คนพูดน้อย ๓๐ ก.ย.๕๘

คนพูดน้อย

เรื่องสั้น

คนพูดน้อย

เพทาย

วันนั้นเป็นวันเกิดของ นายพึง เพื่อนร่วมวงของผม เราจึงนัดมาพบกันอย่างเคยที่ร้านเจ้าประจำ แถวตรอกโรงหนังเก่าย่านบางลำพู แต่ ผม กับ นายหงอกติดธุระจึงไปถึงที่หมายเอาเมื่อเลยเวลาค่ำย่ำสนธยาลงแล้ว ก็พบว่าเพื่อนพ้องที่ตั้งวงมาเมื่อชั่วโมงก่อนคือ นายชัน นายจิน นายพึง และใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ต่างก็มีสีชมพูแต้มบนใบหน้าไปตาม ๆ กันแล้ว ด้วยฤทธิ์ของบรั่นดีไทยชื่อฝรั่งที่พร่องไปกว่าครึ่ง

เมื่อได้คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงทราบว่าชายกลางคนค่อนไปทางแก่ ที่ผมไม่รู้จักนั้น คือเพื่อนของนายจิน เมื่อเราทักกันเขาเพียงแต่ยิ้มท่าทางเรียบร้อยเงียบขรึม แต่ดูอารมณ์ดี เพราะเห็นยิ้มอยู่เรื่อย

เมื่อผมซดเบียร์ตามเพื่อนฝูงไปได้อีกเกือบชั่วโมง เสียงคุยเรื่องสัพเพเหระของโต๊ะเราก็ชักจะดังมากว่าโต๊ะอื่น ๆ แต่ที่นั่นไม่มีใครถือสากัน ใครใคร่ดังก็ดังไป ถ้าอยู่ภายในโต๊ะของตนเอง คนอื่นก็ไม่เกี่ยว

นายหงอกนักเล่าเรื่องโจ๊กประจำคณะซึ่งล่อเบียร์เข้าไปหลายแก้วแล้ว ก็เริ่มต้นเล่านิทานในวงเหล้าขึ้น ซึ่งพวกเรารู้กันว่า จะต้องคาบเส้นเสมอ

"พวกแกรู้ดีอยู่แล้วว่า คนอิสานเขาเรียกควายว่ายังไง ใช้มั้ย"

เขาเริ่มเกริ่น นายจิ้นรีบตอบ "เขาเรียก...."

นายหงอกรีบตะครุบปากไว้ก่อนที่คำนั้นจะหลุดออกมาจริง ๆ เพราะเสียงหมอดังคับร้าน

"เอาละ รู้กันแล้วก็แแล้วไป ตานี้มีคนกรุงเทพคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าชาวอิสานจะเรียกยังงี้ทุกคนหรือเปล่า เมื่อมีโอกาสไปทางภาคอิสาน ก็เดินไปตามท้องนา เจอเด็กนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบขี่ควายผ่านมา ก็ถามว่า

“หนูเอ๋ยเจ้าขี่อันหยังมา"

นายหงอกทอดจังหวะ

"พวกแกรู้ไหมว่าเด็กตอบว่าไง"

ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็อมยิ้ม เดาไม่ถูกว่านายหงอกจะเลี่ยงอย่างไรไม่ให้ต่ำกว่าเส้นแดง แล้วเขาก็ต่อว่า

"เด็กตอบว่า หนูขี่กระบือจ้ะลุง"

พลันเสียงฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งโต๊ะ ผมเอากระดาษเช็ดมือขึ้นซับน้ำตา แล้วหันไปถามเพื่อนใหม่ซึ่งเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ว่า

“ เจ้าหงอกมันฉลาดนะครับ เลี่ยงไปจนได้ “

แกก็ยิ้มอยู่อย่างเดิม แต่ไม่ตอบว่าอะไร ผมนึกในใจว่าคนพูดน้อยนี่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้คนหนึ่ง

นายพึงซึ่งเป็นครู ก็เล่าเรื่องขึ้นมาบ้างว่า

เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พอรับยาแล้วจะเดินกลับออกมาขึ้นรถ เจอยายแก่คนหนึ่ง แกถามว่า

“ ช่องห้านี่ อยู่ทางไหนจ๊ะพ่อหนุ่ม “

“ สนามเป้าแค่นี้เองครับยาย “

“ แล้วช่องเจ็ดล่ะอยู่ไกลกันมั้ย ? “

“ ไม่ไกลหรอกป้า เลยจากช่องห้าไปแค่หมอชิตเก่าเอง “

“ แล้วช่องสามล่ะ อยู่ไหน ? “

“ โอยไกลลิบถึงหนองแขมโน่นแน่ะ ยายจะไปทำไม วันเดียวสามช่องเลยเรอะ “

“ อ้าว ก็ดูนี่ซิ หมอเขาสั่งยังงี้ “

แกก็ยื่นกระดาษในมือให้ฉันดู มันคือใบสั่งยาของโรงพยาบาลนั้นเอง แต่ ด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกา ความว่า จ่ายเงินช่อง ๕ รับยาช่อง ๗ แล้วไปทำบัตรใหม่ที่ช่อง ๓ ! ! !

เสียงฮาก็ดังประสานกันขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าคุณยายหรือนายพึงกันแน่ที่เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้

ผมก็หันไปเห็นเพื่อนใหม่นั่งยิ้มอยู่อย่างเดิม อดไม่ได้จึงถามอีกว่า

"พี่ไม่ขำหรอกหรือครับ"

แกกลับย้อนถามว่า "ว่าไงนะ"

ผมชักฉุน "ผมถามว่าพี่ไม่ขำเหรอไง"

แกกลับเร่งเสียงดังขึ้นอีก "หา...ว่าไงนะ"

ก่อนที่ผมจะคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป นายจิ้นก็เอื้อม
มือมาสะกิดขา

"...อย่าไปเซ้าซี้แกนักเลย ปล่อยให้กินเหล้าตามสบายเถอะ...”

เมื่อผมทำสีหน้าไม่เข้าใจ นายจิ้นจึงบอกต่อว่า

“ แกหูตึงว่ะ"

################
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่