ไอดินจะข้ามมิติไปกับมุสได้หรือไม่ ติดตามต่อข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๔
https://ppantip.com/topic/40033452
###
บทที่ ๕
ผมนัดเกล็ดแก้วไว้ที่สวนจำลองในวันต่อมา
ผมเอาโคชานจิ๋วในชุดกันเชื้อใส่มาในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ พร้อมกับอาหารแห้ง อาหารอัดเม็ด เครื่องผลิตน้ำที่ช่วยดึงไฮโดรเจนกับออกซิเจนจากอากาศมาผลิตเป็นน้ำสะอาด (ถ้ามิติที่จะไปมีก๊าซเหล่านี้อยู่น่ะนะ) และของจำเป็นอื่นๆ ที่น่าจะต้องใช้ในต่างมิติด้วย
พอมาถึงสวนจำลอง ผมก็เห็นยายเกล็ดแก้วนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขามากมายต้นหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าต้นไม้นั้นเรียกว่าอะไร รู้สึกจะชื่อคล้ายๆ สัตว์น้ำสักอย่างในสมัยก่อน
เอาเป็นว่ายายนั่นเห็นผมแล้วก็ยืนขึ้นพร้อมโบกมือเรียก ผมจึงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา แล้ววางกระเป๋าเป้ไว้บนม้านั่ง
“เอาสายรัดข้อมือมาด้วยรึเปล่า” ยายนั่นถามระหว่างที่ผมกำลังเปิดกระเป๋า หยิบเจ้าเพื่อนตัวยุ่งออกมา
“เอามาสิ” ผมบอก วางเพื่อนผมลงบนม้านั่ง แล้วล้วงกระเป๋าหยิบสายรัดข้อมือสีสดใสสองสีขึ้นมาชูให้เธอดู
ยายผงซิลิก้าผงกศีรษะ แล้วจึงช่วยผมแกะโคชานที่นั่งรอตาแป๋วอยู่ออกจากชุดกันเชื้อ “ฟังจากที่นายเล่า” ยายนั่นบอก “ฉันเดาว่าระดับพลังของโคชานน่าสัมพันธ์กับต้นไม้และแสงแดด...”
ผมส่งเสียงรับในลำคอ ตอนที่โคชานติดอยู่ในมิติของผมครั้งแรก เขาเปลี่ยนร่างคืนเป็นเอธร่าแล้วข้ามมิติกลับไปได้หลังจากที่ต่อสู้กับพวกนักเวทในสวนจำลองสักพักหนึ่ง และอีกครั้งก็เป็นตอนที่เราข้ามไปยังมิติของปราบแดน ตอนนั้นโคชานถูกปราบแดนพ่นยาฆ่าเชื้อใส่จนสลบไป รอจนเราขึ้นไปอาบแดดบนรังของพวกมาฮูวานั่นละ เขาถึงเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่าได้อีก
คราวนี้หวังว่าผมกับเกล็ดแก้วจะเดาไม่ผิด...
พอออกจากชุดกันเชื้อได้แล้ว ยายผงซิลิก้าก็วางโคชานไว้บนม้านั่งด้านขวาของเธอ หมอนั่นก็เริ่มเหยียดแขนขา ผมจึงต้องก้าวมานั่งที่ด้านซ้ายของเกล็ดแก้วเพราะกลัวมันจะสะบัดขนจนฟุ้งกระจาย แล้วทำให้ผมจามอีก
หมอนั่นบิดเนื้อบิดตัวสักพักก็หมอบลง อ้าปากหาวยาวๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบหน้าหลับตา ยายเกล็ดแก้วเห็นอย่างนั้นแล้วก็หันมาจ้องผม กะพริบตาปริบๆ “แล้วจะเอายังไงต่อ”
ผมยักไหล่ทีหนึ่ง “คงต้องรอนั่นละ”
---
ระหว่างที่รอโคชานนอนหลับอย่างสบายใจ ยายเกล็ดแก้วก็ได้โอกาสชวนผมเข้าห้องสมุดอีก (นั่นละ ลองยายนี่หมกมุ่นอยู่กับอะไรแล้วละก็ ไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่) แต่ตอนนั้นเราไม่มีชุดจับความเคลื่อนไหว เธอจึงแค่เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ห้องสมุด แล้วเรียกหนังสือเล่มนั้นออกมาในลักษณะของภาพโฮโลแกรม หนังสือที่อยู่ในรูปแบบภาพโฮโลแกรมจะฉายภาพซ้ำซ้อนอีกไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องดูรูปไดโนเสาร์ที่เป็น ‘เสมือน’ ภาพสองมิติบนกระดาษแทน
ตัวแรกที่ยายผงซิลิก้าจิ้มให้ดูเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างเทอะทะ คอและหางยาวหนาประกอบไปด้วยหนาม แต่หัวเล็กไม่สมส่วน ขาทั้งสี่ที่ยืนอยู่บนพื้นดูเป็นท่อนเป็นลำ น่าจะช่วยรับน้ำหนักลำตัวได้ดี
“อาลาโมซอรัส ตัวนี้กินพืช ตัวใหญ่มากเลยนะ” ยายนั่นบอก แต่ผมยังนึกไม่ออกว่ามันจะใหญ่ได้เท่าไหน เท่าอัลโลซอรัสที่เธอจิ้มให้ผมดูเมื่อวานรึเปล่า
“แต่มันประหลาดมากเลยนะ หัวเล็กแค่นั้นจะกินอาหารยังไง”
“ก็คงเคี้ยวๆ แล้วก็กลืนนั่นละ” ยายผงซิลิก้าว่า “ช่างเถอะ ดูตัวนี้สิ ตัวนี้ก็ประหลาด” เธอชี้ให้ผมดูไดโนเสาร์ในหน้าถัดไป มันมีลำตัวป้อม ขาหน้าสั้น ขาหลังยาว แต่จุดเด่นที่สำคัญคือ หลังของมันมีแผ่นกระโดงเรียงรายตั้งแต่คอจนถึงหาง ปลายหางยังมีเดือยแหลมยื่นออกมาที่ด้านข้างอีก ผมอ่านชื่อที่ด้านข้าง มันคือ สเตโกซอรัส
ผมดูภาพไดโนเสาร์อื่นๆ อีกหลายชนิดจนมึนหัวไปหมด บางตัวก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน บางตัวก็มีลักษณะเฉพาะแปลกๆ หลายตัวก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยมีชีวิตอยู่จริงในบนโลกนี้...ผมหมายถึง ในมิตินี้
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนยายผงซิลิก้าเริ่มหายตื่นเต้น ผมจึงหันไปเห็นโคชานจิ๋วอ้าปากหาวกว้างๆ ทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นบิดตัวเสียเหยียดยาว ครู่ต่อมาหมอนั่นก็เปลี่ยนจากร่างเสือกึ่งสิงโตมาเป็นมุส
“เป็นยังไงบ้าง” ผมถามออกไป
“หลับสบายดี” เพื่อนผมบอก พลางอ้าปากหาวอีกรอบ
“ฉันหมายถึงพลังของนายน่ะ กลับมารึยัง”
แต่แทนที่หมอนั่นจะให้คำตอบผมตรงๆ เขากลับผายมือออก “ก็กลับมาอย่างที่เห็นนี่ไง”
แสดงว่ายังเปลี่ยนเป็นเอธร่าไม่ได้...
“เอ้อ เกล็ดแก้ว ยังมีไดโนเสาร์ตัวอื่นให้ดูอีกรึเปล่า” ผมหันไปทางภาพโฮโลแกรมของหนังสือเล่มโต ไม่สนใจหมอนั่นอีก
“ก็ยังมีอีกตั้งหลายสายพันธุ์นะ ฉันเองก็ยังดูไม่ครบ” ยายนั่นก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มที่ภาพหนังสือโดยไม่สนใจเพื่อนต่างมิตินิสัยเสียเช่นกัน
ผมกับเกล็ดแก้วเปิดภาพไดโนเสาร์ดูอีกสักพัก เพื่อนนิสัยเสียของผมก็เริ่มย้ายตัวเองมายืนด้านหลัง แล้วยื่นหน้ามามองหนังสือที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“นี่มัน...หัวขโมยโฉบเฉี่ยวนี่”
ผมกับเกล็ดแก้วเงยหน้าหันไปมองหมอนั่นโดยพร้อมเพรียง จากนั้นจึงหันมามองภาพในหนังสือตรงหน้า มันเป็นไดโนเสาร์พันธุ์เล็ก หน้ายาว ขาหน้าสั้นมีขนคล้ายปีกนก ขาหลังยาว มีเดือยแหลมที่เท้า หางยาวและมีขนคล้ายนกด้วย
ว่าแต่ อะไรคือหัวขโมยโฉบเฉี่ยว...
“ก็ตัวนี้อย่างไรเล่า” หมอนั้นว่า หลังจากที่ผมกับเกล็ดแก้วหันไปมองเขาตาปริบๆ “มันอยู่ในมิติของเพื่อนข้า” เขาบอกแล้วก็ยกมือกอดอก “พวกเจ้าอย่าบอกนะว่ามีใครไปต่างมิติแล้วเอากลับมาเล่าเป็นตุเป็นตะอย่างตำนานของพวกเจ้าอีกน่ะ”
ผมกับเกล็ดแก้วหันมองหน้ากัน...
“นี่ไม่ใช่ตำนาน” ยายผงซิลิก้าเป็นคนเอ่ย “ไดโนเสาร์พวกนี้เคยอยู่บนโลกนี้จริงๆ ยังมีโครงกระดูกอยู่เลย”
หมอนั่นกะพริบตามองเกล็ดแก้วอยู่สักพัก แล้วหันมาทางผมเป็นเชิงขอคำยืนยัน ผมยักไหล่เป็นคำตอบเพราะผมเองก็ไม่เคยเห็นโครงกระดูกสัตว์พวกนี้เหมือนกัน หมอนั่นไม่ได้คำตอบจากผมก็หันกลับไปทางยายผงซิลิก้า อ้าปากคล้ายจะพูดอะไร แต่แล้วก็หุบกลับไปใหม่...ฉลาดมากที่ไม่เถียงยายจอมบงการนี่
“เอาละ” ยายเกล็ดแก้วว่า พลางหมุนตัวมาทางมุส “นายจะเล่าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
เพื่อนต่างมิติของผมฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเครียดลง “ข้าพบคนชุดดำนั่นในมิติของเพื่อนข้า พอเจอตัวปุ๊บข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเป็นคนที่ฆ่ามังกรในมิติของข้าแล้วหนีไปกบดานในต่างมิติแน่ๆ”
“นายรู้ได้ยังไงว่าเขาหนีไปจากมิติของนาย ก็นายไม่เคยเห็นเขาไม่ใช่หรือ” ยายเกล็ดแก้วซัก
“เขามีลักษณะต่างจากคนในมิติของเพื่อนข้า ข้าย่อมรู้ว่าเขามาจากต่างมิติอย่างแน่นอน”
“ต่างยังไง” ยายเกล็ดแก้วถามอีก
“ต่างสิ...เขาตัวใหญ่กว่าเพื่อนๆ ของข้าตั้งเยอะ”
“ฉันไม่เห็นว่าเขาจะตัวใหญ่ตรงไหน” ยายผงซิลิก้าแย้ง แล้วมองมาทางผม “น่าจะตัวพอๆ กับนายนั่นละ”
“แต่เขาตัวใหญ่กว่าเพื่อนข้า ใหญ่กว่าสักสี่ห้าเท่าเลยทีเดียว”
“เดี๋ยวนะ แล้วเพื่อนนายตัวแค่ไหน” ผมถามออกไปบ้าง ขืนปล่อยให้สองคนนี้คุยกันต่อไปคงไม่รู้เรื่องแน่
“ตัวก็...ประมาณนี้” หมอนั่นค้อมตัวลง วางมือในระดับหัวเข่า
เอาเป็นว่าเพื่อนของเขาตัวเล็กนั่นเอง...เฮ้อ!
“แล้วยังไงต่อ” ยายนั่นซักอีก
“พอข้าเห็นเขาก็รู้ว่าต้องมาจากที่อื่น ข้าจึงกระโจนเข้าไปจะจับเขามาถามให้รู้เรื่อง แต่เขาก็วิ่งหนีไป เขาวิ่งเร็วมากทีเดียว ข้าจึงต้องเปลี่ยนร่างเป็นโคชาน บินไปดักหน้าเขา แต่เขากลับหันหลังกลับ วิ่งหนีเข้ารกเข้าพงทำให้ข้าบินตามไปไม่ได้”
ก็น่าอยู่หรอก ปีกใหญ่ขนาดนั้นจะบินฝ่าต้นไม้ใบหญ้าไปยังไง
“ข้าเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส กระโดดเข้าพงตามไปติดๆ” หมอนั่นเล่าต่อไป “พอออกจากพงได้แล้วข้าจึงเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่า คิดว่าจะบินไปดักหน้าเขาไว้อีก แต่เขากลับเปิดโพรงมิติหนีข้ามมาเสียก่อน โพรงมิตินั่นปิดเร็วมาก ข้าต้องใช้พลังง้างโพรงมิตินั่นไว้ แล้วกระโดดตามมา ถึงพบว่าโพรงมิตินั่นโยงมาที่นี่”
“แต่...ทำไมเขาต้องมาที่นี่ล่ะ ทำไมไม่ไปที่อื่น” ยายผงซิลิก้าถามอีก
“ข้าจะไปรู้เรอะ ข้าเพิ่งพบเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันพูดอะไรเขาก็หนีเอาๆ”
เอ่อ...ก็นายไปไล่ล่าเขานี่
“สรุปว่าไม่มีอะไรมาก แค่นายเจอเขา แล้วก็ไล่จับกันจนมาโผล่ที่นี่” ยายนั่นสรุปสั้นๆ แล้วก็ส่ายหน้าระอา
“แต่ก็ไม่แน่นะ” ผมขัดขึ้นเบาๆ ในหัวยังใช้ความคิด “มุส เวลาที่นายข้ามมิติ นายจำเป็นต้องรู้ทุกครั้งรึเปล่าว่าปลายทางคือมิติไหน”
หมอนั่นยักไหล่ทีหนึ่ง “ไม่หรอก อย่างตอนที่ข้ามมามิตินายครั้งแรก ข้าก็สุ่มเอา ไม่อย่างนั้นจะไปสำรวจมิติใหม่ๆ ได้อย่างไร” ว่าแล้วหมอนั่นก็ยืดอกเชิดคออย่างภาคภูมิ
ยายเกล็ดแก้วไม่ได้สนใจคำพูดตอนท้ายของมุส เธอหันมาทางผม “นายกำลังจะบอกว่า คนชุดดำนั่นอาจจะ สุ่มเปิดมิติมาอย่างนั้นหรือ”
“มันก็เป็นไปได้นี่” ผมตอบกลับไป
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปที่นี่ อาจจะไปในมิติใหม่ๆ ที่ทั้งนายทั้งมุสไม่รู้จักก็ได้”
ผมพยักหน้าเห็นพ้อง “มุส ถ้าเป็นอย่างนี้นายจะไปตามหาเขาได้ยังไง”
หมอนั่นเผยอปากนิดหนึ่งแต่ไม่กล่าวอะไร คาดว่าเขาเองก็คงไม่มีคำตอบเช่นกัน
---
มุสอยู่บ้านผมอีกคืนหนึ่ง
เมื่อตอนเย็น ผมบอกยายเกล็ดแก้วว่าคืนนี้มุสคงฟื้นพลังและข้ามมิติไม่ได้แน่ๆ ยายนั่นก็กระฟัดกระเฟียดนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ยอมกลับบ้านไป ก่อนกลับยังหันมาย้ำกับผมอีกว่า อย่างไรเสียก็ต้องให้เธออยู่ด้วยเวลาที่พวกผมข้ามมิติ ผมจึงนัดกับเธอที่สวนจำลองอีกครั้งในวันถัดไป
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เจ้าปุยอิมซึ่งนอนอยู่ข้างตัวผมจึงโงหัวขึ้นมามองเป็นระยะ สุดท้ายมันก็ย้ายไปนอนที่ปลายเตียง
ภาพยามที่คนชุดดำพยายามจะทำร้ายผมตอนที่อยู่ในมิติของมุสคอยแต่จะผุดขึ้นในหัว พอนึกถึงภาพนั้นทีไรผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มือทั้งสองเย็นเยียบด้วยความกลัว
ผมกลัวว่าเขาจะหาผมพบ ผมกลัวเขาจะทำร้ายผมอีก และที่สำคัญ ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการทำร้ายผมเพราะอะไร
ตอนที่เห็นเขาบนถนนก่อนหน้านี้ ผมยังไม่รู้สึกกลัวเท่าไร ไม่คิดว่าจะต้องข้ามมิติไปพบกับเขา แต่พอนึกถึงว่ามุสต้องการพาผมข้ามไปเพื่อยืนยันตัวคนชุดดำนั่นแล้ว ผมก็ยิ่งกลัวขึ้นมา
แล้วถ้าคนชุดดำนั่นทำร้ายผมอีกเล่า...ผมควรจะข้ามมิติไปดีหรือ
นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็หันมองไปทางโคชานที่หมอบนอนอยู่ในที่นอนของมันตรงมุมห้องผม ...บางทีผมน่าจะเอายาฆ่าเชื้อพ่นใส่มันอีกสักรอบ ผมจะได้มีข้ออ้างไม่ต้องข้ามมิติไปพบกับคนผู้นั้น
แต่...จะดีหรือ มันเป็นการทำร้ายเพื่อนไม่ใช่หรือ
คิดอย่างนั้นแล้วผมก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ มองไปที่เพดาน ไหนตอนแรกอยากข้ามมิตินักหนา ทว่าตอนนี้เกิดกลัวขึ้นมา
ผมชำเลืองไปทางโคชานอีกครั้ง เห็นอุ้งเท้าทั้งสี่ของมันตะกุยหมอน ทำหน้าตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางกำลังฝันว่าต่อสู้กับใครอยู่
เอาน่ะ ผมเชื่อว่าเพื่อนตัวยุ่งของผมจะสู้กับคนผู้นั้นได้ ขอแค่ผมเกาะติดเขาไว้เป็นพอ หมอนั่นต้องไม่ปล่อยให้ผมถูกทำร้ายแน่ๆ
---
“พร้อมนะ” เอธร่าหันมาถาม
ผมผงกศีรษะรับ พยายามสะกดจิตตัวเองให้มีความมั่นใจ
“ทางนี้ก็พร้อม” ยายเกล็ดแก้วส่งเสียงมา เธอยืนอยู่ห่างจากผมและเอธร่าซึ่งยืนอยู่หน้าต้นไม้ที่ชื่ออะไรปูๆ ไปเล็กน้อย พลางยื่นข้อมือมาด้านหน้าเพื่อใช้สายรัดข้อมือบันทึก ‘ภาพประวัติศาสตร์’ เอาไว้
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่มาทั้งคืน (กับอีกวันครึ่ง ณ ใต้ร่มไม้ในสวนจำลอง) พลังของเพื่อนผมก็ฟื้นขึ้นมามากพอที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นเอธร่าได้
ยายผงซิลิก้าเห็นแบบนั้นก็ตื่นเต้นใหญ่ เธอบอกว่าจะขอบันทึกภาพตอนที่พวกเราข้ามมิติไว้ ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเอธร่ายิ่งยืดอกภูมิใจเสียด้วยซ้ำ
ผมสลับสัญญาณสายรัดข้อมือ แล้วเอาสายรัดข้อมือสีเทาของผม กับเส้นสีเขียวที่เกล็ดแก้วให้ฝากไว้กับเธอ ส่วนผม (ถูกบังคับให้) สวมสายรัดข้อมือสีชมพูหวานติดตัวไว้ แล้วสวมชุดกันเชื้อ แบกเป้ใบโตขึ้นหลัง จากนั้นจึงก้าวไปสมทบกับเอธร่าที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้
หมอนั่นยื่นมือจับต้นคอผมไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะหดวูบพร้อมดึงเอาตัวผมผลุบเข้าไปในความสว่างวาบ
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๕
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๔ https://ppantip.com/topic/40033452
###
บทที่ ๕
ผมนัดเกล็ดแก้วไว้ที่สวนจำลองในวันต่อมา
ผมเอาโคชานจิ๋วในชุดกันเชื้อใส่มาในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ พร้อมกับอาหารแห้ง อาหารอัดเม็ด เครื่องผลิตน้ำที่ช่วยดึงไฮโดรเจนกับออกซิเจนจากอากาศมาผลิตเป็นน้ำสะอาด (ถ้ามิติที่จะไปมีก๊าซเหล่านี้อยู่น่ะนะ) และของจำเป็นอื่นๆ ที่น่าจะต้องใช้ในต่างมิติด้วย
พอมาถึงสวนจำลอง ผมก็เห็นยายเกล็ดแก้วนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขามากมายต้นหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าต้นไม้นั้นเรียกว่าอะไร รู้สึกจะชื่อคล้ายๆ สัตว์น้ำสักอย่างในสมัยก่อน
เอาเป็นว่ายายนั่นเห็นผมแล้วก็ยืนขึ้นพร้อมโบกมือเรียก ผมจึงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา แล้ววางกระเป๋าเป้ไว้บนม้านั่ง
“เอาสายรัดข้อมือมาด้วยรึเปล่า” ยายนั่นถามระหว่างที่ผมกำลังเปิดกระเป๋า หยิบเจ้าเพื่อนตัวยุ่งออกมา
“เอามาสิ” ผมบอก วางเพื่อนผมลงบนม้านั่ง แล้วล้วงกระเป๋าหยิบสายรัดข้อมือสีสดใสสองสีขึ้นมาชูให้เธอดู
ยายผงซิลิก้าผงกศีรษะ แล้วจึงช่วยผมแกะโคชานที่นั่งรอตาแป๋วอยู่ออกจากชุดกันเชื้อ “ฟังจากที่นายเล่า” ยายนั่นบอก “ฉันเดาว่าระดับพลังของโคชานน่าสัมพันธ์กับต้นไม้และแสงแดด...”
ผมส่งเสียงรับในลำคอ ตอนที่โคชานติดอยู่ในมิติของผมครั้งแรก เขาเปลี่ยนร่างคืนเป็นเอธร่าแล้วข้ามมิติกลับไปได้หลังจากที่ต่อสู้กับพวกนักเวทในสวนจำลองสักพักหนึ่ง และอีกครั้งก็เป็นตอนที่เราข้ามไปยังมิติของปราบแดน ตอนนั้นโคชานถูกปราบแดนพ่นยาฆ่าเชื้อใส่จนสลบไป รอจนเราขึ้นไปอาบแดดบนรังของพวกมาฮูวานั่นละ เขาถึงเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่าได้อีก
คราวนี้หวังว่าผมกับเกล็ดแก้วจะเดาไม่ผิด...
พอออกจากชุดกันเชื้อได้แล้ว ยายผงซิลิก้าก็วางโคชานไว้บนม้านั่งด้านขวาของเธอ หมอนั่นก็เริ่มเหยียดแขนขา ผมจึงต้องก้าวมานั่งที่ด้านซ้ายของเกล็ดแก้วเพราะกลัวมันจะสะบัดขนจนฟุ้งกระจาย แล้วทำให้ผมจามอีก
หมอนั่นบิดเนื้อบิดตัวสักพักก็หมอบลง อ้าปากหาวยาวๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบหน้าหลับตา ยายเกล็ดแก้วเห็นอย่างนั้นแล้วก็หันมาจ้องผม กะพริบตาปริบๆ “แล้วจะเอายังไงต่อ”
ผมยักไหล่ทีหนึ่ง “คงต้องรอนั่นละ”
---
ระหว่างที่รอโคชานนอนหลับอย่างสบายใจ ยายเกล็ดแก้วก็ได้โอกาสชวนผมเข้าห้องสมุดอีก (นั่นละ ลองยายนี่หมกมุ่นอยู่กับอะไรแล้วละก็ ไม่ยอมเลิกง่ายๆ แน่) แต่ตอนนั้นเราไม่มีชุดจับความเคลื่อนไหว เธอจึงแค่เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ห้องสมุด แล้วเรียกหนังสือเล่มนั้นออกมาในลักษณะของภาพโฮโลแกรม หนังสือที่อยู่ในรูปแบบภาพโฮโลแกรมจะฉายภาพซ้ำซ้อนอีกไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องดูรูปไดโนเสาร์ที่เป็น ‘เสมือน’ ภาพสองมิติบนกระดาษแทน
ตัวแรกที่ยายผงซิลิก้าจิ้มให้ดูเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างเทอะทะ คอและหางยาวหนาประกอบไปด้วยหนาม แต่หัวเล็กไม่สมส่วน ขาทั้งสี่ที่ยืนอยู่บนพื้นดูเป็นท่อนเป็นลำ น่าจะช่วยรับน้ำหนักลำตัวได้ดี
“อาลาโมซอรัส ตัวนี้กินพืช ตัวใหญ่มากเลยนะ” ยายนั่นบอก แต่ผมยังนึกไม่ออกว่ามันจะใหญ่ได้เท่าไหน เท่าอัลโลซอรัสที่เธอจิ้มให้ผมดูเมื่อวานรึเปล่า
“แต่มันประหลาดมากเลยนะ หัวเล็กแค่นั้นจะกินอาหารยังไง”
“ก็คงเคี้ยวๆ แล้วก็กลืนนั่นละ” ยายผงซิลิก้าว่า “ช่างเถอะ ดูตัวนี้สิ ตัวนี้ก็ประหลาด” เธอชี้ให้ผมดูไดโนเสาร์ในหน้าถัดไป มันมีลำตัวป้อม ขาหน้าสั้น ขาหลังยาว แต่จุดเด่นที่สำคัญคือ หลังของมันมีแผ่นกระโดงเรียงรายตั้งแต่คอจนถึงหาง ปลายหางยังมีเดือยแหลมยื่นออกมาที่ด้านข้างอีก ผมอ่านชื่อที่ด้านข้าง มันคือ สเตโกซอรัส
ผมดูภาพไดโนเสาร์อื่นๆ อีกหลายชนิดจนมึนหัวไปหมด บางตัวก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน บางตัวก็มีลักษณะเฉพาะแปลกๆ หลายตัวก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยมีชีวิตอยู่จริงในบนโลกนี้...ผมหมายถึง ในมิตินี้
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนยายผงซิลิก้าเริ่มหายตื่นเต้น ผมจึงหันไปเห็นโคชานจิ๋วอ้าปากหาวกว้างๆ ทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นบิดตัวเสียเหยียดยาว ครู่ต่อมาหมอนั่นก็เปลี่ยนจากร่างเสือกึ่งสิงโตมาเป็นมุส
“เป็นยังไงบ้าง” ผมถามออกไป
“หลับสบายดี” เพื่อนผมบอก พลางอ้าปากหาวอีกรอบ
“ฉันหมายถึงพลังของนายน่ะ กลับมารึยัง”
แต่แทนที่หมอนั่นจะให้คำตอบผมตรงๆ เขากลับผายมือออก “ก็กลับมาอย่างที่เห็นนี่ไง”
แสดงว่ายังเปลี่ยนเป็นเอธร่าไม่ได้...
“เอ้อ เกล็ดแก้ว ยังมีไดโนเสาร์ตัวอื่นให้ดูอีกรึเปล่า” ผมหันไปทางภาพโฮโลแกรมของหนังสือเล่มโต ไม่สนใจหมอนั่นอีก
“ก็ยังมีอีกตั้งหลายสายพันธุ์นะ ฉันเองก็ยังดูไม่ครบ” ยายนั่นก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มที่ภาพหนังสือโดยไม่สนใจเพื่อนต่างมิตินิสัยเสียเช่นกัน
ผมกับเกล็ดแก้วเปิดภาพไดโนเสาร์ดูอีกสักพัก เพื่อนนิสัยเสียของผมก็เริ่มย้ายตัวเองมายืนด้านหลัง แล้วยื่นหน้ามามองหนังสือที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“นี่มัน...หัวขโมยโฉบเฉี่ยวนี่”
ผมกับเกล็ดแก้วเงยหน้าหันไปมองหมอนั่นโดยพร้อมเพรียง จากนั้นจึงหันมามองภาพในหนังสือตรงหน้า มันเป็นไดโนเสาร์พันธุ์เล็ก หน้ายาว ขาหน้าสั้นมีขนคล้ายปีกนก ขาหลังยาว มีเดือยแหลมที่เท้า หางยาวและมีขนคล้ายนกด้วย
ว่าแต่ อะไรคือหัวขโมยโฉบเฉี่ยว...
“ก็ตัวนี้อย่างไรเล่า” หมอนั้นว่า หลังจากที่ผมกับเกล็ดแก้วหันไปมองเขาตาปริบๆ “มันอยู่ในมิติของเพื่อนข้า” เขาบอกแล้วก็ยกมือกอดอก “พวกเจ้าอย่าบอกนะว่ามีใครไปต่างมิติแล้วเอากลับมาเล่าเป็นตุเป็นตะอย่างตำนานของพวกเจ้าอีกน่ะ”
ผมกับเกล็ดแก้วหันมองหน้ากัน...
“นี่ไม่ใช่ตำนาน” ยายผงซิลิก้าเป็นคนเอ่ย “ไดโนเสาร์พวกนี้เคยอยู่บนโลกนี้จริงๆ ยังมีโครงกระดูกอยู่เลย”
หมอนั่นกะพริบตามองเกล็ดแก้วอยู่สักพัก แล้วหันมาทางผมเป็นเชิงขอคำยืนยัน ผมยักไหล่เป็นคำตอบเพราะผมเองก็ไม่เคยเห็นโครงกระดูกสัตว์พวกนี้เหมือนกัน หมอนั่นไม่ได้คำตอบจากผมก็หันกลับไปทางยายผงซิลิก้า อ้าปากคล้ายจะพูดอะไร แต่แล้วก็หุบกลับไปใหม่...ฉลาดมากที่ไม่เถียงยายจอมบงการนี่
“เอาละ” ยายเกล็ดแก้วว่า พลางหมุนตัวมาทางมุส “นายจะเล่าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
เพื่อนต่างมิติของผมฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเครียดลง “ข้าพบคนชุดดำนั่นในมิติของเพื่อนข้า พอเจอตัวปุ๊บข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเป็นคนที่ฆ่ามังกรในมิติของข้าแล้วหนีไปกบดานในต่างมิติแน่ๆ”
“นายรู้ได้ยังไงว่าเขาหนีไปจากมิติของนาย ก็นายไม่เคยเห็นเขาไม่ใช่หรือ” ยายเกล็ดแก้วซัก
“เขามีลักษณะต่างจากคนในมิติของเพื่อนข้า ข้าย่อมรู้ว่าเขามาจากต่างมิติอย่างแน่นอน”
“ต่างยังไง” ยายเกล็ดแก้วถามอีก
“ต่างสิ...เขาตัวใหญ่กว่าเพื่อนๆ ของข้าตั้งเยอะ”
“ฉันไม่เห็นว่าเขาจะตัวใหญ่ตรงไหน” ยายผงซิลิก้าแย้ง แล้วมองมาทางผม “น่าจะตัวพอๆ กับนายนั่นละ”
“แต่เขาตัวใหญ่กว่าเพื่อนข้า ใหญ่กว่าสักสี่ห้าเท่าเลยทีเดียว”
“เดี๋ยวนะ แล้วเพื่อนนายตัวแค่ไหน” ผมถามออกไปบ้าง ขืนปล่อยให้สองคนนี้คุยกันต่อไปคงไม่รู้เรื่องแน่
“ตัวก็...ประมาณนี้” หมอนั่นค้อมตัวลง วางมือในระดับหัวเข่า
เอาเป็นว่าเพื่อนของเขาตัวเล็กนั่นเอง...เฮ้อ!
“แล้วยังไงต่อ” ยายนั่นซักอีก
“พอข้าเห็นเขาก็รู้ว่าต้องมาจากที่อื่น ข้าจึงกระโจนเข้าไปจะจับเขามาถามให้รู้เรื่อง แต่เขาก็วิ่งหนีไป เขาวิ่งเร็วมากทีเดียว ข้าจึงต้องเปลี่ยนร่างเป็นโคชาน บินไปดักหน้าเขา แต่เขากลับหันหลังกลับ วิ่งหนีเข้ารกเข้าพงทำให้ข้าบินตามไปไม่ได้”
ก็น่าอยู่หรอก ปีกใหญ่ขนาดนั้นจะบินฝ่าต้นไม้ใบหญ้าไปยังไง
“ข้าเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส กระโดดเข้าพงตามไปติดๆ” หมอนั่นเล่าต่อไป “พอออกจากพงได้แล้วข้าจึงเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่า คิดว่าจะบินไปดักหน้าเขาไว้อีก แต่เขากลับเปิดโพรงมิติหนีข้ามมาเสียก่อน โพรงมิตินั่นปิดเร็วมาก ข้าต้องใช้พลังง้างโพรงมิตินั่นไว้ แล้วกระโดดตามมา ถึงพบว่าโพรงมิตินั่นโยงมาที่นี่”
“แต่...ทำไมเขาต้องมาที่นี่ล่ะ ทำไมไม่ไปที่อื่น” ยายผงซิลิก้าถามอีก
“ข้าจะไปรู้เรอะ ข้าเพิ่งพบเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันพูดอะไรเขาก็หนีเอาๆ”
เอ่อ...ก็นายไปไล่ล่าเขานี่
“สรุปว่าไม่มีอะไรมาก แค่นายเจอเขา แล้วก็ไล่จับกันจนมาโผล่ที่นี่” ยายนั่นสรุปสั้นๆ แล้วก็ส่ายหน้าระอา
“แต่ก็ไม่แน่นะ” ผมขัดขึ้นเบาๆ ในหัวยังใช้ความคิด “มุส เวลาที่นายข้ามมิติ นายจำเป็นต้องรู้ทุกครั้งรึเปล่าว่าปลายทางคือมิติไหน”
หมอนั่นยักไหล่ทีหนึ่ง “ไม่หรอก อย่างตอนที่ข้ามมามิตินายครั้งแรก ข้าก็สุ่มเอา ไม่อย่างนั้นจะไปสำรวจมิติใหม่ๆ ได้อย่างไร” ว่าแล้วหมอนั่นก็ยืดอกเชิดคออย่างภาคภูมิ
ยายเกล็ดแก้วไม่ได้สนใจคำพูดตอนท้ายของมุส เธอหันมาทางผม “นายกำลังจะบอกว่า คนชุดดำนั่นอาจจะ สุ่มเปิดมิติมาอย่างนั้นหรือ”
“มันก็เป็นไปได้นี่” ผมตอบกลับไป
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปที่นี่ อาจจะไปในมิติใหม่ๆ ที่ทั้งนายทั้งมุสไม่รู้จักก็ได้”
ผมพยักหน้าเห็นพ้อง “มุส ถ้าเป็นอย่างนี้นายจะไปตามหาเขาได้ยังไง”
หมอนั่นเผยอปากนิดหนึ่งแต่ไม่กล่าวอะไร คาดว่าเขาเองก็คงไม่มีคำตอบเช่นกัน
---
มุสอยู่บ้านผมอีกคืนหนึ่ง
เมื่อตอนเย็น ผมบอกยายเกล็ดแก้วว่าคืนนี้มุสคงฟื้นพลังและข้ามมิติไม่ได้แน่ๆ ยายนั่นก็กระฟัดกระเฟียดนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ยอมกลับบ้านไป ก่อนกลับยังหันมาย้ำกับผมอีกว่า อย่างไรเสียก็ต้องให้เธออยู่ด้วยเวลาที่พวกผมข้ามมิติ ผมจึงนัดกับเธอที่สวนจำลองอีกครั้งในวันถัดไป
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เจ้าปุยอิมซึ่งนอนอยู่ข้างตัวผมจึงโงหัวขึ้นมามองเป็นระยะ สุดท้ายมันก็ย้ายไปนอนที่ปลายเตียง
ภาพยามที่คนชุดดำพยายามจะทำร้ายผมตอนที่อยู่ในมิติของมุสคอยแต่จะผุดขึ้นในหัว พอนึกถึงภาพนั้นทีไรผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มือทั้งสองเย็นเยียบด้วยความกลัว
ผมกลัวว่าเขาจะหาผมพบ ผมกลัวเขาจะทำร้ายผมอีก และที่สำคัญ ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการทำร้ายผมเพราะอะไร
ตอนที่เห็นเขาบนถนนก่อนหน้านี้ ผมยังไม่รู้สึกกลัวเท่าไร ไม่คิดว่าจะต้องข้ามมิติไปพบกับเขา แต่พอนึกถึงว่ามุสต้องการพาผมข้ามไปเพื่อยืนยันตัวคนชุดดำนั่นแล้ว ผมก็ยิ่งกลัวขึ้นมา
แล้วถ้าคนชุดดำนั่นทำร้ายผมอีกเล่า...ผมควรจะข้ามมิติไปดีหรือ
นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็หันมองไปทางโคชานที่หมอบนอนอยู่ในที่นอนของมันตรงมุมห้องผม ...บางทีผมน่าจะเอายาฆ่าเชื้อพ่นใส่มันอีกสักรอบ ผมจะได้มีข้ออ้างไม่ต้องข้ามมิติไปพบกับคนผู้นั้น
แต่...จะดีหรือ มันเป็นการทำร้ายเพื่อนไม่ใช่หรือ
คิดอย่างนั้นแล้วผมก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ มองไปที่เพดาน ไหนตอนแรกอยากข้ามมิตินักหนา ทว่าตอนนี้เกิดกลัวขึ้นมา
ผมชำเลืองไปทางโคชานอีกครั้ง เห็นอุ้งเท้าทั้งสี่ของมันตะกุยหมอน ทำหน้าตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางกำลังฝันว่าต่อสู้กับใครอยู่
เอาน่ะ ผมเชื่อว่าเพื่อนตัวยุ่งของผมจะสู้กับคนผู้นั้นได้ ขอแค่ผมเกาะติดเขาไว้เป็นพอ หมอนั่นต้องไม่ปล่อยให้ผมถูกทำร้ายแน่ๆ
---
“พร้อมนะ” เอธร่าหันมาถาม
ผมผงกศีรษะรับ พยายามสะกดจิตตัวเองให้มีความมั่นใจ
“ทางนี้ก็พร้อม” ยายเกล็ดแก้วส่งเสียงมา เธอยืนอยู่ห่างจากผมและเอธร่าซึ่งยืนอยู่หน้าต้นไม้ที่ชื่ออะไรปูๆ ไปเล็กน้อย พลางยื่นข้อมือมาด้านหน้าเพื่อใช้สายรัดข้อมือบันทึก ‘ภาพประวัติศาสตร์’ เอาไว้
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่มาทั้งคืน (กับอีกวันครึ่ง ณ ใต้ร่มไม้ในสวนจำลอง) พลังของเพื่อนผมก็ฟื้นขึ้นมามากพอที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นเอธร่าได้
ยายผงซิลิก้าเห็นแบบนั้นก็ตื่นเต้นใหญ่ เธอบอกว่าจะขอบันทึกภาพตอนที่พวกเราข้ามมิติไว้ ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ส่วนเอธร่ายิ่งยืดอกภูมิใจเสียด้วยซ้ำ
ผมสลับสัญญาณสายรัดข้อมือ แล้วเอาสายรัดข้อมือสีเทาของผม กับเส้นสีเขียวที่เกล็ดแก้วให้ฝากไว้กับเธอ ส่วนผม (ถูกบังคับให้) สวมสายรัดข้อมือสีชมพูหวานติดตัวไว้ แล้วสวมชุดกันเชื้อ แบกเป้ใบโตขึ้นหลัง จากนั้นจึงก้าวไปสมทบกับเอธร่าที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้
หมอนั่นยื่นมือจับต้นคอผมไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะหดวูบพร้อมดึงเอาตัวผมผลุบเข้าไปในความสว่างวาบ
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ