พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๔

กระทู้สนทนา
โคชานหายไปไหน ยังอยู่ที่มิติของไอดินหรือไม่ มาติดตามกันต่อเลยค่ะ

ภาคสี่ บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๓ https://ppantip.com/topic/40016426

###

บทที่ ๔

หุ่นสัตว์ต้นแบบที่บ้านยายเกล็ดแก้วเพิ่มขึ้นจนผมเริ่มกังวลว่าจะไม่มีที่ให้วางแล้ว

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในคราวนี้ก็คือปลาหมึกยักษ์ตัวใหญ่กว่าผม ซึ่งวางอยู่ตรงมุมห้องด้านหลังคุณมังกรตะวันออกเกล็ดสีเขียวแกมน้ำเงิน เบียดที่กับคุณยูนิคอร์นและคุณกริฟฟิน ด้านบนยังแขวนปลาฉลามตัวย่อมกว่าไว้ตัวหนึ่งด้วย

ซึ่งก็แน่นอน สัตว์ทั้งสองชนิด รวมทั้งปลา แมงกะพรุน และสัตว์น้ำอื่นๆ ที่ผมเห็นในมิติของปราบแดน ได้เข้าไปอยู่ในเกมโลกจำลอง รุ่นสัตว์น้ำแสนรักไปเรียบร้อยแล้ว

ครั้นเดินผ่านห้องเก็บหุ่นสารพัดสัตว์เข้าไปยังห้องของเกล็ดแก้วแล้ว ยายนั่นก็ให้ผมยืนรออยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นเธอก็เดินไปที่ผนังห้องด้านหนึ่ง ออกคำสั่งเปิดตู้แล้วหยิบเอาชุดจับความเคลื่อนไหวออกมาสองชุด เธอยื่นชุดหนึ่งให้ผม ส่วนตนเองก็สวมอีกชุดหนึ่ง

“เราจะเข้าห้องสมุดกัน” เธอบอก แล้วเรียกเว็บไซต์ห้องสมุดประวัติศาสตร์ออกมา ตอนนั้นเอง สภาพห้องยายเกล็ดแก้วก็วูบหายไป กลายเป็นห้องสมุดแบบสมัยก่อน ที่มีตู้เก็บหนังสือวางเรียงรายเต็มไปหมด แสงภายในห้องก็เป็นสีนวลสบายตา

“ดูนี่” ยายผงซิลิก้าว่า ในมือของเธอถือหนังสือทั้งใหญ่ทั้งหนาไว้เล่มหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

“สารานุกรมไดโนเสาร์” ผมอ่านตัวอักษรที่หน้าปก ซึ่งมีรูป...สัตว์...ประหลาด เป็นตัวอะไรสักอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หัวโต แขนเล็ก หางยาว มันกำลังอ้าปากท่าทางดุร้าย ฟันที่เรียงอยู่ในปากดูแหลมคมน่ากลัวทุกซี่

“ใช่...ไดโนเสาร์” ยายนั่นเอ่ยด้วยเสียงตื่นเต้นพลางพลิกหนังสือเปิด “เท่าที่ฉันอ่านดู มันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์...โบราณ...ก่อนประวัติศาสตร์ มันเคยอยู่ในมิตินี้ก่อนที่มนุษย์จะเกิดเสียอีก”

ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย อันที่จริงก็พอจะเคยได้ยินว่ามิตินี้เคยมีสัตว์อยู่มาก่อนที่มนุษย์จะวิวัฒนาการขึ้นมา แต่ผมนึกไม่ออก เท่าที่เรียนในโรงเรียนผมก็รู้จักแค่สัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดจนทำให้สังคมมนุษย์ล่มสลาย และต้องทำลายสัตว์จนหมดมิตินั่นละ

“ดูนี่สิ” ยายนั่นยกหนังสือขึ้นชูให้ผมดูหน้ากลางๆ ซึ่งเป็นภาพวาดสัตว์ประหลาดหน้าตาคล้ายกับบนปก แต่ตัวนี้มีหงอนอยู่เหนือตาเล็กๆ ทั้งสองข้างด้วย “ตัวนี้เรียกอัลโลซอรัส” ยายนั่นบอก

ผมมองภาพนั้นอย่างงงๆ ยายเกล็ดแก้วจึงเอานิ้วจิ้มไปที่ภาพ ก็ปรากฏภาพโฮโลแกรมสามมิติขึ้นมา ซึ่งทำให้ผมตกใจถึงกับผงะ

มันเป็นไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อ ฟันแหลมยาวน่ากลัว (แต่แขนเล็กขนาดนั้นจะหยิบเนื้อเข้าปากยังไง แค่เอื้อมคงยังไม่ถึงคางเลยด้วยซ้ำ) ตัวมันสูงใหญ่ยืนด้วยสองขาหลัง หางยาวสมดุลกับส่วนหัว มันมีอายุอยู่เมื่อราวร้อยห้าสิบห้าถึงร้อยสี่สิบห้าปีก่อน (โห!) ในยุคที่เรียกว่าจูแรสซิก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือยุคอะไร เอาเป็นว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ก็แล้วกัน

“ยังมีอีกนะ” น้ำเสียงยายผงซิลิก้าฟังดูตื่นเต้น “ตัวนี้กินพืช” แล้วเธอก็พลิกหน้าหนังสือต่อไปอีกสองสามหน้า ก่อนจะจิ้มนิ้วที่อีกรูปหนึ่ง ภาพโฮโลแกรมอีกภาพก็ปรากฏขึ้นมา เป็นตัวประหลาดยิ่งกว่าตัวแรกเสียอีก

ตัวมันป้อมหนาดูล่ำสัน ยืนด้วยสี่ขา ส่วนหัวมีแผงกว้างปิดไปถึงคอ หน้าผากมีเขายื่นมาสองเขา ตรงจมูกก็มีอีกเขาหนึ่ง หางที่ชี้ไปด้านหลังป้อมสั้นกว่าตัวแรก และเพราะมันมีสามเขา คนสมัยก่อนจึงเรียกมันว่า ไทรเซราท็อปส์ มันมีอายุในช่วงหกสิบเจ็ดถึงหกสิบห้าล้านปีก่อน (ครับ ผมอ้าปาก ‘โห!’ เป็นรอบที่สอง) ในยุคที่เรียกว่าครีเตเชียส

“ยังไม่หมดนะ”​ ท่าทางยายเกล็ดแก้วยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมจนดูคล้ายคนบ้าไปแล้ว

“เอ่อ...เดี๋ยวนะ” ผมเอ่ยออกไป ยังไม่แน่ใจว่ายายนั่นให้ผมดูอะไร “เธอจะบอกว่า สัตว์ประหลาดพวกนี้เป็นของจริงหรือ”

“ใช่ มันเคยมีอยู่จริง เมื่อหลายสิบปี หลายร้อยล้านปีก่อนน่ะ”

“แต่...เธอแน่ใจได้ยังไง”

ยายจอมดุหันมากอดอกชักสีหน้าใส่ผม “ฉันเพิ่งไปเขตปกครองสี่ห้าแปดสามมา ที่นั่นมีพิพิธภัณฑ์แสดงกระดูกของสัตว์พวกนี้”

ผมเบิกตามองเธอ ปากอ้าค้างเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ยายนั่นจีงได้โอกาสตำหนิ “นายเคยเข้าไปในเครือข่ายของเขตปกครองอื่นบ้างรึเปล่าเนี่ย โลกแคบจริงๆ”

อา...จริงสินะ จะว่าไปผมไม่ค่อยได้เข้าไปดูเครือข่ายของเขตปกครองอื่นสักเท่าไหร่ มัวแต่สนใจมิติอื่นมากกว่า (โลกแคบแต่มิติกว้างน่ะ)

หลังจากนั้นยายนั่นก็ให้ผมดูภาพไดโนเสาร์อีกสามสี่ตัว สายรัดข้อมือของผมก็ส่งสัญญาณมีคนเชื่อมต่อเข้ามา ผมจึงรับสัญญาณนั้น ภาพโฮโลแกรมของแม่ก็ปรากฏขึ้นกลางห้องสมุดนั่นละ

“ไอดิน มีเพื่อนมาหาแน่ะลูก” แม่บอกเสียงเนิบ จากนั้นผมก็สังเกตเห็นขนสีขาวปัดไปมาที่ข้างตัวแม่ และเห็นแม่ยื่นมือออกไปนอกขอบเขตของภาพ ก่อนที่ใบหูซึ่งปกคลุมด้วยขนอุยสีเงินพร้อมลายพาดสีดำจะโผล่เข้ามา แล้วก็เป็นนัยน์ตาแบ๊วสีทับทิม จากนั้นก็เป็นเสียง

“แอ๊ว...”

แม่หัวเราะคิกคัก แล้วจึงหันมาพูดกับผมต่อ “เพื่อนลูกบอกให้รีบกลับมาแน่ะ”

“เอ่อ...ครับ” ผมตอบรับก่อนตัดสัญญาณไป

“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่ามันต้องกลับไปหานาย” ยายผงซิลิก้าบอก ผมก็เพียงแค่ผงกศีรษะรับ

แปลก...ทั้งที่คิดไว้อยู่แล้วว่าโคชานอาจจะกลับไปที่บ้าน แต่พอเห็นมันอยู่กับแม่แบบนั้น ผมก็อดรู้สึกงงๆ พิลึกไม่ได้

---

ผมออกจากบ้านยายเกล็ดแก้วแล้วก็ขึ้นยานโดยสารสาธารณะกลับบ้าน และเพียงแค่ก้าวจากตู้อบฆ่าเชื้อเข้าบ้านเท่านั้น ผมก็จามเสียยกใหญ่ พอเว้นระยะจามได้สักพักผมก็ปรือตาลืมขึ้น และเห็นโคชานนั่งแกว่งหางอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมองผมเหมือนเห็นตัวเชื้อโรค

ใครเป็นตัวเชื้อโรคกันแน่วะ...

ผมจามอีกสองสามครั้ง แม่ก็เรียกโคชานไป ผมจึงพอจะหยุดจามได้อีกครู่หนึ่ง ผมสูดจมูกอีกสองทีแล้วจึงก้าวเข้าไปในบ้าน

แม่ยืนทำกับข้าวอยู่ในครัว โดยมีโคชานยืนมองอยู่ข้างๆ ผมเห็นแม่หยิบโน่นนี่ใส่จานแล้วเอาเข้าเครื่องทำกับข้าว กดปุ่มให้มันผัดกับข้าวตามที่โปรแกรมไว้ จากนั้นแม่ก็หันไปลูบหัวโคชานอีกสองสามทีจึงหันมาทางผม

“กลับมาพอดีเลย อีกห้านาทีก็กินข้าวเย็นได้แล้วนะจ๊ะ” แม่บอกอย่างอารมณ์ดี แล้วก็เดินผ่านหน้าผมไปที่ห้องกลาง โดยมีเพื่อนขนฟูของผมเดินตามไปติดๆ

ทำไมแม่ไม่เห็นแพ้ขนโคชานล่ะ... ผมนึกในระหว่างที่จามติดกันสี่ห้าที

ระหว่างนั้นแม่เรียกโต๊ะอาหารออกมา ผนังกับพื้นห้องก็เปิดออกโต๊ะอาหารพร้อมเก้าอีกสำหรับสี่คนนั่งเลื่อนออกมาตั้งอยู่กลางห้อง “ไปเรียกพ่อออกมากินข้าวด้วยสิ” แม่หันมาบอก ผมจึงรับคำพร้อมกับจามอีกสี่ห้าครั้ง แล้วเดินไปที่หน้าห้องทำงานของพ่อ

ผมเคาะประตูบอกพ่อตามที่แม่สั่ง พ่อก็ออกคำสั่งเปิดประตูแล้วคว้าตัวผมเข้าไปข้างใน

ฮัดเช้ย! ...พ่อจามขึ้นครั้งหนึ่ง สูดน้ำมูกอีกครั้งหนึ่ง

“ก่อนกินข้าว ช่วยเอาเพื่อนลูกไปเก็บก่อนได้ไหม” พ่อถามด้วยสายตาอ้อนวอน

ผมหรี่ตามองพ่อ “แล้วทำไมไม่ใส่ชุดกันเชื้อล่ะครับ”

แต่แทนที่จะตอบคำถามผม พ่อกลับเขกกะโหลกผมทีหนึ่ง “แล้วตอนแกใส่ชุดกันเชื้อแกกินข้าวได้รึเปล่า”

เออ จริง ตอนผมอยู่ในมิติของมุส ผมก็พยายามกินข้าวในชุดกันเชื้อ ทุลักทุเลน่าดู

เอาเป็นว่าผมต้องเสี่ยงตาย... พอออกจากห้องทำงานของพ่อแล้วผมก็เข้าไปเอาชุดกันเชื้อของเจ้าโคชาน ตัวที่ผมเคยซื้อเอาไว้เพื่อยัดมันเข้าไป เวลาที่ต้องกระเตงมันไปในเมืองแล้วเสี่ยงกับการถูกรมยาฆ่าเชื้อนั่นละ พอได้ชุดกันเชื้อแล้วผมก็ก้าวไปหาโคชานที่ห้องกลาง หมอนั่นกำลังนั่งเลียขนตัวเองอยู่อย่างสบายอารมณ์

“นาย...ฮัด...เช้ย...ช่วยเปลี่ยน ฮัด...ฮัด...เป็นตัวเล็ก...ฮัดเช้ย...ทีได้ไหม”

หมอนั่นฟังแล้วแทนที่จะทำตาม กลับสะบัดตัวเสียจนขนฟุ้งไปทั้งบ้าน และทำเอาผมจามไปอีกหลายที

“โคชานจ๊ะ” เสียงหวานๆ ของแม่เรียกมาระหว่างที่กำลังเดินถือชามน้ำแกงออกจากครัว “เปลี่ยนเป็นตัวเล็กๆ ให้แม่หน่อยได้ไหมลูก ตัวเล็กน่ารักกว่าเยอะเลย” แม่ขอร้องพร้อมกับรอยยิ้มนางฟ้า หมอนั่นก็รีบหดร่างลงในทันที

หลังจากนั้นผมก็เปิดชุดกันเชื้อให้มันเดินเข้าไป แต่มันกลับนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว แถมเชิดหน้าใส่ผมเสียอีก ยังดีที่มันเชิดหน้าไปทางแม่พอดี แม่ก็ส่งยิ้มนางฟ้าให้มันอีก มันจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในชุดกันเชื้อโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ

เอาเป็นว่าในที่สุดผมกับพ่อก็ได้กินข้าวอย่างสงบสุข

---

“สรุปว่านายหนียาฆ่าเชื้อไม่พ้น โดนรมไปนิดหน่อยเหมือนกัน”

โคชานจิ๋วในชุดกันเชื้อผงกหัวเล็กๆ ของมันนิดหนึ่ง

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็หิ้วโคชานจิ๋วเข้ามาในห้องนอน แล้ววางมันไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วนั่งลงคุยกับมัน โดยมีเจ้าปุยอิมปีนขึ้นมานอนบนตัก (ระยะหลังนี้ผมมักขอให้มันอยู่ในร่างจิ้งจอกล่องหน เพราะตัวมันเล็ก ไม่เปลืองที ส่วนเจ้าอิมเองก็ท่าทางจะชอบ คงเพราะร่างเจ้าปุยทำให้มันวิ่งตามผมได้ทัน)

“แล้วนายก็ต้องติดแหง็กอยู่ในมิตินี้อีกน่ะหรือ”

หมอนั่นส่ายหน้าดิก ผมจึงเอียงคอมองมันด้วยความแปลกใจ หมอนั่นก็ขยับขาหน้าไปมา เหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะทำท่าทางสื่อได้อย่างไร

สุดท้ายหมอนั่นก็เลิกพยายาม เปลี่ยนเป็นกางปีก เตรียมโฉบเข้าใส่ผม ...ดีที่มันอยู่ในชุดกันเชื้อ กระพือปีกก็ไม่ถนัด มันจึงถอดใจ หันหมอบหันหลัง ทำหน้าเซ็งอยู่บนโต๊ะนั่นเอง

“เอาน่าๆ ฉันรู้น่าว่าจะต้องทำยังไง” ผมบอก มันจึงยอมหันมาทำตาใสปิ๊ง พร้อมกับปัดหางไปมาเบาๆ

###

ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่