอนกลางคืนก็นั่งคุยกัน หล่อนฟังได้แต่ไม่เข้าใจในความหมาย  พี่วิทย์ต้องอธิบายเป็นพักๆ  และที่แม่บ้านขอจับผมยาวสลวยของหล่อนมาชม พร้อมกับขอตัดนิดหนึ่งเป็นธรรมเนียมของเขา แต่ที่ทำความประหลาดใจมากคือในสมุดอัลบั้มกระดาษขาวหนาที่มีรูปผู้คนพร้อมเส้นผมกระจุกน้อยติดเทปแปะอยู่นั้น  มีรูปและผมของคุณภูพิงค์ปรากฏอยู่ด้วย...

    นี่มันอะไรกัน... ทำไมช่างบังเอิญเช่นนี้ หรือว่าที่นี่เป็นที่ส้องสุมนักเรียนไทยมาก่อน เพราะดูจำนวนผมสีดำที่ตัดแปะไว้ก็มากอยู่   หล่อนมองภาพอื่นๆก่อนแล้วจึงค่อยๆพลิกมาเพ่งดูภาพที่มีรอยยิ้มแบบที่หล่อนเคยเห็น ภาพถ่ายในบ้านคงเป็นรูปที่เจ้าของบ้านถ่ายเอาไว้ และนำมาปิดแปะพร้อมเส้นผม

 เมื่อเวลาล่วงเข้าถึงเวลานอน เมื่อต่างก็เอ่ย Gute Nacht (ราตรีสวัสดิ์) แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน หล่อนได้นอนห้องลูกสาวเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่อยู่ ถึงที่นอนจะอบอุ่นเพียงใด ก็ไม่ช่วยให้ใจที่ร้อนรุมจากรัศมีระยะความใกล้เคียงของเราที่น่าจะไม่ไกลกันจนคิดถึงไม่ได้  ตอนนอนนึกภาพรอยยิ้มในอัลบั้มที่มองจนเต็มตา   ป่านนี้เขาคงได้รับจดหมายแล้ว  หลังจากรับเขาคิดถึงเราไหม คิดถึงเหมือนเมื่อก่อนที่เขียนในจดหมายไหม หล่อนอยากรู้ อยากรู้จริงๆ...

   นับตั้งแต่ภูพิงค์ได้รับจดหมายในตอนสายในวันรุ่งขึ้น เขาก็พบความประหลาดใจอีกเช่นเคย ทำไมนะหล่อนช่างทำความประหลาดใจให้เขาอยู่เนืองๆ นี่ไม่รู้ว่ามาส่งเองหรือฝากใครมาทิ้งให้  ตราประทับไปรษณีย์ของเมืองนี้ชั่วข้ามคืนก็ได้รับแล้ว หล่อนมาทำอะไรแถวนี้ จะว่าทางผ่านกลับFrankfurt ไปสนามบินก็ยังไม่ถึงเวลานี่  เขาหันไปมองปฏิทินบนโต๊ะ ที่เขากาวันที่ไว้ ถ้านับครบเดือนจริงๆ มีเวลาอีกเกือบสามสัปดาห์จึงจะครบกำหนดตามที่หล่อนบอกว่าสองเดือน  ขณะนี้หล่อนทำอะไรอยู่หรือท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ

  คืนนี้เขาเอาจดหมายสั้นๆนั้นมานั่งอ่านไม่รู้จักกี่เที่ยว ตัวอักษรก็ไม่ได้งอกเงยเพิ่มขึ้นมา  ที่อยู่ผู้ส่งยังเป็นที่หอพักเช่นเดิม แต่ว่าคราวนี้ลงชื่อตามธรรมเนียมที่นี่ คือหล่อนใส่นำหน้านามว่า Frl. ( Fräulein) มาอย่างชัดเจนด้วย  ประโยคหล่อนก็ยังเป็นเพ็ญที่ลงท้ายคำพูดคะ ขาเช่นเดิม
 ด้วยความหมกมุ่นคุกรุ่นในความคิดมาทั้งวัน ทำให้เขาอยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนอยู่ที่ไหน  และหล่อนตั้งใจจะส่งจดหมายนี้เพราะผ่านมาแถวนี้ใช่หรือไม่  เขาอยากจะโทรไปหาหล่อนอีกหน หากแต่ว่าเกรงใจพี่ชายหล่อน และคิดว่าหล่อนน่าจะไม่อยู่หอพักเสียมากกว่า เขาจะทำอย่างไรดี ทั้งๆที่ไม่มีเหตุที่ต้องถามตัวเองเช่นนั้น  แต่เพราะความกระวนกระวายใจอย่างมาก ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ที่ไหนก็ตามโปรดได้รับรู้ว่าตอนนี้เขาคิดถึงหล่อนเป็นที่สุดอย่างแท้จริง...

 เพ็ญระพีเก็บข้าวของเตรียมกลับแล้ว หล่อนนั่งนับได้ว่าย้ายที่นอนมาห้าหนแล้ว เหมือนนกขมิ้นก็ไม่ปาน  การลาจากทำเอาหล่อนตื้นตันใจอย่างมาก จะเพราะที่นี่อบอวลด้วยความอบอุ่นหรือเพราะร่องรอยของเขาที่ประทับอยู่ให้เห็นก็เป็นได้   หล่อนยังจำโดมของเมืองที่เขาต้องได้มาดู เขาจะรู้ไหมหนอว่าหล่อนได้เดินซ้ำรอยของเขาแล้ว หากแต่ว่ามันจะมีวันทันกันหรือพบกันบ้างไหม

 พระเจ้าคงรู้อยู่แล้ว

 
    เกือบเที่ยงวันที่พี่วิทย์ขับรถเข้ามาจอดตรงลานจอดรถระหว่างตึก   เมื่อขึ้นลิฟต์ก็เห็นว่า แม่บ้าน (Putzfrau) ต่างชาติเป็นชาวตุรกีกำลังขัดพื้นด้วยเครื่องเดินขัดอยู่ พร้อมกันนั้นพวกหล่อนก็จะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนตามห้องให้ รวมทั้งทำความสะอาดครัวและห้องน้ำด้วย

" เพ็ญรีบทานอาหารกลางวันหน่อยนะ เดี๋ยวแม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง" พี่วิทย์บอกพร้อมกับหยิบไก่ย่างและมันบดที่แวะซื้อเอาออกมา  เมื่อหล่อนเข้าไปในห้องครัว ส่วนที่เป็นโต๊ะทานอาหารกลับไม่มีผู้ใดอยู่เลย  ทั้งสองจึงนั่งทานกันอย่างเงียบๆ มันเงียบเสียจนแค่วางช้อนก็ดังแล้ว  พี่วิทย์อิ่มก่อนด้วยการเทโค้กใส่แก้วตนเองและให้หล่อน เอาส่วนที่เหลืออยู่ในขวดไปใส่ไว้ในตู้เย็นใหญ่ประจำครัว  หล่อนลุกตามมาแล้วล้างถ้วยชามเช็ดแห้งเก็บคืนเข้าตู้ตามเดิม

  พี่วิทย์ใช้เวลาขณะที่แม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดด้วยการลงไปตรวจเช็ครถยนต์ หล่อนเดินตามไปและบอกว่าจะเดินดูรอบๆหอพักนี้  ทางจะเข้าหอพักมีบ้านคน ดอกไม้หน้าบ้านแยะและสวยมาก  พี่วิทย์บอกว่าสักชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ  หล่อนจึงเดินแยกไป

 ทางเดินรอบตึกที่อยู่พาเท้าของหล่อนเดินอ้อมไปด้านหลังซึ่งหล่อนรู้ว่ามีรถไฟวิ่งผ่าน เมื่อครั้งหนึ่งมองลงมาจากระเบียงตอนเย็น เห็นคนต้อนแกะเดินเป็นทิวแถวในถนนเล็กๆข้างหอพัก และได้ยินเสียงรถไฟระหว่างเมืองชนบทวิ่งอยู่  เมื่อมาดูก็เห็นกับตาว่าทางรถไฟทอดยาวไปจนสุดแนวบ้านคนที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งส่วนที่กว้างนั้นจะปลูกข้าวโพดไว้เป็นอาหารสัตว์  บางครั้งก็เห็นไก่ฟ้าที่อาศัยอยู่ในดงข้าวโพดวิ่งออกมา ส่วนตามถนนนอกเมืองที่มี
ต้นไม้ทั้งสองฝั่งถนนก็อาจได้พบกระต่ายสีเทาๆวิ่งข้ามถนนไปมา  รถไฟนี้วิ่งไปสุดทางที่เมืองไหนกันหนอ หล่อนยืนใช้เวลาที่นี่นานสองนานจึงค่อยเดินไปทางด้านหน้าตึกตามเส้นทางถนนที่ออกจากหอพัก  เดินมองดอกไม้ที่ปลูกไว้แต่ละหน้าบ้านช่างได้รับการดูแลอย่างดี

 เมื่อเดินกลับมาด้วยคิดว่าน่าจะครบชั่วโมงแล้ว หล่อนไม่รู้ว่าก่อนที่หล่อนจะเดินถึงตึกของตนเอง ที่ระเบียงอีกตึกมีคนเฝ้ามองหล่อนตั้งแต่ขาออกไปจนกระทั่งหล่อนเดินกลับมา เขาใช้เวลารอนานมากเหลือเกินถ้ารวมกับเวลาที่เขาได้รู้ว่าหล่อนไปต่างเมือง  อนาวิลยืนอยู่ตรงนั้น..

 (มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่