พระศาสดาผู้มีพระญาณอันไม่มีอะไรขัดขวางในธรรมทั้งปวง
ครั้นทรงแสดงปัจจยาการอันปราศจากขอดปมและไม่ยุ่งยากในสุตตันตภาชนีย์
ด้วยอำนาจจิตต่างๆ ปานดังทรงคลี่ผืนมหาปฐพี
และปานดังทรงขยายนภากาศ ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้
เพราะปัจจยาการนี้จะมีในจิตต่างๆ กัน อย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่
ย่อมมีแม้ในจิตดวงเดียวทีเดียว ฉะนั้น
เพื่อจะทรงแสดงปัจจยาการซึ่งเกิดในขณะจิตดวงเดียวกัน
โดยประการต่างๆ ด้วยอำนาจอภิธรรมภาชนีย์จึงทรงตั้งมาติกาไว้ก่อนโดยนัยมีอาทิว่า
อวิชฺชาปจฺจยา สํขาโร (สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย) ดังนี้.
ในวาระที่ ๓
วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
เมื่อรูปมีจิตเป็นสมุฏฐานกำลังเป็นไปอยู่
เพราะความที่จักขายตนะเป็นต้น
อันรูปมีจิตเป็นสมุฏฐานนั้นค้ำจุนแล้วย่อมปรากฏ ฉะนั้น
จึงตรัสว่า จกฺขฺวายตนสฺส อุปจโย (ความเกิดขึ้นแห่งจักขายตนะ) เป็นต้น.
อนึ่ง เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ด้วยปัจฉาชาตปัจจัย
แม้แก่กรรมชรูปซึ่งกำลังเป็นไปในสมัยนั้น
แม้เพราะเหตุนั้น
จึงตรัสอย่างนี้ ในวาระที่ ๓ นั้น ทรงถือเอาสันตติ ๒
คือสันตติรูปเกิดแต่กรรมและสันตติรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น
สันตติ ๒ แม้นอกนี้ก็พึงถือเอา
เพราะวิญญาณก็เป็นปัจจัยแก่สันตติ ๒ นอกนี้เหมือนกัน.
ส่วนในวาระที่ ๔
ก็เพราะแม้ในขณะจิตเดียวกัน
จักขวายตนะเป็นต้นมีมหาภูตรูปเป็นปัจจัย
อายตนะที่ ๖ มีหทยรูปเป็นปัจจัย
และอายตนะแม้ทั้งหมดมีเพราะนามเป็นปัจจัย
เป็นไปด้วยอำนาจปัจฉาชาตปัจจัยและสหชาตปัจจัยเป็นต้นตามควร ฉะนั้น
จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตตฺถ กตมํ นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ จกฺขฺวายตนํ ในปัจจยาการนั้น
สฬายตนะเกิดเพราะนามรูปเป็นปัจจัยเป็นไฉน? คือจักขวายตนะ.
จิต วิญาณ มโน ในปฏิจสมุปบาท ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
อนึ่ง เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ด้วยปัจฉาชาตปัจจัย
ส่วนในวาระที่ ๔