พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๙

กระทู้สนทนา
ไอดินจะหาทางออกจากถ้ำได้หรือไม่ แล้วมุสจะมาช่วยได้รึเปล่า คำตอบรออยู่ข้างล่างแล้วค่ะ ^^

ภาคสี่ บทที่ ๑ https://ppantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๘ https://ppantip.com/topic/40130579

###

บทที่ ๙

ก่อนจะถึงทางตัน ผมเห็นแสงสว่างรำไรอยู่เบื้องหน้า

ตอนแรกผมดีใจมาก คิดว่ามันเป็นทางออก ผมเกาะก้อนหิน ลุยแอ่งน้ำตื้นๆ แล้วปีนขึ้นไปบนหินใหญ่ที่ขวางเบื้องหน้า ทว่าพอชะโงกมองลงมาจากหินใหญ่แล้ว ผมก็พบว่าแสงนั้นมาจากเพดานด้านบน มันเป็นรูกว้าง ปล่อยให้แสงลอดลงมากระทบผิวน้ำในแอ่งขนาดใหญ่

ผมไม่ทราบว่าน้ำนั้นลึกแค่ไหน จึงปีนข้ามหินใหญ่ลงมายืนอยู่ริมแอ่งนั้น แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจก้าวลงไปในน้ำ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่เข่าขวา และผิวรอบบริเวณนั้นก็รู้สึกคันขึ้นมา พอก้มลงดูจึงเห็นว่าหัวเข่าเป็นแผลถลอก มีเลือดซึม ชุดกันเชื้อก็ขาดเป็นรูยาวประมาณนิ้วหนึ่งด้วย

บาดแผลนั้นไม่ค่อยหนักหนา แต่ผมตกใจที่ชุดกันเชื้อขาด หากชุดกันเชื้อขาดก็แปลว่าอากาศเข้า แล้วผมก็จะแพ้ ซึ่งตอนนั้นอาการคันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นปวดนิดๆ แล้วด้วย

แต่โชคยังเข้าข้างผม จำได้ว่าก่อนจะถูกจับมา ผมเอาแผ่นยาแก้แพ้ใส่กระเป๋ากางเกงมาด้วยส่วนหนึ่ง ผมจึงเอาออกมาแปะไว้ที่หัวเข่า แล้วแปะชุดซ่อมชุดกันเชื้อเสียอีกแผ่นด้วย

พอซ่อมตัวเองเสร็จแล้วผมก็ชะโงกมองลงไปในแอ่งน้ำ

น้ำตรงบริเวณริมแอ่งนั้นค่อนข้างใสพอให้มองเห็นหินใต้น้ำได้ แต่ผมไม่รู้ว่าห่างออกไปจะลึกสักเท่าใด (จำได้ว่าพื้นใต้น้ำในมิติของปราบแดนก็ไม่เรียบ ผมจึงคิดว่าใต้น้ำที่นี่ก็คงไม่เรียบเช่นกัน) ผมค่อยๆ ก้าวลงในน้ำเพื่อหยั่งความลึก ช่วงสองเมตรแรกมันไม่ลึกมาก ผมก็เบาใจ แต่พอก้าวห่างจากขอบแอ่งมาได้สักสี่เมตร พื้นหินเบื้องล่างกลับยวบหายไป

ผมตะกุยน้ำด้วยความตระหนก รีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง (ดีที่ผมเคยฝึกว่ายน้ำมาจากมิติของปราบแดนมาบ้าง) พอกลับมาที่ฝั่งได้แล้วผมก็นั่งหอบหายใจนิดหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วลองเดินเลาะไปตามขอบแอ่ง

แต่ก็นั่นละ ทางเดินมันวนกลับมาที่เดิม ผมหาทางออกจากถ้ำนั้นไม่ได้

ผมยืนรีรออยู่ที่นั่นครู่ใหญ่ จากนั้นจึงถอนหายใจยาว รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้ผิดหวังมากอย่างที่คิดไว้ อย่างไรก็ดี ผมมาจนสุดทางแล้ว

ผมตัดสินใจหันหลังกลับ ปีนข้ามหินใหญ่กลับไปสู่ความมืด คิดจะย้อนกลับไปที่ปากถ้ำ รอคอยให้นาร์คูลกลับมา

ทางกลับก็ยังคงมืดมิดจนต้องใช้แขนขวาแตะผนังถ้ำไว้ ใช้แขนซ้ายหยั่งไปเบื้องหน้า และยังคงเต็มไปด้วยหินใหญ่น้อยให้ผมสะดุดและหกล้มหกลุกพอสมควร

เดินย้อนกลับไปได้สักระยะหนึ่ง มือขวาของผมก็คลำถูกอากาศ ผมแปลกใจในตอนแรก จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ ตอนที่เดินเข้ามา ผมเดินชิดริมผนังด้านขวามาตลอด ไม่ทราบว่าด้านซ้ายมีทางแยกออกไปด้วย ยามนี้พอหันหลังกลับแล้วจึงพบทางแยกนั้น

ใจผมพองโตด้วยความหวังขึ้นมาอีก ระหว่างนั้นก็พลันมีอีกความคิดหนึ่งแทรกเข้ามา มันถามว่าใช่ทางออกจริงหรือ

“มันต้องมีทางออก มันต้องมี!” ผมให้กำลังใจตัวเองดังๆ จากนั้นจึงเดินเลี้ยวเข้าไปในทางแยกนั้น สักครู่ต่อมาก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำ เหมือนน้ำไหลแรงจนบังเกิดเสียงซู่ซ่า ...ท่อน้ำหรือ...อาจจะใช่ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าคนกระปุ๊กลุกเอาน้ำมาจากที่ไหน แต่พวกเขามีไฟฟ้า มีเทคโนโลยี ทำไมจะมีระบบประปาไม่ได้เล่า

นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็ดีใจจนแทบอยากจะวิ่งออกจากถ้ำไปในทันใดนั้น แต่ในถ้ำยังมืดมิด ยังเต็มไปด้วยหินและแอ่งน้ำ ผมจะสุ่มสี่สุ่มห้าวิ่งออกไปไม่ได้

เร่งเดินต่อไปตามเสียงน้ำไม่นานผมก็เห็นแสงจากปากถ้ำ ผมรีบเดินตรงรี่ไปยังแสงนั้นทันที

ปากถ้ำเล็กและค่อนข้างแคบ ดีที่ตอนนั้นตัวผมเล็ก ไม่เช่นนั้นคงบีบตัวออกจากถ้ำไม่ได้ อย่างไรก็ดี พอออกมาแล้วก็พบว่า เสียงน้ำที่ผมได้ยินนั้นไม่ได้มาจากท่อน้ำ แต่เป็นน้ำที่ตกจากหน้าผาสูง!

ผมไม่เคยเห็นน้ำตก อย่างน้อยในเขตปกครองที่ผมอยู่ก็ไม่มีน้ำตก ผมจึงตื่นตะลึงที่ได้เห็นละอองฝอยสีขาว ซึ่งเกิดจากน้ำปริมาณมหาศาลไหลจากหน้าผาสูงกว่าตึกสิบชั้น สาดซัดลงสู่ลำธารและโขดหินเบื้องล่างอย่างไม่ขาดสาย จนบังเกิดเสียงซ่าดังจนกลบเสียงทั้งมวลในป่า

ผมยืนมองน้ำตกนั้นอยู่สักพักจึงค่อยรู้สึกตัว พอหันไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณที่ตนเองยืนอยู่นั้นก็เป็นน้ำตกน้อยๆ เป็นลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลจากปากถ้ำหายไปในร่องหินด้านล่าง ทางขวามือของผมมีรากไม้ปะปนกับหินมากมายซึ่งพอจะให้ผมไต่ไปถึงหลังน้ำตกได้ แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปที่นั่นทำไม ผมอาจจะถูกน้ำซัดกระเด็นลงไปในลำธารที่มีน้ำไหลเชี่ยวนั้นก็ได้ (ยิ่งตัวเหลือไม่ถึงเมตรอยู่ด้วย)

ผมหันมองไปทางซ้าย ตรงนั้นก็เป็นโขดหินและรากไม้ และพอมีหินให้ไต่ลงไปจนถึงลำธารได้ ผมไม่รู้ว่าลำธารนั้นจะพาผมไปที่ใด แต่ถึงเวลานี้แล้วคงต้องเสี่ยงดวงกัน

ผมทั้งก้าวทั้งไต่ลัดเลาะตามลำธารไปเรื่อยๆ เสียงน้ำตกก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน รอบบริเวณค่อยๆ เปลี่ยนไป น้ำในลำธารไหลเอื่อยลงและกว้างขึ้น ตรงบริเวณริมตลิ่งน้ำตื้นและใสจนมองเห็นกรวดหินด้านล่าง แต่ผมไม่รู้ว่าตรงกลางนั้นลึกเท่าไร ต้นไม้บริเวณนั้นก็สูงชลูดและหนาทึบขึ้น บนพื้นดินก็มีเฟิร์นขึ้นคลุมทั่วไปหมด

หรือนี่จะเป็นป่าทึบที่ผมกับมุสโผล่มาในตอนแรก

นึกถึงตรงนี้แล้วผมก็สยิวกายขึ้นมา ...หวังว่าจ้าวโหดหินทมิฬชาติอะไรนั่นจะไม่อยู่แถวนี้นะ

เพียงแค่คิดเท่านั้น ผมก็ได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกันที่ด้านข้าง ผมสะดุ้งหันขวับไปทางนั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไร ผมหันกลับมา เร่งฝีเท้าเดินเลาะไปตามริมลำธารอีก ตรงบริเวณนั้นไม่ค่อยมีเฟิร์น อย่างน้อยก็คงไม่มีตัวอะไรโผล่มางับขาผมโดยที่ผมไม่เห็นตัวแน่ๆ

ผมเร่งก้าวไปได้ระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังขึ้นเหนือศีรษะ ผมรีบหลบไปใต้ต้นไม้ตามสัญชาตญาณ พอแหงนมองขึ้นไปตามเสียง พยายามมองผ่านใบไม้หนาทึบขึ้นไปก็เห็นปีกพังผืดสีดำร่อนผ่านไป

“ตัวอะไรวะ...” ผมพึมพำกับตัวเอง และพบว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อย

ผมสยิวกายสะบัดความกลัวออกไป แล้วย่างเท้าก้าวต่อไปอีก

เพิ่งเดินไปได้เล็กน้อยผมก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังขึ้นในอากาศอีก ผมสะดุ้งสุดตัวกระโดดไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ทว่าพอเงยหน้ามองผ่านกลุ่มใบไม้หนาขึ้นไป ผมก็เห็นปีกสีขาวโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

โคชานหรือ... ผมรีบวิ่งออกไปตรงบริเวณที่ต้นไม้โปร่งขึ้นสักหน่อย พอหรี่ตามองก็เห็นว่าเป็นโคชานจริงๆ หมอนั่นกำลังตามหาผมแน่ๆ

“โคชาน!” ผมร้องตะโกนออกไป พลางโบกแขนไปมาเพื่อให้เขามองเห็น ทว่าเขาหลุบปีกขยับหางเบนไปทางทิศอื่นเสียแล้ว...

“โคชาน อย่าเพิ่งไป ฉันอยู่นี่” ผมตะโกนขึ้นอีก เร่งโบกไม้โบกมือจนแขนแทบหลุด แต่หมอนั่นไม่หันกลับมาเลย มันบินหายไปในท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มจาง

ผมใจหาย แขนที่ยกขึ้นโบกค่อยๆ ลดลงข้างตัว “เจ้าบ้า!” ผมตวาดออกมา “ทำไมนายไม่เห็นฉัน ทำไมนายไม่มารับฉันก่อน”​ คำถามของผมไม่มีคำตอบ มีแต่น้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา

ตอนนั้นเอง ที่ข้างตัวผมก็มีเสียงใบไม้เสียดสีกันดังขึ้นอีก ผมตวัดหันกลับไปมองอย่างตื่นตระหนกก็เห็นใบเฟิร์นตรงใกล้ๆ นั้นสั่นไหว

“ตัว...ตัวอะไรอีกวะ...”

เท้าของผมก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นใบเฟิร์นก็ขยับอีก ครู่ต่อมาสัตว์ชนิดหนึ่งก็ชูหัวเล็กๆ ขึ้นมาพ้นยอดใบเฟิร์น

มันเป็นไดโนเสาร์ขนาดเล็ก สูงพอๆ กับผมในเวลานั้น (แต่หากร่างผมกลับเป็นขนาดปกติมันก็สูงไม่ถึงเอวผมหรอก) ตัวมันปกคลุมไปด้วยขนเหมือนนก แต่แทนที่จะมีจงอยปาก มันกลับมีปากยื่นยาวเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน และเต็มไปด้วยซี่ฟัน

ใช่ มันกำลังอ้าปากพร้อมกับวิ่งตรงดิ่งมาทางผม และมันก็ไม่ได้มาเพียงตัวเดียวเสียด้วย

พวกของมันอีกสี่ห้าตัวก็วิ่งตรงมา ถึงตัวมันจะเล็กแต่มาเป็นฝูงแบบนี้ผมก็ไม่สู้เหมือนกัน

ผมรีบหันหลังกับแล้ววิ่งอย่างสุดชีวิต วิ่งลุยลงไปในลำธารที่ผมเดินลัดเลาะมาในตอนแรก โชคดีที่น้ำในลำธารไม่ลึกมาก ตรงกลางลำน้ำลึกแค่อก (แน่นอน หากผมอยู่ในขนาดปกติมันคงลึกแค่หน้าแข้ง) พอลุยน้ำมาถึงกลางลำธารแล้วผมก็หันหลังกลับไปอีกครั้ง เห็นไดโนเสาร์ที่ไล่ตามผมมาต่างเดินกลับไปมา ผงกหัวขึ้นลงพร้อมกับสูดกลิ่นในอากาศ รีรออยู่ที่ริมลำธาร ไม่กล้ากระโดดลงมา

ผมถอนหายใจโล่ง รู้สึกปวดจุกตรงบริเวณลิ้นปี่จนต้องเลื่อนมือลงมากุมท้อง จากนั้นจึงค่อยหันไปมองไดโนเสาร์พวกนั้นอีก นึกขึ้นได้ว่ามันดูเหมือนไดโนเสาร์พันธุ์หนึ่งที่เกล็ดแก้วเคยให้ผมดู เรียกว่า เวโลซีแรปเตอร์ กระมัง

พอเห็นว่าพวกมันไม่น่าจะกระโดดลงมาในน้ำแน่แล้วผมก็แกล้งวักน้ำสาดใส่พวกมันทีหนึ่ง...จะกินผมหรือ ฝันไปเถอะ

ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ คิดว่าหากเดินลุยน้ำไปเรื่อยๆ คงจะปลอดภัย แต่อนิจจาความปลอดภัยไม่มีอยู่ในมิตินี้

ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างชนหลังแขนเบาๆ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นกิ่งไม้ที่ไหลมาตามน้ำ แต่พอมันชนผมอีกครั้ง ไม่สิ...พอมันงับชุดกันเชื้อของผมจนเป็นรูและมีน้ำซึมเข้ามานั่นละ ผมจึงรู้ว่ามันกำลังพยายามจะกินผม

ผมสะดุ้งถอยหลัง แต่เพราะพื้นใต้น้ำนั้นมีแต่กรวดลื่น ผมจึงหงายหลังล้มลงไปในน้ำ ตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นว่าตัวที่กำลังพยายามจะกินผมนั้นเป็นปลาชนิดหนึ่ง มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อย ว่ายน้ำพุ่งเข้ามาใส่ผมอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่ตัวมันไม่ใหญ่มาก ขนาดประมาณเท่าท่อนขาของผมในเวลานั้น ผมจึงปัดมันออกไปได้ แล้วพุ่งตัวโผล่ขึ้นจากน้ำ

แต่มันยังตามไม่ลดละ ผมรู้สึกว่ามีแรงดันน้ำเคลื่อนเข้ามาใกล้ ขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าจะหนีหรือสู้ มันก็งับแขนท่อนล่างของผมทีหนึ่ง ผมร้องพลางสะบัดแขน แต่มันก็ไม่ยอมหลุด ผมจึงต้องตัดสินใจสู้กับมัน ยกแขนข้างนั้นขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างง้างปากมัน

ตัวมันลื่น ปากมันก็ลื่น ผมไม่สามารถจับปากของมันให้ง้างออกได้ จึงต้องเปลี่ยนเป็นเอานิ้มทิ่มตามันแทน

ปากมันคลายออกแต่ยังไม่ยอมปล่อย ตอนนั้นเองผมจึงสะบัดแขนอีกครั้ง ตัวมันก็กระเด็นลอยขึ้นในอากาศ ตกลงไปตรงหน้าพวกเวโลซีแรปเตอร์นั่นเอง

ผมหอบเหนื่อย ทั้งยังรู้สึกอึดอัด น้ำที่ไหลซึมเข้ามาในชุดกันเชื้อล้วนเต็มไปด้วยเชื้อโรคในมิติแห่งนี้ มันทำให้ภูมิแพ้ของผมกำเริบ ผมรู้สึกว่าแขนขาเริ่มบวมและปวด ลมหายใจติดขัด สติของผมก็ค่อยๆ เลื่อนเลือนไป

จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง...

###

พบกันอีกสองสัปดาห์นะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่