คนพูดน้อย
เรื่องสั้น
คนพูดน้อย
เพทาย
วันนั้นเป็นวันเกิดของ นายพึง เพื่อนร่วมวงของผม เราจึงนัดมาพบกันอย่างเคยที่ร้านเจ้าประจำ แถวตรอกโรงหนังเก่าย่านบางลำพู แต่ ผม กับ นายหงอกติดธุระจึงไปถึงที่หมายเอาเมื่อเลยเวลาค่ำย่ำสนธยาลงแล้ว ก็พบว่าเพื่อนพ้องที่ตั้งวงมาเมื่อชั่วโมงก่อนคือ นายชัน นายจิน นายพึง และใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ต่างก็มีสีชมพูแต้มบนใบหน้าไปตาม ๆ กันแล้ว ด้วยฤทธิ์ของบรั่นดีไทยชื่อฝรั่งที่พร่องไปกว่าครึ่ง
เมื่อได้คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงทราบว่าชายกลางคนค่อนไปทางแก่ ที่ผมไม่รู้จักนั้น คือเพื่อนของนายจิน เมื่อเราทักกันเขาเพียงแต่ยิ้มท่าทางเรียบร้อยเงียบขรึม แต่ดูอารมณ์ดี เพราะเห็นยิ้มอยู่เรื่อย
เมื่อผมซดเบียร์ตามเพื่อนฝูงไปได้อีกเกือบชั่วโมง เสียงคุยเรื่องสัพเพเหระของโต๊ะเราก็ชักจะดังมากว่าโต๊ะอื่น ๆ แต่ที่นั่นไม่มีใครถือสากัน ใครใคร่ดังก็ดังไป ถ้าอยู่ภายในโต๊ะของตนเอง คนอื่นก็ไม่เกี่ยว
นายหงอกนักเล่าเรื่องโจ๊กประจำคณะซึ่งล่อเบียร์เข้าไปหลายแก้วแล้ว ก็เริ่มต้นเล่านิทานในวงเหล้าขึ้น ซึ่งพวกเรารู้กันว่า จะต้องคาบเส้นเสมอ
"พวกแกรู้ดีอยู่แล้วว่า คนอิสานเขาเรียกควายว่ายังไง ใช้มั้ย"
เขาเริ่มเกริ่น นายจิ้นรีบตอบ "เขาเรียก...."
นายหงอกรีบตะครุบปากไว้ก่อนที่คำนั้นจะหลุดออกมาจริง ๆ เพราะเสียงหมอดังคับร้าน
"เอาละ รู้กันแล้วก็แแล้วไป ตานี้มีคนกรุงเทพคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าชาวอิสานจะเรียกยังงี้ทุกคนหรือเปล่า เมื่อมีโอกาสไปทางภาคอิสาน ก็เดินไปตามท้องนา เจอเด็กนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบขี่ควายผ่านมา ก็ถามว่า
“หนูเอ๋ยเจ้าขี่อันหยังมา"
นายหงอกทอดจังหวะ
"พวกแกรู้ไหมว่าเด็กตอบว่าไง"
ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็อมยิ้ม เดาไม่ถูกว่านายหงอกจะเลี่ยงอย่างไรไม่ให้ต่ำกว่าเส้นแดง แล้วเขาก็ต่อว่า
"เด็กตอบว่า หนูขี่กระบือจ้ะลุง"
พลันเสียงฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งโต๊ะ ผมเอากระดาษเช็ดมือขึ้นซับน้ำตา แล้วหันไปถามเพื่อนใหม่ซึ่งเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ว่า
“ เจ้าหงอกมันฉลาดนะครับ เลี่ยงไปจนได้ “
แกก็ยิ้มอยู่อย่างเดิม แต่ไม่ตอบว่าอะไร ผมนึกในใจว่าคนพูดน้อยนี่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้คนหนึ่ง
นายพึงซึ่งเป็นครู ก็เล่าเรื่องขึ้นมาบ้างว่า
เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พอรับยาแล้วจะเดินกลับออกมาขึ้นรถ เจอยายแก่คนหนึ่ง แกถามว่า
“ ช่องห้านี่ อยู่ทางไหนจ๊ะพ่อหนุ่ม “
“ สนามเป้าแค่นี้เองครับยาย “
“ แล้วช่องเจ็ดล่ะอยู่ไกลกันมั้ย ? “
“ ไม่ไกลหรอกป้า เลยจากช่องห้าไปแค่หมอชิตเก่าเอง “
“ แล้วช่องสามล่ะ อยู่ไหน ? “
“ โอยไกลลิบถึงหนองแขมโน่นแน่ะ ยายจะไปทำไม วันเดียวสามช่องเลยเรอะ “
“ อ้าว ก็ดูนี่ซิ หมอเขาสั่งยังงี้ “
แกก็ยื่นกระดาษในมือให้ฉันดู มันคือใบสั่งยาของโรงพยาบาลนั้นเอง แต่ ด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกา ความว่า จ่ายเงินช่อง ๕ รับยาช่อง ๗ แล้วไปทำบัตรใหม่ที่ช่อง ๓ ! ! !
เสียงฮาก็ดังประสานกันขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าคุณยายหรือนายพึงกันแน่ที่เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้
ผมก็หันไปเห็นเพื่อนใหม่นั่งยิ้มอยู่อย่างเดิม อดไม่ได้จึงถามอีกว่า
"พี่ไม่ขำหรอกหรือครับ"
แกกลับย้อนถามว่า "ว่าไงนะ"
ผมชักฉุน "ผมถามว่าพี่ไม่ขำเหรอไง"
แกกลับเร่งเสียงดังขึ้นอีก "หา...ว่าไงนะ"
ก่อนที่ผมจะคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป นายจิ้นก็เอื้อม
มือมาสะกิดขา
"...อย่าไปเซ้าซี้แกนักเลย ปล่อยให้กินเหล้าตามสบายเถอะ...”
เมื่อผมทำสีหน้าไม่เข้าใจ นายจิ้นจึงบอกต่อว่า
“ แกหูตึงว่ะ"
################
คนพูดน้อย ๓๐ ก.ย.๕๘
เรื่องสั้น
คนพูดน้อย
เพทาย
วันนั้นเป็นวันเกิดของ นายพึง เพื่อนร่วมวงของผม เราจึงนัดมาพบกันอย่างเคยที่ร้านเจ้าประจำ แถวตรอกโรงหนังเก่าย่านบางลำพู แต่ ผม กับ นายหงอกติดธุระจึงไปถึงที่หมายเอาเมื่อเลยเวลาค่ำย่ำสนธยาลงแล้ว ก็พบว่าเพื่อนพ้องที่ตั้งวงมาเมื่อชั่วโมงก่อนคือ นายชัน นายจิน นายพึง และใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ต่างก็มีสีชมพูแต้มบนใบหน้าไปตาม ๆ กันแล้ว ด้วยฤทธิ์ของบรั่นดีไทยชื่อฝรั่งที่พร่องไปกว่าครึ่ง
เมื่อได้คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงทราบว่าชายกลางคนค่อนไปทางแก่ ที่ผมไม่รู้จักนั้น คือเพื่อนของนายจิน เมื่อเราทักกันเขาเพียงแต่ยิ้มท่าทางเรียบร้อยเงียบขรึม แต่ดูอารมณ์ดี เพราะเห็นยิ้มอยู่เรื่อย
เมื่อผมซดเบียร์ตามเพื่อนฝูงไปได้อีกเกือบชั่วโมง เสียงคุยเรื่องสัพเพเหระของโต๊ะเราก็ชักจะดังมากว่าโต๊ะอื่น ๆ แต่ที่นั่นไม่มีใครถือสากัน ใครใคร่ดังก็ดังไป ถ้าอยู่ภายในโต๊ะของตนเอง คนอื่นก็ไม่เกี่ยว
นายหงอกนักเล่าเรื่องโจ๊กประจำคณะซึ่งล่อเบียร์เข้าไปหลายแก้วแล้ว ก็เริ่มต้นเล่านิทานในวงเหล้าขึ้น ซึ่งพวกเรารู้กันว่า จะต้องคาบเส้นเสมอ
"พวกแกรู้ดีอยู่แล้วว่า คนอิสานเขาเรียกควายว่ายังไง ใช้มั้ย"
เขาเริ่มเกริ่น นายจิ้นรีบตอบ "เขาเรียก...."
นายหงอกรีบตะครุบปากไว้ก่อนที่คำนั้นจะหลุดออกมาจริง ๆ เพราะเสียงหมอดังคับร้าน
"เอาละ รู้กันแล้วก็แแล้วไป ตานี้มีคนกรุงเทพคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าชาวอิสานจะเรียกยังงี้ทุกคนหรือเปล่า เมื่อมีโอกาสไปทางภาคอิสาน ก็เดินไปตามท้องนา เจอเด็กนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบขี่ควายผ่านมา ก็ถามว่า
“หนูเอ๋ยเจ้าขี่อันหยังมา"
นายหงอกทอดจังหวะ
"พวกแกรู้ไหมว่าเด็กตอบว่าไง"
ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็อมยิ้ม เดาไม่ถูกว่านายหงอกจะเลี่ยงอย่างไรไม่ให้ต่ำกว่าเส้นแดง แล้วเขาก็ต่อว่า
"เด็กตอบว่า หนูขี่กระบือจ้ะลุง"
พลันเสียงฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งโต๊ะ ผมเอากระดาษเช็ดมือขึ้นซับน้ำตา แล้วหันไปถามเพื่อนใหม่ซึ่งเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ว่า
“ เจ้าหงอกมันฉลาดนะครับ เลี่ยงไปจนได้ “
แกก็ยิ้มอยู่อย่างเดิม แต่ไม่ตอบว่าอะไร ผมนึกในใจว่าคนพูดน้อยนี่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้คนหนึ่ง
นายพึงซึ่งเป็นครู ก็เล่าเรื่องขึ้นมาบ้างว่า
เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พอรับยาแล้วจะเดินกลับออกมาขึ้นรถ เจอยายแก่คนหนึ่ง แกถามว่า
“ ช่องห้านี่ อยู่ทางไหนจ๊ะพ่อหนุ่ม “
“ สนามเป้าแค่นี้เองครับยาย “
“ แล้วช่องเจ็ดล่ะอยู่ไกลกันมั้ย ? “
“ ไม่ไกลหรอกป้า เลยจากช่องห้าไปแค่หมอชิตเก่าเอง “
“ แล้วช่องสามล่ะ อยู่ไหน ? “
“ โอยไกลลิบถึงหนองแขมโน่นแน่ะ ยายจะไปทำไม วันเดียวสามช่องเลยเรอะ “
“ อ้าว ก็ดูนี่ซิ หมอเขาสั่งยังงี้ “
แกก็ยื่นกระดาษในมือให้ฉันดู มันคือใบสั่งยาของโรงพยาบาลนั้นเอง แต่ ด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกา ความว่า จ่ายเงินช่อง ๕ รับยาช่อง ๗ แล้วไปทำบัตรใหม่ที่ช่อง ๓ ! ! !
เสียงฮาก็ดังประสานกันขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าคุณยายหรือนายพึงกันแน่ที่เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้
ผมก็หันไปเห็นเพื่อนใหม่นั่งยิ้มอยู่อย่างเดิม อดไม่ได้จึงถามอีกว่า
"พี่ไม่ขำหรอกหรือครับ"
แกกลับย้อนถามว่า "ว่าไงนะ"
ผมชักฉุน "ผมถามว่าพี่ไม่ขำเหรอไง"
แกกลับเร่งเสียงดังขึ้นอีก "หา...ว่าไงนะ"
ก่อนที่ผมจะคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป นายจิ้นก็เอื้อม
มือมาสะกิดขา
"...อย่าไปเซ้าซี้แกนักเลย ปล่อยให้กินเหล้าตามสบายเถอะ...”
เมื่อผมทำสีหน้าไม่เข้าใจ นายจิ้นจึงบอกต่อว่า
“ แกหูตึงว่ะ"
################