SS City of Adelaide
SS City of Adelaide มีความยาว 80 ม.ในอดีตเป็นเรือยนต์ขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ เดิมจะให้บริการรับส่งผู้โดยสารระหว่างจุดหมายปลายทางเช่นซิดนีย์ เมลเบิร์นและโฮโนลูลู หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปีเรือได้เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรเพื่อขนส่งสินค้า เปลี่ยนจากผู้โดยสารข้ามฟากไปเป็นที่เก็บถ่านหินและสินค้าอื่น ๆ เรือจมอยู่ใกล้กับเกาะ Magnetic ห่างจากรัฐ Queensland (ควีนแลนด์) ไปประมาณ 70 กม.ในเมืองแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ในปี 1863
ก่อนที่จะอับปางลงในปี 1912 จากเหตุไฟไหม้บนเรือที่ลุกไหม้ติดต่อกันนาน 2 วัน จนทำให้สภาพของเรือพังย่อยยับ ทางผู้เป็นเจ้าของจึงตัดสินใจที่จะไม่กู้เรือและปล่อยให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากเหตุอับปางผ่านมา 3 ปี ก็มีเศรษฐีรายหนึ่งที่มีชื่อว่า George Butler ได้ตัดสินใจซื้อเรืออับปางลำนี้เพื่อใช้เป็นเขื่อนกันคลื่นสำหรับท่าเทียบเรือใน Picnic Bay แต่ซากเรือมาเกยตื้นใน Cockle Bay จนถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลาผ่านไป ซากเรืออัปปางนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในปี 1942 เมื่อเสากระโดงเรือที่สูงโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดระหว่างการฝึกซ้อม ต่อมาในปี 1971 สมาชิกสามคนของกองทัพอากาศออสเตรเลียและหนึ่งในสมาชิกของกองทัพเรือสหรัฐฯเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินมาพุ่งตกลงมาชน จากนั้นก็ถูกพายุไซโคลนเล่นงานทำให้ตัวเรือเสียหายมากขึ้น ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมานานร่วมร้อยปีทำให้ธรรมชาติแทรกซึมเรือ น้ำสูงขึ้น และกลายเป็นบ้านของนกสายพันธุ์ต่าง ๆ เมื่อนกกินผลไม้พวกมันก็จะถ่ายออกมาทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นบนเรือ
ความพิเศษก็คือ ต้นไม้ที่เติบโตขึ้นบนส่วนของซากเรือที่โผล่พ้นน้ำที่เปลี่ยนให้ซากเรือกลายมาเป็นเกาะเล็กๆ ทำให้เกิดบรรยากาศที่สวยงามของต้นไม้สีเขียวที่ตัดกับน้ำทะเลได้อย่างลงตัว และมันทำให้ซากเรือลำนี้กลายเป็นจุดเด่นที่สามารถสังเกตได้ง่าย มันจึงถูกใช้เป็นเป้าหมายของเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื่องจากตั้งอยู่ในอุทยานทางทะเลของออสเตรเลียจึงได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ ที่นี่เป็นหนึ่งในยี่สิบซากเรือรอบๆเกาะ Magnetic ที่นักท่องเที่ยวนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ของนักดำน้ำทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น
Cr.ภาพจาก Road Warrior Photography / Shutterstock
Cr.
https://www.flagfrog.com/ship-turn-to-island-ww2/โดย ManoshFiz
Cr.
https://mymodernmet.com/ss-city-adelaide-shipwreck/
Tangalooma
ซากเรือของ Tangalooma ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะ Moreton ใกล้กับเมือง Tangalooma ซึ่งเป็นสถานีล่าวาฬในอดีต เกาะ Moreton เป็นเกาะทรายขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสามของโลกตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียซึ่งรวมอยู่กับเกาะ Fraser ก่อให้เกิดเป็นโครงสร้างทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ซากเรือประกอบด้วยเรือ 15 ลำที่ถูกทำให้จมลงใกล้ชายฝั่งเพื่อสร้างเขื่อนกั้นเรือขนาดเล็ก และยังสร้างจุดดำน้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจ จุดดำน้ำในบริเวณซากเรือ Tangalooma มีความลึกของการดำสำรวจตั้งแต่ 2-10 ," และส่วนที่สามารถมองเห็นได้อยู่ที่ความลึกประมาณ 8 เมตร แม้แห่งนี้จะอยู่ในน้ำตื้น ซากเรือก็ยังดึงดูดสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากได้อย่างน่าทึ่งเช่น ฉลาม wobbegongs ปลา trevally ปลาช่อนทะเล (kingfish) ปลาหางเหลือง (yellowtail ) และปลาเขตร้อนจำนวนมาก
ซากเรืออับปางเกิดขึ้นในปี 1963 เมื่อเจ้าของเรือกลุ่มหนึ่งร้องขอให้สร้างท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะเพื่อการทอดสมอที่ปลอดภัย อันเป็นผลมาจากการวิ่งเต้นคำขอของพวกเขา จึงได้รับอนุญาตและเรือสำเภาประมาณ 15 ลำถูกนำมาฝังไว้ที่สันทรายนอกเกาะ Moreton โดยเรือที่ปลดประจำการได้แก่ เรือเก่าเรือขุดและเรือท้องแบน โดยเรือ Maryborough เป็นผู้นำในฐานะเรือลำแรกที่ถูกจมลงในน่านน้ำ
(ภาพวาดเรือ Maryborough ship)
โครงสร้างขนาดใหญ่ได้สร้างกำแพงซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานที่หลบภัยเพื่อป้องกันเรือลำเล็ก ๆ ยิ่งไปกว่านั้นซากเรือยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการดำน้ำลึกและดำน้ำตื้น ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเกาะ Moreton
ที่มา เยี่ยมชม Moreton Island / Tangalooma Island Resort
Cr.
https://www.amusingplanet.com/2014/07/the-tangalooma-wrecks-of-moreton-island.html / KAUSHIK PATOWARY
The Ghost Ships
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งกองเรือสำรองแห่งชาติ (National Defense Reserve Fleet - NDRF) ซึ่งเป็นกองเรือที่ทำหน้าที่เป็น
กองเรือสำรองสำหรับการป้องกันประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในกรณีฉุกเฉินแห่งชาติ กองเรือประกอบด้วยเรือบรรทุกสินค้าส่วนใหญ่ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ภายใน 20 -120 วัน เพื่อให้การขนส่งในกรณีฉุกเฉินระดับชาติไม่ว่าจะเป็นทางทหารหรือไม่ใช่ทางทหาร เช่น วิกฤตการขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์
ปี 1950 คือจุดที่สูงสุดของ NDRF ประกอบด้วยเรือ 2,277 ลำในสถานที่ทอดสมอแปดแห่งได้แก่ James River เวอร์จิเนีย / Beaumont เท็กซัส / Suisun Bay แคลิฟอร์เนีย / Stony Point นิวยอร์ก / Wilmington นอร์ทแคโรไลนา / Mobile แอละแบมา / Astoria โอเรกอน /และ Olympia วอชิงตัน
มีเพียงสามที่แรกจากแปดเท่านั้นที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน การละเลยและเลิกใช้งานเป็นเวลานานทำให้เรือเหล่านี้กลายเป็นซากเรือ สีของเรือก่อให้เกิดมลพิษในน้ำด้วยโลหะหนักและสารเคมีอันตราย จนถึงปี 2014 มีเพียง 122 ลำที่เหลืออยู่ใน NDRF และจำนวนยังคงลดลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ก่อตั้งเรือของ NDRF ถูกใช้ในสงครามที่วิกฤตดังนี้
- ในช่วงสงครามเกาหลีมีเรือ 540 ลำถูกปล่อยออกไปเพื่อเคลื่อนกำลังทหาร
- ระหว่างการขาดแคลนระวางบรรทุกทั่วโลกในปี 1951–53 มีเรือกว่า 600 ลำถูกนำมาใช้งานอีกครั้งเพื่อขนถ่านหินไปยังยุโรปเหนือและส่งเมล็ดพืชไป ยังอินเดีย
- ตั้งแต่ปี1955 -1964 มีการใช้เรืออีก 600 ลำเพื่อเก็บเมล็ดพืชให้กับกรมวิชาการเกษตร
- เรือบรรทุกสินค้าอีก 223 ลำและเรือบรรทุกน้ำมัน 29 ลำถูกเปิดใช้งานในช่วงที่มีการขาดแคลนระวางบรรทุกหลังจากที่คลองสุเอซถูกปิดในปี 1956
- ในช่วงวิกฤตเบอร์ลินปี 1961 มีการเปิดใช้งานเรือ 18 ลำและยังคงให้บริการจนถึงปี 1970
- อีก 172 ลำถูกเปิดใช้งานสำหรับสงครามเวียดนาม
ปี1976 NRF ได้รับการเสริมโดยกองเรือสำรอง (RFF) เพื่อจัดหาในเหตุฉุกเฉินทางทหาร สิงหาคมปี 1990 เรือ 78 ลำถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ Desert Storm ในช่วง the Gulf War ระหว่างสิงหาคม 1990 ถึงเมษายน 1991 เรือทำการขนส่งสินค้าทั่วไปในระยะสั้นๆ 750,000 ตันซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของสินค้าทั้งหมดในช่วงความขัดแย้ง
ปี 2005 เรือ RRF 5 ลำและ NDRF 4 ลำปฏิบัติการบรรเทาทุกข์หลังพายุเฮอริเคน Katrina and Rita และแผ่นดินไหวรุนแรงในเฮติเมื่อปี 2010, เรือ 6 ลำถูกใช้งานและมีส่วนร่วมในการบรรเทาทุกข์ และเฮอริเคน Sandy ใช้เรือ RRF 1 ลำและเรือฝึก NDRF 2 ลำ
กว่าปีที่รัฐบาลกลาง (MARAD) กำจัดเรือที่ล้าสมัยโดยส่งไปยัง scrapyard (สถานที่สำหรับการทำลายหรือแยกชิ้น) เพื่อรีไซเคิลหรือจมลงเป็นแนวปะการังเทียม ผลกระทบที่มากที่สุดคือกองเรือสำรองที่ Suisun Bay ในปี 1952 มีเรือทอดสมอ 340 ลำ แต่วันนี้เหลือไม่ถึง 50 ลำ แต่ก็ยังคงมีจำนวนเรือที่มากที่สุดในสามจุดของ NDRF เรือได้สร้างมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมในอ่าว ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับปลาและสัตว์ป่าจากวัสดุที่เป็นพิษ
ที่มา Wikipedia / MARAD.dot.gov / SFgate
Cr.
https://www.amusingplanet.com/2014/06/the-ghost-ships-of-national-defense.html / KAUSHIK PATOWARY
Shipwrecks
หมู่เกาะ Cayman ประกอบด้วยเกาะ 3 เกาะ ได้แก่ Grand Cayman, Cayman Brac and Little Cayman อยู่ในทะเลแคริบเบียนตะวันตกประมาณ
700 กม. ทางใต้ของไมอามีห่างจากคิวบา 366 กม.
Grand Cayman เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการพัฒนามากที่สุดโดยมีพื้นที่ 197 ตารางกิโลเมตร ส่วนอีกสองแห่งคือมีขนาดเล็กที่ 38 และ 28.5 ตารางกิโลเมตรตามลำดับ อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 120 กม.
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของหมู่เกาะคือการดำน้ำลึก เกาะทั้งสามเป็นส่วนของภูเขาใต้น้ำขนาดใหญ่ ด้านข้างของภูเขานี้ค่อนข้างสูงชันเป็นแนวตั้งในบางสถานที่ห่างจากฝั่งเพียงไม่กี่ร้อยเมตร กำแพงนี้มีแนวปะการังปลาหลากสีและสิ่งมีชีวิตใต้น้ำแปลก ๆ แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับนักดำน้ำคือซากเรืออับปาง
เรือมากกว่า 325 ลำที่จมลงรอบๆเกาะอยู่ในเส้นทางเดินเรือระหว่างคิวบาซึ่งเป็นจุดจอดสุดท้ายก่อนออกสู่ทะเลเปิดในยุโรป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักดำน้ำมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้พบสมบัติที่จมอยู่ใต้น้ำจำนวนมากบริเวณนี้ ปี 1970 คู่สามีภรรยาจากเมือง Dalton,จอร์เจีย ขณะดำน้ำตื้นนอกชายหาดของเกาะได้พบซากเรืออายุ 450 ปีที่หายไปในปี 1522 (เส้นทางจากเม็กซิโกไปสเปน) เรือลำนี้บรรทุกทองคำขาว เงินและเครื่องประดับจำนวนมากกว่า 135 ก.ก.ที่จมอยู่ใต้น้ำในสภาพสมบูรณ์แม้นานหลายศตวรรษ
ซากเรืออัปปางที่โด่งดังที่สุดคือ Keith Tibbetts เรือฟริเกตประเภทพลจัตวาของรัสเซีย 330 ฟุตซึ่งจมลงในปี 1996 ที่เป็นแนวปะการังเทียมและแหล่งดำน้ำเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ปัจจุบันใบพัดเรือเกือบครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในทรายที่ความสูง 56 ฟุตกลายเป็นที่อยู่ของปลาเก๋าหลากสีหลายพันตัวและปะการังกว่า 100 ชนิด
อีกแห่งคือซากเรืออัปปางของ Cali ที่ถูกระเบิดโดยกองทัพอังกฤษ จมอยู่ในน้ำนิ่งประมาณ 20 ฟุตห่างจากฝั่งเพียง 30 ม. สามารถเห็นเครื่องยนต์และเสากระโดงเรือ Cali สร้างขึ้นในปี 1944 เป็นเรือใบที่มีความชำนาญ สูง 66 ม.ซึ่งมีป้ายกำกับว่าเป็นอันตรายต่อการเดินเรือในปี 1957
เป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่ได้รับความนิยมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่ง ทำเลที่ตั้งในน้ำตื้นทำให้นักดำน้ำตื้นสำรวจได้ง่ายและคุ้มค่ามากเพราะมีสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อุดมสมบูรณ์
เรืออับปางล่าสุดของหมู่เกาะ Cayman เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2011 เมื่อเรือ USS Kittiwake ที่ปลดประจำการถูกลากไปทางฝั่งตะวันตกของเกาะ
Grand Cayman เพื่อใช้เป็นแนวปะการังเทียมและเป็นแหล่งดำน้ำอีกแห่ง Kittiwake เป็นแหล่งดำน้ำที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ด้วยทุ่นจอดเรือเจ็ดทุ่นตั้งอยู่ในแนวตั้งเกือบสมบูรณ์ที่ความลึกเพียง 62 ฟุต ด้านบนสุดของซากเรืออยู่ห่างจากผิวน้ำไม่เกิน 7 ฟุตทำให้เป็นหนึ่งในเรืออับปางเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งนักดำน้ำอาชีพและสมัครเล่น
ที่มา Wikipedia , แหล่งประวัติศาสตร์และซากเรือ , คู่มือกิจกรรม Cayman , Alert Diver
Cr.
https://www.amusingplanet.com/2013/05/the-shipwrecks-of-cayman-island.html / KAUSHIK PATOWARY
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ซากเรือที่พิเศษ (The Special Shipwrecks)
ก่อนที่จะอับปางลงในปี 1912 จากเหตุไฟไหม้บนเรือที่ลุกไหม้ติดต่อกันนาน 2 วัน จนทำให้สภาพของเรือพังย่อยยับ ทางผู้เป็นเจ้าของจึงตัดสินใจที่จะไม่กู้เรือและปล่อยให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากเหตุอับปางผ่านมา 3 ปี ก็มีเศรษฐีรายหนึ่งที่มีชื่อว่า George Butler ได้ตัดสินใจซื้อเรืออับปางลำนี้เพื่อใช้เป็นเขื่อนกันคลื่นสำหรับท่าเทียบเรือใน Picnic Bay แต่ซากเรือมาเกยตื้นใน Cockle Bay จนถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลาผ่านไป ซากเรืออัปปางนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในปี 1942 เมื่อเสากระโดงเรือที่สูงโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดระหว่างการฝึกซ้อม ต่อมาในปี 1971 สมาชิกสามคนของกองทัพอากาศออสเตรเลียและหนึ่งในสมาชิกของกองทัพเรือสหรัฐฯเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินมาพุ่งตกลงมาชน จากนั้นก็ถูกพายุไซโคลนเล่นงานทำให้ตัวเรือเสียหายมากขึ้น ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมานานร่วมร้อยปีทำให้ธรรมชาติแทรกซึมเรือ น้ำสูงขึ้น และกลายเป็นบ้านของนกสายพันธุ์ต่าง ๆ เมื่อนกกินผลไม้พวกมันก็จะถ่ายออกมาทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นบนเรือ
ความพิเศษก็คือ ต้นไม้ที่เติบโตขึ้นบนส่วนของซากเรือที่โผล่พ้นน้ำที่เปลี่ยนให้ซากเรือกลายมาเป็นเกาะเล็กๆ ทำให้เกิดบรรยากาศที่สวยงามของต้นไม้สีเขียวที่ตัดกับน้ำทะเลได้อย่างลงตัว และมันทำให้ซากเรือลำนี้กลายเป็นจุดเด่นที่สามารถสังเกตได้ง่าย มันจึงถูกใช้เป็นเป้าหมายของเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื่องจากตั้งอยู่ในอุทยานทางทะเลของออสเตรเลียจึงได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ ที่นี่เป็นหนึ่งในยี่สิบซากเรือรอบๆเกาะ Magnetic ที่นักท่องเที่ยวนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ของนักดำน้ำทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น
Cr.ภาพจาก Road Warrior Photography / Shutterstock
Cr.https://www.flagfrog.com/ship-turn-to-island-ww2/โดย ManoshFiz
Cr.https://mymodernmet.com/ss-city-adelaide-shipwreck/
ซากเรือประกอบด้วยเรือ 15 ลำที่ถูกทำให้จมลงใกล้ชายฝั่งเพื่อสร้างเขื่อนกั้นเรือขนาดเล็ก และยังสร้างจุดดำน้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจ จุดดำน้ำในบริเวณซากเรือ Tangalooma มีความลึกของการดำสำรวจตั้งแต่ 2-10 ," และส่วนที่สามารถมองเห็นได้อยู่ที่ความลึกประมาณ 8 เมตร แม้แห่งนี้จะอยู่ในน้ำตื้น ซากเรือก็ยังดึงดูดสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากได้อย่างน่าทึ่งเช่น ฉลาม wobbegongs ปลา trevally ปลาช่อนทะเล (kingfish) ปลาหางเหลือง (yellowtail ) และปลาเขตร้อนจำนวนมาก
ซากเรืออับปางเกิดขึ้นในปี 1963 เมื่อเจ้าของเรือกลุ่มหนึ่งร้องขอให้สร้างท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะเพื่อการทอดสมอที่ปลอดภัย อันเป็นผลมาจากการวิ่งเต้นคำขอของพวกเขา จึงได้รับอนุญาตและเรือสำเภาประมาณ 15 ลำถูกนำมาฝังไว้ที่สันทรายนอกเกาะ Moreton โดยเรือที่ปลดประจำการได้แก่ เรือเก่าเรือขุดและเรือท้องแบน โดยเรือ Maryborough เป็นผู้นำในฐานะเรือลำแรกที่ถูกจมลงในน่านน้ำ
ที่มา เยี่ยมชม Moreton Island / Tangalooma Island Resort
Cr.https://www.amusingplanet.com/2014/07/the-tangalooma-wrecks-of-moreton-island.html / KAUSHIK PATOWARY
กองเรือสำรองสำหรับการป้องกันประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในกรณีฉุกเฉินแห่งชาติ กองเรือประกอบด้วยเรือบรรทุกสินค้าส่วนใหญ่ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ภายใน 20 -120 วัน เพื่อให้การขนส่งในกรณีฉุกเฉินระดับชาติไม่ว่าจะเป็นทางทหารหรือไม่ใช่ทางทหาร เช่น วิกฤตการขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์
ปี 1950 คือจุดที่สูงสุดของ NDRF ประกอบด้วยเรือ 2,277 ลำในสถานที่ทอดสมอแปดแห่งได้แก่ James River เวอร์จิเนีย / Beaumont เท็กซัส / Suisun Bay แคลิฟอร์เนีย / Stony Point นิวยอร์ก / Wilmington นอร์ทแคโรไลนา / Mobile แอละแบมา / Astoria โอเรกอน /และ Olympia วอชิงตัน
มีเพียงสามที่แรกจากแปดเท่านั้นที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน การละเลยและเลิกใช้งานเป็นเวลานานทำให้เรือเหล่านี้กลายเป็นซากเรือ สีของเรือก่อให้เกิดมลพิษในน้ำด้วยโลหะหนักและสารเคมีอันตราย จนถึงปี 2014 มีเพียง 122 ลำที่เหลืออยู่ใน NDRF และจำนวนยังคงลดลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ก่อตั้งเรือของ NDRF ถูกใช้ในสงครามที่วิกฤตดังนี้
- ในช่วงสงครามเกาหลีมีเรือ 540 ลำถูกปล่อยออกไปเพื่อเคลื่อนกำลังทหาร
- ระหว่างการขาดแคลนระวางบรรทุกทั่วโลกในปี 1951–53 มีเรือกว่า 600 ลำถูกนำมาใช้งานอีกครั้งเพื่อขนถ่านหินไปยังยุโรปเหนือและส่งเมล็ดพืชไป ยังอินเดีย
- ตั้งแต่ปี1955 -1964 มีการใช้เรืออีก 600 ลำเพื่อเก็บเมล็ดพืชให้กับกรมวิชาการเกษตร
- เรือบรรทุกสินค้าอีก 223 ลำและเรือบรรทุกน้ำมัน 29 ลำถูกเปิดใช้งานในช่วงที่มีการขาดแคลนระวางบรรทุกหลังจากที่คลองสุเอซถูกปิดในปี 1956
- ในช่วงวิกฤตเบอร์ลินปี 1961 มีการเปิดใช้งานเรือ 18 ลำและยังคงให้บริการจนถึงปี 1970
- อีก 172 ลำถูกเปิดใช้งานสำหรับสงครามเวียดนาม
ปี1976 NRF ได้รับการเสริมโดยกองเรือสำรอง (RFF) เพื่อจัดหาในเหตุฉุกเฉินทางทหาร สิงหาคมปี 1990 เรือ 78 ลำถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ Desert Storm ในช่วง the Gulf War ระหว่างสิงหาคม 1990 ถึงเมษายน 1991 เรือทำการขนส่งสินค้าทั่วไปในระยะสั้นๆ 750,000 ตันซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของสินค้าทั้งหมดในช่วงความขัดแย้ง
ปี 2005 เรือ RRF 5 ลำและ NDRF 4 ลำปฏิบัติการบรรเทาทุกข์หลังพายุเฮอริเคน Katrina and Rita และแผ่นดินไหวรุนแรงในเฮติเมื่อปี 2010, เรือ 6 ลำถูกใช้งานและมีส่วนร่วมในการบรรเทาทุกข์ และเฮอริเคน Sandy ใช้เรือ RRF 1 ลำและเรือฝึก NDRF 2 ลำ
กว่าปีที่รัฐบาลกลาง (MARAD) กำจัดเรือที่ล้าสมัยโดยส่งไปยัง scrapyard (สถานที่สำหรับการทำลายหรือแยกชิ้น) เพื่อรีไซเคิลหรือจมลงเป็นแนวปะการังเทียม ผลกระทบที่มากที่สุดคือกองเรือสำรองที่ Suisun Bay ในปี 1952 มีเรือทอดสมอ 340 ลำ แต่วันนี้เหลือไม่ถึง 50 ลำ แต่ก็ยังคงมีจำนวนเรือที่มากที่สุดในสามจุดของ NDRF เรือได้สร้างมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมในอ่าว ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับปลาและสัตว์ป่าจากวัสดุที่เป็นพิษ
ที่มา Wikipedia / MARAD.dot.gov / SFgate
Cr.https://www.amusingplanet.com/2014/06/the-ghost-ships-of-national-defense.html / KAUSHIK PATOWARY
700 กม. ทางใต้ของไมอามีห่างจากคิวบา 366 กม.
Grand Cayman เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการพัฒนามากที่สุดโดยมีพื้นที่ 197 ตารางกิโลเมตร ส่วนอีกสองแห่งคือมีขนาดเล็กที่ 38 และ 28.5 ตารางกิโลเมตรตามลำดับ อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 120 กม.
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของหมู่เกาะคือการดำน้ำลึก เกาะทั้งสามเป็นส่วนของภูเขาใต้น้ำขนาดใหญ่ ด้านข้างของภูเขานี้ค่อนข้างสูงชันเป็นแนวตั้งในบางสถานที่ห่างจากฝั่งเพียงไม่กี่ร้อยเมตร กำแพงนี้มีแนวปะการังปลาหลากสีและสิ่งมีชีวิตใต้น้ำแปลก ๆ แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับนักดำน้ำคือซากเรืออับปาง
เรือมากกว่า 325 ลำที่จมลงรอบๆเกาะอยู่ในเส้นทางเดินเรือระหว่างคิวบาซึ่งเป็นจุดจอดสุดท้ายก่อนออกสู่ทะเลเปิดในยุโรป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักดำน้ำมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้พบสมบัติที่จมอยู่ใต้น้ำจำนวนมากบริเวณนี้ ปี 1970 คู่สามีภรรยาจากเมือง Dalton,จอร์เจีย ขณะดำน้ำตื้นนอกชายหาดของเกาะได้พบซากเรืออายุ 450 ปีที่หายไปในปี 1522 (เส้นทางจากเม็กซิโกไปสเปน) เรือลำนี้บรรทุกทองคำขาว เงินและเครื่องประดับจำนวนมากกว่า 135 ก.ก.ที่จมอยู่ใต้น้ำในสภาพสมบูรณ์แม้นานหลายศตวรรษ
ซากเรืออัปปางที่โด่งดังที่สุดคือ Keith Tibbetts เรือฟริเกตประเภทพลจัตวาของรัสเซีย 330 ฟุตซึ่งจมลงในปี 1996 ที่เป็นแนวปะการังเทียมและแหล่งดำน้ำเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ปัจจุบันใบพัดเรือเกือบครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในทรายที่ความสูง 56 ฟุตกลายเป็นที่อยู่ของปลาเก๋าหลากสีหลายพันตัวและปะการังกว่า 100 ชนิด
อีกแห่งคือซากเรืออัปปางของ Cali ที่ถูกระเบิดโดยกองทัพอังกฤษ จมอยู่ในน้ำนิ่งประมาณ 20 ฟุตห่างจากฝั่งเพียง 30 ม. สามารถเห็นเครื่องยนต์และเสากระโดงเรือ Cali สร้างขึ้นในปี 1944 เป็นเรือใบที่มีความชำนาญ สูง 66 ม.ซึ่งมีป้ายกำกับว่าเป็นอันตรายต่อการเดินเรือในปี 1957
เป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่ได้รับความนิยมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่ง ทำเลที่ตั้งในน้ำตื้นทำให้นักดำน้ำตื้นสำรวจได้ง่ายและคุ้มค่ามากเพราะมีสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อุดมสมบูรณ์
เรืออับปางล่าสุดของหมู่เกาะ Cayman เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2011 เมื่อเรือ USS Kittiwake ที่ปลดประจำการถูกลากไปทางฝั่งตะวันตกของเกาะ
Grand Cayman เพื่อใช้เป็นแนวปะการังเทียมและเป็นแหล่งดำน้ำอีกแห่ง Kittiwake เป็นแหล่งดำน้ำที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ด้วยทุ่นจอดเรือเจ็ดทุ่นตั้งอยู่ในแนวตั้งเกือบสมบูรณ์ที่ความลึกเพียง 62 ฟุต ด้านบนสุดของซากเรืออยู่ห่างจากผิวน้ำไม่เกิน 7 ฟุตทำให้เป็นหนึ่งในเรืออับปางเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งนักดำน้ำอาชีพและสมัครเล่น
ที่มา Wikipedia , แหล่งประวัติศาสตร์และซากเรือ , คู่มือกิจกรรม Cayman , Alert Diver
Cr.https://www.amusingplanet.com/2013/05/the-shipwrecks-of-cayman-island.html / KAUSHIK PATOWARY
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)