วีรกรรมของเพื่อน

กระทู้สนทนา
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

วีรกรรมของเพื่อน

“ เพทาย “

ในกระบวนเพื่อนนักเรียนนายสิบของผม ซึ่งคบหากันมาอย่างสนิทชิดเชื้อ จนกระทั่งถึงเกษียณอายุด้วยกันนั้น มีอยู่คนหนึ่งซึ่งมีจิตใจซื่อตรงมั่นคงต่อเพื่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ว่าช่วงเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา จะทำให้ฐานะความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของเพื่อนแต่ละคน ต้องแตกต่างกันออกไปอย่างมากมาย ทั้งในทางเจริญและทางเสื่อมก็ตาม เราเรียกเขาว่านายหงอก เพราะเมื่อหนุ่ม ๆ ผมของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากดำเป็นเทาแล้วก็เป็นสีขาวเกือบเต็มศรีษะ แต่พอเกษียณอายุแล้วเดี๋ยวนี้ผมของเขากลับดำ เหลือแต่คิ้วเท่านั้นที่ปล่อยให้ขาวโพลน เขาจึงเป็นนายหงอกของเราตลอดมา

เขาเป็นคนอารมณ์ดีไม่เคยโกรธเคืองใคร และไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจในความไม่ก้าวหน้าของชีวิตราชการ เขาเป็นนายสิบอาวุโสอยู่จนกระทั่งใกล้จะเกษียณ จึงได้เลื่อนเป็นนายทหารยศร้อยตรี ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันบางคน เป็นถึงพันเอกพิเศษก็มี หน้าที่หลักของเขาก็คือพลขับรถ ดังนั้นในยามว่างราชการเขาก็หารายได้พิเศษ ด้วยการขับรถสองแถวเล็กรับส่งผู้โดยสารในย่านใกล้เคียงกับที่ทำงานของเขา เพราะเขามีบ้านพักของทางราชการอยู่ในหน่วยนั้นเอง ซึ่งอยู่มาตั้งแต่เข้ารับราชการจนถึงบัดนี้ เพิ่งจะคิดย้ายเมื่อลูกสาวได้บรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารหญิงนี่เอง และก็เป็นบ้านของทางราชการอีกเช่นเคย

เขาโชคดีที่เจ้านายเมตตาเห็นว่าเป็นคนสันโดษ ไม่ต้องการที่จะเป็นนายทหารสัญญาบัตร จึงส่งตัวไปช่วยราชการพิเศษหลายครั้งหลายหน ภายในประเทศทั่วทั้งภาคใต้ภาคกลางและภาคอิสาน นอกประเทศก็ไปสงครามเวียตนาม และเขมรก่อนที่เขมรแดงจะเข้ามายึดครอง และจากเมืองเขมรนี้เอง ที่เขาได้เอาเหล้าเสือสิบเอ็ดตัวของจริงมาฝากพวกเราได้ลิ้มลอง การไปราชการบ่อย ๆ ทำให้เขามีเงินเพิ่มพิเศษในการสู้รบ บวกกับเงินเดือนที่รับประจำแล้ว อยู่ในระดับนายพัน เขาจึงไม่มีความเดือดร้อนในการครองชีพแต่อย่างใด

เขาไม่ใช่คนคอเหล้า แต่สามารถคบกับพวกผม ซึ่งกินเหล้าได้ทุกวันเวลาและสถานที่อย่างสนิทสนม ส่วนมากเขาจะยอมให้เพื่อนชงวางไว้ตรงหน้าแก้วหนึ่ง แล้วเขาก็ค่อย ๆ จิบไปจนเลิกรา ใครจะเติมให้อีกเขาก็จะเอามือปิดปากแก้วไว้ พวกเราหลายคนเคยพยายามที่จะให้เขากินเหล้าให้ทันเพื่อน ไม่เคยสำเร็จเลย เนื่องจากเขาเป็นคนแข็งแรงล่ำสัน และมีพละกำลังเข้มแข็ง ไม่มีใครปล้ำกับเขาได้ แม้ในเวลาที่ไปทัศนาจรตามภูมิประเทศต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ เมากันหัวทิ่มหัวตำ เขาพอใจเขาก็จะกิน ถ้าไม่พอใจจะกินก็อย่าไปบังคับเขา

เวลาพบกันในกลุ่มของเรา เขาจะมีเรื่องราวที่สนุกสนาน มาเล่าให้ฟังเสมอ ไม่เคยเห็นเขามีเรื่องกลุ้มใจหรือเสียใจในเรื่องใด ๆ เลย เพราะเขามีอารมณ์ขันเหลือเฟือ

อย่างเมื่อตอนหนุ่มมากเขาตัดสินใจบวช ที่วัดกลางปากน้ำสมุทรปราการ เมื่อเพื่อนไปร่วมงานตามเวลาในบัตรเชิญ ปรากฎว่าไม่มีการจัดพิธีรีตอง หรือเครื่องประกอบการอุปสมบทเหมือนอย่างงานทั่วไป ไม่มีแขกเหรื่อมาร่วมพิธี และเขายังไม่ได้โกนผมด้วยซ้ำ แล้วดันถามว่าพวกเราไปไหนกัน เล่นเอาต้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ว่าเขาจะบวชจริงหรือเปล่า

อีกครั้งหนึ่งเขาโทรศัพท์ไปชวนเพื่อนฝูง ให้ไปกินข้าวต้มกันในค่ำวันหนึ่ง เมื่อถามว่าที่ร้านไหน เขาตอบเสียงปกติธรรมดาว่า ศาลา ๘ วัดตรี เมื่อไปถึงปรากฎว่าเป็นงานสวดพระอภิธรรมศพลูกชายคนโตของเขา ซึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร อย่างนี้ก็มีด้วย

ในวงเหล้าของเรา นายหงอกจะมีเรื่องมาเล่าอยู่เสมอ ซึ่งบางทีก็อาจจะซ้ำกับเรื่องขำขันของไทยบ้างฝรั่งบ้าง แต่เขาก็เล่าให้เพื่อนหัวเราะได้เสมอ ทั้ง ๆ ที่บางคนเคยได้ฟังมาแล้วก็ตาม ในสมัยที่พวกลูก ๆ ของเราผ่านการเรียนชั้นมัธยมศึกษาแล้ว กำลังจะเข้าไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา คนนั้นก็คุยว่าลูกของตนสอบติดที่นั่นที่นี่ มหาวิทยาลัยก็มี สถาบันเทคโนโลยีก็มี สถาบันฝึกหัดครูก็มี

นายหงอกยังเหลือแต่ลูกเล็กก็คุยบ้างว่า เพื่อนนายสิบข้างบ้านของเขาคนหนึ่งซึ่งผมรู้จัก ลูกเขาก็ติดเหมือนกัน ถามว่าที่ไหนเขาบอกว่าสามพราน เมื่อไล่เรียงต่อไปก็ปรากฎว่าไม่ใช่นักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ติดที่โรงพัก ดูเหมือนเขาหาว่าขายยาบ้าซึ่งสมัยนั้นเรียกว่ายาม้า

พอมาถึงสมัยเศรษฐกิจตกต่ำ จนสถาบันการเงินต้องล้มระเนระนาดไปเป็นแถว ผู้คนตกงานเป็นหมื่นเป็นแสน เพื่อน ๆ ก็ปรารภถึงพวกลูก ๆ ว่าต้องว่างงานไปตาม ๆ กัน บ้างก็ทำงานธนาคาร บ้างก็อยู่บริษัทประกันภัย บางคนก็ทำงานเป็นนายหน้าขายรถยนต์ หรือบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างก็ต้องออกมาเตะฝุ่น ได้รับผลกระทบในด้านการครองชีพกันทั่วหน้า

นายหงอกก็คุยว่าเพื่อนบ้านของเขาอีกคนหนึ่ง ลูกชายเรียนช่างไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ไม่ได้ต่อระดับปริญญา ไม่เห็นมันเดือดร้อนอะไร เมื่อถามว่าเพราะอะไร เขาตอบหน้าตาเฉยว่า เห็นมันเที่ยวเอาไฟฟ้าช็อตปลาในคูข้างบ้านกินมั่งขายมั่ง ไม่อดอยากเลย

เรื่องที่เขาไม่ได้เล่าเพราะผมกับเพื่อนก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย คือในกลางดึกของคืนหนึ่งที่เราเมากันอย่างเคย ที่ร้านแถว ๆ หน้าวัดยี่ส่ายใกล้กับสี่แยกปิ่นเกล้าเดี๋ยวนี้ เมื่อช่วยกันเฉลี่ยค่าเหล้ายาปลาปิ้งเรียบร้อยจนเกือบจะหมดกระเป๋าด้วยกันแล้ว ต่างก็จะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน นายหงอกอยู่ไกลกว่าเพื่อนแถวท่าเรือคลองเตย แต่มีสติดีกว่าเพื่อน ได้กวักมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการใช้มิเตอร์ และไม่ได้ติดแอร์ เขาชะโงกหน้าเข้าไปถามคนขับว่า

“ โชเฟอร์ ไปท่าเรือมั้ย “

คนขับเห็นพวกเรามุงกันอยู่หลายคนเลยถามว่า

“ ท่าเรือไหนครับ “ คงไม่แน่ใจว่าเราจะไปท่าเรืออยุธยา หรือท่าเรือเมืองกาญจน์

นายหงอกตอบเสียงดังฟังชัดว่า

“ ท่าเรือคลองเตย “

คนขับยิ้มแป้นรีบรับคำทันที

“ ไปครับพี่ “

นายหงอกก็ยิ้มกว้างขวางเหมือนกันเมื่อบอกว่า

“ ดีมาก อาศัยไปด้วยคนซี่ “

ผลปรากฎว่า คนขับรีบหุบยิ้ม กระชากรถพรืดออกไปทันที จนนายหงอกแทบหัวทิ่ม เพื่อนหัวเราะกันครืน

เนื่องด้วยนายหงอกรับราชการอยู่ในหน่วยทหารรักษาพระองค์ วันดีคืนดีจึงถูกส่งตัวไปเข้ารับการฝึกดำน้ำ ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ โดยหน่วย สงครามพิเศษทางเรือ เป็นหน่วยรับผิดชอบในการฝึกอบรม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของพระที่นั่งอัมพรสถาน ๑๑ นายรวมทั้งนายหงอก ซึ่งขณะนั้นมีอายุสูงที่สุด คือ ๕๘ ปี และทั้งหมดเป็นทหารบก

การฝึกครั้งนั้นใช้เวลาทั้งสิ้น ๗ วัน ระหว่าง ๗ - ๑๓ เมษายน ๒๕๓๘ วันแรก เป็นการเปิดปฐมนิเทศและตรวจสุขภาพร่างกาย โดยนายแพทย์เวชศาสตร์ทางน้ำ ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

วันที่สองเป็นการบรรยายและสาธิตอุปกรณ์ดำน้ำ ฝึกการประกอบ การแต่งกายและถอดอุปกรณ์ กับฝึกการใช้สัญญาณมือขณะอยู่ใต้น้ำ เช่นยกมือเอานิ้วหัวแม่มือจรดนิ้วชี้เป็นวงกลม เรียกว่าโอเค แปลว่าพร้อมหรือเรียบร้อย กำมือเอาหัวแม่มือชี้ลงข้างล่าง แปลว่าดำลง ถ้าเอาหัวแม่มือชี้ข้างบนแปลว่าดำขึ้น เป็นต้น

วันที่สามมีการบรรยายเรื่องอาการที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ร่างกายเมื่อเกิดภาวะการกดดันของน้ำ และฝึกการแก้ข้อขัดข้องใต้น้ำ โดยฝึกในสระว่ายน้ำลึก ๑๕ ฟุต และใช้อุปกรณ์ประกอบการดำน้ำจริง มีครูฝึกสังเกตการณ์อยู่บนผิวน้ำ หลังจากนั้นจึงลงเรือไปฝึกดำในทะเลที่เกาะพระ เป็นการฝึกดำน้ำตามเชือกนำที่ขึงไว้ใต้น้ำความลึกไม่เกิน ๑๕ ฟุต โดยผู้รับการฝึกทุกคนจะมีพี่เลี้ยงกำกับดูแลเป็นคู่ ๆ

วันที่สี่ เป็นการทบทวนการฝึกดำน้ำและขึ้นสู่ผิวน้ำเหมือนวันที่สาม ถึงวันที่ห้าได้ไปฝึกดำน้ำที่เกาะขาม ซึ่งมีแนวปะการังที่สวยงามในระดับ ๑๐ - ๒๐ ฟุต และย้ายไปฝึกบริเวณเกาะยอกับเกาะอีเลา ความลึกระหว่าง ๒๐ - ๓๐ ฟุต

วันที่หกจะเป็นการดำน้ำลึก ๖๐ ฟุต จึงมีการบรรยายทบทวนในช่วงเช้า ถึงตอนบ่ายก็ลงเรือไปฝึกดำที่เกาะครามในความลึกระหว่าง ๓๐ - ๖๐ ฟุต เกาะนี้เป็นพื้นที่ซึ่งกองทัพเรือสงวนไว้อนุรักษ์เต่าทะเล สภาพภูมิประเทศใต้ทะเลจึงคงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ซึ่งมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก และวันสุดท้ายเป็นการดำลึกที่สุดของการฝึกคือ ๙๐ ฟุต ระหว่างเกาะจวงกับเกาะโรงโขนโรงหนัง ครูฝึกนำไปชมซากเรือสุทธาทิพย์ ซึ่งเป็นเรือสินค้าของบริษัทเดินเรือไทยจำกัด ได้ปฏิบัติราชการให้กับกองทัพเรือในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถูกข้าศึกโจมตีจมลงเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๔๘๘ ตะแคงกราบขวาอยู่บนพื้นทรายใต้น้ำลึก ๙๐ ฟุต

คณะผู้รับการฝึกได้ให้ความสนใจมาก และผ่านการฝึกขั้นสุดท้ายนี้ไปได้โดยเรียบร้อยทุกประการ

ส่วนวีรกรรมของนายหงอกในคราวนี้ ได้เกิดขึ้นในวันที่หกของการฝึก โดยขณะที่กำลังดำน้ำชมความงามของปะการังชนิดต่าง ๆ อันสวยงาม บริเวณเกาะคราม ในระดับความลึกประมาณ ๓๐ ฟุต ครูฝึกซึ่งประกบนายหงอกอยู่ตลอดเวลา เห็นนายหงอกให้สัญญาณยกหัวแม่มือขึ้นข้างบน ก็ตกใจรีบพาดำขึ้นเหนือน้ำโดยเร็ว เพื่อนร่วมทีมก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย

เมื่อถอดหน้ากากดำน้ำออกแล้ว ครูถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ นายหงอกก็ว่าไม่มีอะไรนี่ ครูว่างั้นยกหัวแม่มือขึ้นมาทำไม นายหงอกตอบหน้าตาเฉยว่า

“ แหมครูครับ ปะการังใต้น้ำสวยยังงี้เลยครับ “

พูดพร้อมกับยกหัวแม่โป้งขึ้นอีกครั้ง เป็นการยืนยัน

เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมาก ในหมู่ผู้รับการฝึก และพวกครูฝึกซึ่งเข้าใจว่าคงจะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ในการฝึกดำน้ำมาก่อนเลยก็เป็นได้

จึงได้มีผู้นำมาเล่าไว้ในหนังสือ นาวิกศาสตร์ ของกองทัพเรือ ฉบับประจำเดือน สิงหาคม ๒๕๓๘ ด้วย

ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์ของการฝึกดำน้ำไปอีกนานทีเดียว.

##########

พ.ศ.๒๕๕๐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่