ก่อนไปผจญภัยต่างมิติ มาผจญภัยในมิติของไอดินเป็นออเดิร์ฟก่อนนะคะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๒
https://ppantip.com/topic/39997971
###
บทที่ ๓
มุสไม่โผล่มาอีกเลย
ผมรอเขาอยู่สามสี่วัน หมอนั่นก็ยังไม่มา
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร มุสไม่ได้มาหาผมบ่อยขนาดนั้น บางครั้งเขายังหายไปเป็นสัปดาห์ แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คาดหวังให้เขามารับผมข้ามมิติไป ผมจึงไม่รู้สึกอะไร
ทว่าหลังจากเกล็ดแก้วให้สายรัดข้อมือทั้งสองอันกับผม (อันที่เป็นสีเขียวกับสีชมพูนั่นละ) ผมก็ใจจดใจจ่อรอมุสมารับ ถึงขนาดพกสายรัดข้อมือทั้งสองอันพร้อมกับชุดกันเชื้อไปไหนต่อไหนตลอดเวลา นัยว่าหากมุสโผล่มาเมื่อไรผมก็จะได้สลับสายรัดข้อมือแล้วเผ่นได้ทันที (แน่นอน ผมบอกพ่อกับแม่ไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ท่านกังวลเวลาผมหายไป)
บางทีอาจเป็นเพราะผมไม่ได้ข้ามมิติ ไม่ได้ผจญภัยร่วมกับมุสมาร่วมสี่เดือนแล้วตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มสงสัยพฤติกรรมของผม อันที่จริงผมก็คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ไปต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นที่มิติของเขา หรือมิติของปราบแดน ถึงผมจะแพ้ทุกสิ่งทุกอย่างในมิติอื่นจนต้องใส่ชุดกันเชื้อไว้ตลอดเวลา แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี
“มุสยังไม่มาอีกหรือ” เกล็ดแก้วถามระหว่างที่ผมขยับหามุมที่นั่งเหมาะๆ บนโซฟารูปโค้งรอบยานร่อนของเธอ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ยายนั่นก็ชวนผมไปที่บ้าน บอกว่ามีอะไรจะให้ดู
“ยังเลย” ผมตอบในระหว่างแหงนหน้าขึ้นมองแผงกั้นนิรภัยเหนือศีรษะ มันมีลักษณะเป็นท่อนโลหะหุ้มนวมหนา ซึ่งสามารถดึงลงมากั้นบริเวณลำตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารกระเด็นไปกระแทกอะไร ในเวลาที่ยานร่อนเกิดชนกันหรือพลิกคว่ำ แต่ระบบป้องกันภัยนี้แทบไม่มีใครต้องใช้ ชั่วชีวิตของผมยังไม่เคยได้ยินว่ายานร่อนมีการชนกันเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ร่อนเฉียดผ่านกันทำให้กระเทือนเล็กน้อยเท่านั้น
“จะเปินอะไรรึเปล่า” ยายผงซิลิก้าถามเหมือนพูดขึ้นลอยๆ ผมมองไปที่เธอซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม เห็นเธอกำลังเอียงคอมองออกไปยังนอกหน้าต่างของยานที่อยู่ทางด้านหลัง หน้าต่างนั้นเป็นบานกระจกโค้งรับกับรูปทรงของยานซึ่งมีลักษณะเป็นจานกลมแบน
ผมไม่แน่ใจว่าเธอถามเพราะเป็นห่วงหรือเพียงแค่อยากรู้กันแน่ จะว่าไป ผมก็สงสัยอยู่ว่าคนอย่างยายผงซิลิก้าจะรู้จักเป็นห่วงใครหรือเปล่า
ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะคิดหาคำตอบ เสียงสัญญาณฉุกเฉินจากสายรัดข้อมือของทั้งผมและเกล็ดแก้วก็ดังขึ้นพร้อมกัน อึดใจต่อมาเสียงหวูดสัญญาณก็ดังลั่นไปทั่วเมือง ผมกับยายผงซิลิก้าชะโงกมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปยังถนนเบื้องล่างโดยพร้อมเพรียง แสงสีส้มวูบวาบพลันย้อมอาคารทั้งหมดจนเป็นสีส้มราวกับอยู่กลางกองเพลิง
“โคชาน!” ได้ยินเกล็ดแก้วร้องตะโกนขึ้น ผมจึงถลาไปยังบริเวณที่เธอนั่งอยู่ ชันเข่าบนเบาะโซฟาแล้วยืดตัวขึ้นมองออกไป ก็เห็นสิงโตลายพลาดกลอน สยายปีกบินร่อนอยู่ด้านล่างนั้น
เพื่อนขนฟูของผมร่อนไปตามถนนระหว่างอาคารสูง ปีกนกสีขาวของมันแผ่กว้างจนแทบปัดถูกอาคารทั้งสองข้าง ยามกระพือก็ก่อให้เกิดลมพัด บังเกิดเสียงพึ่บพั่บดังยิ่งกว่าใบพัดของยานร่อนรุ่นโบราณ เบื้องหน้ามันเป็นร่างในชุดสีดำร่างหนึ่ง ร่างนั้นกำลังวิ่งไปตามถนนซึ่งตัดเป็นเส้นตรงแน่วนั่นเอง
เสียงเปรี๊ยะตามมาด้วยเสียงดังโครมครามยามที่โคชานใช้เวทมนต์ลักษณะเป็นลำแสงสีฟ้ายิงใส่คนผู้นั้น ขณะเดียวกันรอบตัวคนผู้นั้นก็ปรากฏแสงสีน้ำเงินเข้มกระจายออกมาเป็นเกราะป้องกันเขา สะท้อนเวทมนต์ของโคชานกระเด็นไปชนผนังตึกที่ด้านข้างจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
เพื่อนผมคงรู้สึกขัดใจ เห็นแสงสีฟ้าบังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้ามัน แต่เพียงครู่เดียวก็วูบหายไป คาดว่ามันคงเดาได้ หากมันยิงแสงใส่คนที่เบื้องหน้า พลังของมันก็จะถูกสะท้อนไปทำลายตึกที่ด้านข้างอีก หมอนั่นคงไม่อยากให้มีใครเป็นอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลยิ่งกว่าไม่ใช่เวทมนต์ของโคชาน แต่เป็นเทคโนโลยีในมิติผมมากกว่า...
“แย่แล้ว!” ผมร้องออกไปยามเห็นกลุ่มหมอกจางๆ ปรากฏขึ้นบนถนนรอบตัวเพื่อนของผม มันคือยาฆ่าเชื้ออย่างไม่ต้องสงสัย
ในมิติของผมที่สังคมมนุษย์แทบล่มสลายเพราะเชื้อโรคจากสัตว์ ผู้คนจะเห็นสัตว์ทุกชนิดเป็นตัวเชื้อโรคที่ต้องกำจัดทิ้ง หากมีสิ่งมีชีวิตที่หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์โผล่เข้ามาแล้วละก็ เครื่องพ่นยาฆ่าเชื้อที่ติดตั้งอยู่ทุกหนแห่งทั่วเมืองจะพ่นยาฆ่าเชื้อออกมา จนทุกหนแห่งดูเหมือนเป็นหมอกขาว
อันที่จริงยาฆ่าเชื้อไม่ได้เป็นพิษภัยรุนแรงต่อผู้คน อาจมีกลิ่นฉุนไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้มนุษย์ล้มป่วย ทว่าเพื่อนต่างมิติของผม...เจ้าเสือกึ่งสิงโตมีปีกที่บินฝ่ากลุ่มหมอกอยู่นั้น...แพ้ยาฆ่าเชื้ออย่างรุนแรงจนเคยถึงขั้นสลบเหมือดมาแล้ว
“บอกให้ยานลงจอดเร็วเข้า” ผมบอกเกล็ดแก้วเร็วจี๋ แต่ยังไม่ทันขาดคำ ผมก็ได้ยินเสียงอุปกรณ์สื่อสารภายในยานดังขึ้น
“ขอให้ผู้โดยสารในยานอย่าตื่นตระหนก” เป็นเสียงชายคนหนึ่งติดต่อผ่านอุปกรณ์สื่อสารเข้ามา คาดว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่จากแผนกปราบปรามอย่างแน่นอน “ยานร่อนของท่านมีอุปกรณ์นำวิถี มันจะนำท่านไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ ขอให้ท่านวางใจและอย่าได้ตื่นตระหนกไป”
โว้ย! เพราะอย่างนี้ละผมถึงต้องตื่นตระหนก จากประสบการณ์การผจญภัยในต่างมิติ (อันน้อยนิด) ของผม ที่มิติอื่นไม่เห็นมีระบบอัตโนมัติมากมายจนน่าขัดใจอย่างมิตินี้เลย
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง” ผมหันไปบอกเกล็ดแก้ว จังหวะเดียวกันนั้นผมก็เห็นยายนั่นยืนอยู่กลางยานร่อน ตรงหน้าเธอมีภาพโฮโลแกรมของแผงควบคุมบางอย่างอยู่ ไม่ทราบเรียกมันออกมาตั้งแต่เมื่อไร
“ไม่ได้ ถ้าแฮกค์ระบบอัตโนมัติตอนนี้ เจ้าหน้าที่ต้องรู้แน่ว่าเป็นฉัน” ยายนั่นพึมพำ
“แต่โคชาน...”
ฟึ่บ กึงๆๆ
ผมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าโลกหมุนหรือไม่ตัวของผมก็หมุนกลิ้งตีลังกาอยู่ในยาน ครั้นทรงตัวได้แล้วผมก็ขยับลุกขึ้นนั่ง และพบว่าตัวเองกองอยู่บนเพดานของยาน โซฟากลับยึดอยู่ด้านบนเหนือศีรษะ ซึ่งก็คือพื้นยานนั่นเอง
ผมรีบถลาไปยังหน้าต่าง มองออกไปนอกยาน ยังเห็นคนชุดดำวิ่งเลี้ยวเข้าถนนอีกสายหนึ่ง ทว่าโคชานไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
อึดใจต่อมา ยานร่อนสีดำลำหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาเทียบ ห่างออกไปทางด้านหลังก็มีอีกลำหนึ่ง
“คนในยานเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินแล้วตอบด้วย คนในยาน...ได้ยินแล้วตอบด้วย” เสียงดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสารภายในยาน
ผมยังคงงุนงงอยู่ พอได้ยินคำถามแบบนั้นก็มองสำรวจไปรอบๆ เห็นเกล็ดแก้วค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งพิงผนังยานด้านหนึ่ง ผมจึงคลานเข้าไปหาเธอ
“เป็นยังไงบ้าง” ผมถาม ยายนั่นจึงส่ายหน้านิดหนึ่ง
“คนในยานบาดเจ็บหรือไม่” เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้นอีก
“ไม่บาดเจ็บครับ ไม่มีใครเป็นอะไร” ผมตอบออกไป แต่ยังไม่กล้าลุกขึ้นยืนเพราะพื้นที่ผมนั่งอยู่เป็นเพดานของยาน
“ยานร่อนของคุณถูกสัตว์ประหลาดพุ่งโฉบจนพลิกคว่ำ แต่ระบบปรับสมดุลอัตโนมัติดูเหมือนจะมีปัญหา คุณพอจะออกคำสั่งให้มันปรับสมดุลเองได้รึเปล่า”
“ได้...ค่ะ” ยายเกล็ดแก้วซึ่งยังดูมึนงงอยู่ตอบไปทีละคำ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ขยับไปที่ตรงกลางของยาน แล้วออกคำสั่งเรียกแผงควบคุมออกมา
“เมื่อครู่ฉันยืนดูแผงควบคุมอยู่ คิดว่าตอนที่ยานพลิก มือคงไปโดนอะไรสักอย่างทำให้ระบบปรับสมดุลไม่ทำงาน” เธอว่า พลางเอียงคอมองภาพโฮโลแกรมกลับหัวที่ฉายอยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงยื่นมือออกไปสัมผัสปุ่มหนึ่ง ตอนนั้นเองสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเงาสีขาวพุ่งลงมาจากด้านบน เฉียดผ่านหน้าต่างยานร่อนไป
โคชาน...
ตอนที่ยานพลิก หมอนั่นคงพยายามบินหนียาฆ่าเชื้อขึ้นมา มันอาจจะไม่ทันเห็นหรือไม่ทันระวังว่ามียานร่อนอยู่เหนือศีรษะจึงโฉบผ่านไปอย่างเฉียดฉิว แต่แรงลมปะทะคงทำให้ยานเสียหลักจนพลิกหงายท้อง
แต่ก็ดีที่มันปลอดภัย...
ทว่าก่อนที่ผมจะหายใจได้คล่อง ยานร่อนสีดำสองลำที่บินประกบเราเมื่อครู่ก็โผร่อนตามโคชานไปอย่างกระชั้นชิด...ไม่สิ ยังมีอีกสองลำที่บินอยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งผมมองไม่เห็นในตอนแรก รวมเป็นสี่ลำร่อนตามโคชานลงไป
ไม่นานนัก ผมก็เห็นลำกล้องบางอย่างยื่นออกมาจากใต้ท้องของยานร่อนสีดำลำแรก เสียงฟู่ดังเบาๆ หมอกควันสีขาวก็ถูกฉีดพ่นออกมาจากยาน เหนือศีรษะของโคชาน
ผมแทบลืมหายใจยามเห็นหมอกควันนั้นกำลังคลี่คลุมร่างเสือกึ่งสิงโต โคชานขยับปีกทีหนึ่ง หมอกควันนั้นก็ถูกพัดกระจายไปทางอื่น หมอนั่นหลุบปีกอีกครา บินหลบหลีกหมอกควันพร้อมทั้งยานร่อนสีดำอีกสองลำที่ตามมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ผมผ่อนลมหายใจยาวยามเห็นหมอนั่นปลอดภัยดีแล้ว ทว่าอึดใจต่อมา ผมก็ต้องสะดุ้งพรวดยามได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในยานร่อนของตัวเอง
“ผู้โดยสารกรุณาหาที่นั่งให้เรียบร้อยและดึงแผงกั้นนิรภัยลง ยานกำลังจะปรับสมดุล” เสียงผู้หญิงซึ่งเป็นเสียงสังเคราะห์ดังไปทั่วยาน “ย้ำ! ขอให้ผู้โดยสารนั่งที่ให้เรียบร้อยพร้อมดึงแผงกั้นนิรภัยลง ยานกำลังจะปรับสมดุลในอีก...สิบเก้า...สิบแปด...”
ผมกับเกล็ดแก้วมองหน้ากันแหงนมองโซฟา ซึ่งบัดนี้ถูกตรึงกลับหัวอยู่เหนือศีรษะโดยพร้อมเพรียง...จะปีนขึ้นไปนั่งยังไงละโว้ย!
“สิบสี่...สิบสาม...”
“ฉันรู้แล้ว!” ยายผงซิลิก้าโพล่งขึ้น แล้วก็ยื่นแขนเหนี่ยวแผงกั้นนิรภัยท่อนหนึ่งซึ่งอยู่สูงจากศีรษะไปเกือบสุดแขนเอื้อม จากนั้นก็พยายามดึงตัวขึ้น เพียงแต่แขนเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้ค่อยได้ออกกำลังกายย่อมไม่มีแรงจะโหนตัวเองขึ้นไปได้
“เก้า...แปด...”
“ฉันช่วย” ผมบอกเธอ แล้วก็ช่วยดันตัวเธอขึ้นไปจนเธอเหวี่ยงขาเกี่ยวแผงกั้นนิรภัยไว้ได้
“หก...ห้า...”
“เอาละ เกาะไว้แบบนี้ ถ้ายานพลิกแล้วแขนหลุด อย่างน้อยเราก็ตกลงไปบนโซฟา” เธอว่า ผมจึงผงกศีรษะ แล้วขยับไปด้านข้าง ยื่นแขนยึดแผงกั้นนิรภัยอีกท่อนหนึ่งไว้ แต่ขณะกำลังรั้งตัวขึ้นไปนั่นเอง
“...สอง...หนึ่ง...”
วี้...วืด...
“ว้าก!” ผมร้องด้วยความตกใจ ก่อนที่ตัวจะหล่นตุบจนหน้าจมลงไปในเบาะนุ่ม ผมมึนงงจนคิดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ จากนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้ผมดันตัวลุกขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจจะหายใจไม่ออกตาย
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๓
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๒ https://ppantip.com/topic/39997971
###
บทที่ ๓
มุสไม่โผล่มาอีกเลย
ผมรอเขาอยู่สามสี่วัน หมอนั่นก็ยังไม่มา
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร มุสไม่ได้มาหาผมบ่อยขนาดนั้น บางครั้งเขายังหายไปเป็นสัปดาห์ แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คาดหวังให้เขามารับผมข้ามมิติไป ผมจึงไม่รู้สึกอะไร
ทว่าหลังจากเกล็ดแก้วให้สายรัดข้อมือทั้งสองอันกับผม (อันที่เป็นสีเขียวกับสีชมพูนั่นละ) ผมก็ใจจดใจจ่อรอมุสมารับ ถึงขนาดพกสายรัดข้อมือทั้งสองอันพร้อมกับชุดกันเชื้อไปไหนต่อไหนตลอดเวลา นัยว่าหากมุสโผล่มาเมื่อไรผมก็จะได้สลับสายรัดข้อมือแล้วเผ่นได้ทันที (แน่นอน ผมบอกพ่อกับแม่ไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ท่านกังวลเวลาผมหายไป)
บางทีอาจเป็นเพราะผมไม่ได้ข้ามมิติ ไม่ได้ผจญภัยร่วมกับมุสมาร่วมสี่เดือนแล้วตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มสงสัยพฤติกรรมของผม อันที่จริงผมก็คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ไปต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นที่มิติของเขา หรือมิติของปราบแดน ถึงผมจะแพ้ทุกสิ่งทุกอย่างในมิติอื่นจนต้องใส่ชุดกันเชื้อไว้ตลอดเวลา แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี
“มุสยังไม่มาอีกหรือ” เกล็ดแก้วถามระหว่างที่ผมขยับหามุมที่นั่งเหมาะๆ บนโซฟารูปโค้งรอบยานร่อนของเธอ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ยายนั่นก็ชวนผมไปที่บ้าน บอกว่ามีอะไรจะให้ดู
“ยังเลย” ผมตอบในระหว่างแหงนหน้าขึ้นมองแผงกั้นนิรภัยเหนือศีรษะ มันมีลักษณะเป็นท่อนโลหะหุ้มนวมหนา ซึ่งสามารถดึงลงมากั้นบริเวณลำตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารกระเด็นไปกระแทกอะไร ในเวลาที่ยานร่อนเกิดชนกันหรือพลิกคว่ำ แต่ระบบป้องกันภัยนี้แทบไม่มีใครต้องใช้ ชั่วชีวิตของผมยังไม่เคยได้ยินว่ายานร่อนมีการชนกันเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ร่อนเฉียดผ่านกันทำให้กระเทือนเล็กน้อยเท่านั้น
“จะเปินอะไรรึเปล่า” ยายผงซิลิก้าถามเหมือนพูดขึ้นลอยๆ ผมมองไปที่เธอซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม เห็นเธอกำลังเอียงคอมองออกไปยังนอกหน้าต่างของยานที่อยู่ทางด้านหลัง หน้าต่างนั้นเป็นบานกระจกโค้งรับกับรูปทรงของยานซึ่งมีลักษณะเป็นจานกลมแบน
ผมไม่แน่ใจว่าเธอถามเพราะเป็นห่วงหรือเพียงแค่อยากรู้กันแน่ จะว่าไป ผมก็สงสัยอยู่ว่าคนอย่างยายผงซิลิก้าจะรู้จักเป็นห่วงใครหรือเปล่า
ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะคิดหาคำตอบ เสียงสัญญาณฉุกเฉินจากสายรัดข้อมือของทั้งผมและเกล็ดแก้วก็ดังขึ้นพร้อมกัน อึดใจต่อมาเสียงหวูดสัญญาณก็ดังลั่นไปทั่วเมือง ผมกับยายผงซิลิก้าชะโงกมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปยังถนนเบื้องล่างโดยพร้อมเพรียง แสงสีส้มวูบวาบพลันย้อมอาคารทั้งหมดจนเป็นสีส้มราวกับอยู่กลางกองเพลิง
“โคชาน!” ได้ยินเกล็ดแก้วร้องตะโกนขึ้น ผมจึงถลาไปยังบริเวณที่เธอนั่งอยู่ ชันเข่าบนเบาะโซฟาแล้วยืดตัวขึ้นมองออกไป ก็เห็นสิงโตลายพลาดกลอน สยายปีกบินร่อนอยู่ด้านล่างนั้น
เพื่อนขนฟูของผมร่อนไปตามถนนระหว่างอาคารสูง ปีกนกสีขาวของมันแผ่กว้างจนแทบปัดถูกอาคารทั้งสองข้าง ยามกระพือก็ก่อให้เกิดลมพัด บังเกิดเสียงพึ่บพั่บดังยิ่งกว่าใบพัดของยานร่อนรุ่นโบราณ เบื้องหน้ามันเป็นร่างในชุดสีดำร่างหนึ่ง ร่างนั้นกำลังวิ่งไปตามถนนซึ่งตัดเป็นเส้นตรงแน่วนั่นเอง
เสียงเปรี๊ยะตามมาด้วยเสียงดังโครมครามยามที่โคชานใช้เวทมนต์ลักษณะเป็นลำแสงสีฟ้ายิงใส่คนผู้นั้น ขณะเดียวกันรอบตัวคนผู้นั้นก็ปรากฏแสงสีน้ำเงินเข้มกระจายออกมาเป็นเกราะป้องกันเขา สะท้อนเวทมนต์ของโคชานกระเด็นไปชนผนังตึกที่ด้านข้างจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
เพื่อนผมคงรู้สึกขัดใจ เห็นแสงสีฟ้าบังเกิดขึ้นที่เบื้องหน้ามัน แต่เพียงครู่เดียวก็วูบหายไป คาดว่ามันคงเดาได้ หากมันยิงแสงใส่คนที่เบื้องหน้า พลังของมันก็จะถูกสะท้อนไปทำลายตึกที่ด้านข้างอีก หมอนั่นคงไม่อยากให้มีใครเป็นอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลยิ่งกว่าไม่ใช่เวทมนต์ของโคชาน แต่เป็นเทคโนโลยีในมิติผมมากกว่า...
“แย่แล้ว!” ผมร้องออกไปยามเห็นกลุ่มหมอกจางๆ ปรากฏขึ้นบนถนนรอบตัวเพื่อนของผม มันคือยาฆ่าเชื้ออย่างไม่ต้องสงสัย
ในมิติของผมที่สังคมมนุษย์แทบล่มสลายเพราะเชื้อโรคจากสัตว์ ผู้คนจะเห็นสัตว์ทุกชนิดเป็นตัวเชื้อโรคที่ต้องกำจัดทิ้ง หากมีสิ่งมีชีวิตที่หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์โผล่เข้ามาแล้วละก็ เครื่องพ่นยาฆ่าเชื้อที่ติดตั้งอยู่ทุกหนแห่งทั่วเมืองจะพ่นยาฆ่าเชื้อออกมา จนทุกหนแห่งดูเหมือนเป็นหมอกขาว
อันที่จริงยาฆ่าเชื้อไม่ได้เป็นพิษภัยรุนแรงต่อผู้คน อาจมีกลิ่นฉุนไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้มนุษย์ล้มป่วย ทว่าเพื่อนต่างมิติของผม...เจ้าเสือกึ่งสิงโตมีปีกที่บินฝ่ากลุ่มหมอกอยู่นั้น...แพ้ยาฆ่าเชื้ออย่างรุนแรงจนเคยถึงขั้นสลบเหมือดมาแล้ว
“บอกให้ยานลงจอดเร็วเข้า” ผมบอกเกล็ดแก้วเร็วจี๋ แต่ยังไม่ทันขาดคำ ผมก็ได้ยินเสียงอุปกรณ์สื่อสารภายในยานดังขึ้น
“ขอให้ผู้โดยสารในยานอย่าตื่นตระหนก” เป็นเสียงชายคนหนึ่งติดต่อผ่านอุปกรณ์สื่อสารเข้ามา คาดว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่จากแผนกปราบปรามอย่างแน่นอน “ยานร่อนของท่านมีอุปกรณ์นำวิถี มันจะนำท่านไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ ขอให้ท่านวางใจและอย่าได้ตื่นตระหนกไป”
โว้ย! เพราะอย่างนี้ละผมถึงต้องตื่นตระหนก จากประสบการณ์การผจญภัยในต่างมิติ (อันน้อยนิด) ของผม ที่มิติอื่นไม่เห็นมีระบบอัตโนมัติมากมายจนน่าขัดใจอย่างมิตินี้เลย
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง” ผมหันไปบอกเกล็ดแก้ว จังหวะเดียวกันนั้นผมก็เห็นยายนั่นยืนอยู่กลางยานร่อน ตรงหน้าเธอมีภาพโฮโลแกรมของแผงควบคุมบางอย่างอยู่ ไม่ทราบเรียกมันออกมาตั้งแต่เมื่อไร
“ไม่ได้ ถ้าแฮกค์ระบบอัตโนมัติตอนนี้ เจ้าหน้าที่ต้องรู้แน่ว่าเป็นฉัน” ยายนั่นพึมพำ
“แต่โคชาน...”
ฟึ่บ กึงๆๆ
ผมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าโลกหมุนหรือไม่ตัวของผมก็หมุนกลิ้งตีลังกาอยู่ในยาน ครั้นทรงตัวได้แล้วผมก็ขยับลุกขึ้นนั่ง และพบว่าตัวเองกองอยู่บนเพดานของยาน โซฟากลับยึดอยู่ด้านบนเหนือศีรษะ ซึ่งก็คือพื้นยานนั่นเอง
ผมรีบถลาไปยังหน้าต่าง มองออกไปนอกยาน ยังเห็นคนชุดดำวิ่งเลี้ยวเข้าถนนอีกสายหนึ่ง ทว่าโคชานไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
อึดใจต่อมา ยานร่อนสีดำลำหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาเทียบ ห่างออกไปทางด้านหลังก็มีอีกลำหนึ่ง
“คนในยานเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินแล้วตอบด้วย คนในยาน...ได้ยินแล้วตอบด้วย” เสียงดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสารภายในยาน
ผมยังคงงุนงงอยู่ พอได้ยินคำถามแบบนั้นก็มองสำรวจไปรอบๆ เห็นเกล็ดแก้วค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งพิงผนังยานด้านหนึ่ง ผมจึงคลานเข้าไปหาเธอ
“เป็นยังไงบ้าง” ผมถาม ยายนั่นจึงส่ายหน้านิดหนึ่ง
“คนในยานบาดเจ็บหรือไม่” เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้นอีก
“ไม่บาดเจ็บครับ ไม่มีใครเป็นอะไร” ผมตอบออกไป แต่ยังไม่กล้าลุกขึ้นยืนเพราะพื้นที่ผมนั่งอยู่เป็นเพดานของยาน
“ยานร่อนของคุณถูกสัตว์ประหลาดพุ่งโฉบจนพลิกคว่ำ แต่ระบบปรับสมดุลอัตโนมัติดูเหมือนจะมีปัญหา คุณพอจะออกคำสั่งให้มันปรับสมดุลเองได้รึเปล่า”
“ได้...ค่ะ” ยายเกล็ดแก้วซึ่งยังดูมึนงงอยู่ตอบไปทีละคำ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ขยับไปที่ตรงกลางของยาน แล้วออกคำสั่งเรียกแผงควบคุมออกมา
“เมื่อครู่ฉันยืนดูแผงควบคุมอยู่ คิดว่าตอนที่ยานพลิก มือคงไปโดนอะไรสักอย่างทำให้ระบบปรับสมดุลไม่ทำงาน” เธอว่า พลางเอียงคอมองภาพโฮโลแกรมกลับหัวที่ฉายอยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงยื่นมือออกไปสัมผัสปุ่มหนึ่ง ตอนนั้นเองสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเงาสีขาวพุ่งลงมาจากด้านบน เฉียดผ่านหน้าต่างยานร่อนไป
โคชาน...
ตอนที่ยานพลิก หมอนั่นคงพยายามบินหนียาฆ่าเชื้อขึ้นมา มันอาจจะไม่ทันเห็นหรือไม่ทันระวังว่ามียานร่อนอยู่เหนือศีรษะจึงโฉบผ่านไปอย่างเฉียดฉิว แต่แรงลมปะทะคงทำให้ยานเสียหลักจนพลิกหงายท้อง
แต่ก็ดีที่มันปลอดภัย...
ทว่าก่อนที่ผมจะหายใจได้คล่อง ยานร่อนสีดำสองลำที่บินประกบเราเมื่อครู่ก็โผร่อนตามโคชานไปอย่างกระชั้นชิด...ไม่สิ ยังมีอีกสองลำที่บินอยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งผมมองไม่เห็นในตอนแรก รวมเป็นสี่ลำร่อนตามโคชานลงไป
ไม่นานนัก ผมก็เห็นลำกล้องบางอย่างยื่นออกมาจากใต้ท้องของยานร่อนสีดำลำแรก เสียงฟู่ดังเบาๆ หมอกควันสีขาวก็ถูกฉีดพ่นออกมาจากยาน เหนือศีรษะของโคชาน
ผมแทบลืมหายใจยามเห็นหมอกควันนั้นกำลังคลี่คลุมร่างเสือกึ่งสิงโต โคชานขยับปีกทีหนึ่ง หมอกควันนั้นก็ถูกพัดกระจายไปทางอื่น หมอนั่นหลุบปีกอีกครา บินหลบหลีกหมอกควันพร้อมทั้งยานร่อนสีดำอีกสองลำที่ตามมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ผมผ่อนลมหายใจยาวยามเห็นหมอนั่นปลอดภัยดีแล้ว ทว่าอึดใจต่อมา ผมก็ต้องสะดุ้งพรวดยามได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในยานร่อนของตัวเอง
“ผู้โดยสารกรุณาหาที่นั่งให้เรียบร้อยและดึงแผงกั้นนิรภัยลง ยานกำลังจะปรับสมดุล” เสียงผู้หญิงซึ่งเป็นเสียงสังเคราะห์ดังไปทั่วยาน “ย้ำ! ขอให้ผู้โดยสารนั่งที่ให้เรียบร้อยพร้อมดึงแผงกั้นนิรภัยลง ยานกำลังจะปรับสมดุลในอีก...สิบเก้า...สิบแปด...”
ผมกับเกล็ดแก้วมองหน้ากันแหงนมองโซฟา ซึ่งบัดนี้ถูกตรึงกลับหัวอยู่เหนือศีรษะโดยพร้อมเพรียง...จะปีนขึ้นไปนั่งยังไงละโว้ย!
“สิบสี่...สิบสาม...”
“ฉันรู้แล้ว!” ยายผงซิลิก้าโพล่งขึ้น แล้วก็ยื่นแขนเหนี่ยวแผงกั้นนิรภัยท่อนหนึ่งซึ่งอยู่สูงจากศีรษะไปเกือบสุดแขนเอื้อม จากนั้นก็พยายามดึงตัวขึ้น เพียงแต่แขนเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้ค่อยได้ออกกำลังกายย่อมไม่มีแรงจะโหนตัวเองขึ้นไปได้
“เก้า...แปด...”
“ฉันช่วย” ผมบอกเธอ แล้วก็ช่วยดันตัวเธอขึ้นไปจนเธอเหวี่ยงขาเกี่ยวแผงกั้นนิรภัยไว้ได้
“หก...ห้า...”
“เอาละ เกาะไว้แบบนี้ ถ้ายานพลิกแล้วแขนหลุด อย่างน้อยเราก็ตกลงไปบนโซฟา” เธอว่า ผมจึงผงกศีรษะ แล้วขยับไปด้านข้าง ยื่นแขนยึดแผงกั้นนิรภัยอีกท่อนหนึ่งไว้ แต่ขณะกำลังรั้งตัวขึ้นไปนั่นเอง
“...สอง...หนึ่ง...”
วี้...วืด...
“ว้าก!” ผมร้องด้วยความตกใจ ก่อนที่ตัวจะหล่นตุบจนหน้าจมลงไปในเบาะนุ่ม ผมมึนงงจนคิดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ จากนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้ผมดันตัวลุกขึ้น ไม่อย่างนั้นอาจจะหายใจไม่ออกตาย