การละสักกายทิฏฐิ มีความหมายอย่างไร

ครั้งก่อนผมตั้งกระทู้  ชื่อ "อายตนะนิพพาน มีความหมายอย่างไร" มีหลายท่านเข้าไปตอบ ผมอ่านแล้ว ขอบคุณทุกท่านด้วย

วันนี้ ผมอยากรู้ว่า แต่ละท่านมีความเข้าใจอย่างไรกับเรื่อง การละสักกายะทิฏฐิ  
การละสักกายทิฏฐิได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียวเพราะ นั้นหมายถึงการได้ถึง พระโสดาปฏิผล ซึ่งเป็นเรื่องยากมากๆ  

ก่อนเข้าเรื่อง ผมขอสรูป ความคิดเห็นเรื่องนิพพาน คืออะไรก่อน  
นิพพาน คืออะไร เป็นเรื่องที่เถึยงกันไม่รู้จบ  
เท่าที่ผมอ่าน ความเห็นในกระทู้ พอจะแยกออกได้  ใหญ่ๆ สองความเชื่อ

1. กลู่มแรกเชื่อว่า นิพพานไม่ได้เป็นธาตุ หรือนามธาตุที่อยู่ในตัวเราปุถุชนคนธรรมดานี้แหละ
2.  กลุ่มที่สอง เชื่อว่า มีนิพพานธาตุ ซึ่งเป็นอสังขตะธาตุอยู่ในตัวเราปุถุชนคนธรรมดานี้แหละ

ในสองกลุ่มนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก
        กลุ่มแรก เชื่อว่า นิพพานเป็นสิ่งที่จิตไปรับรู้ เห็นว่านิพพานเป็นเหมือนสภาวะ เป็นเหมือน  อายตนะภายนอกที่มากระทบใจ,  
และ การบรรลุธรรม ก็เชื่อว่า ตัวปัญญา ก็คือเจตสิกของจิต เมื่อฝึกฝนจิตให้รับรู้ไตรลักษณ์ หรืออย่างไดอย่างหนึ่งซ้ำๆ จนจิตรู้ถึงระดับหนึ่งก็จะเห็นสภาวะนิพพาน  ในกลุ่มนี้เท่าที่ผมอ่าน จำไม่ได้หมด และเข้าใจยากพอสมควร
       กลุ่มแรกเชื่อเรื่อง จิตเดิมแท้ก็มี ไม่เชื่อก็มี  

       กลุ่มที่สอง  เชื่อว่า มีนิพพานธาตุ อยู่ในร่างกายเรานี้  และก็มีความคิดเห็นต่างกันไป ถึงคุณสมบัติ  เช่นกลุ่มธรรมกายก็เชื่อว่า นิพพานเป็นกายทิพย์ เป็นดวงแก้ว ผมก็รู้คร่าวๆ อาจจะถูกที่เดียว บางพวกก็เห็นว่า เป็นสัตตานัง  ผมเคยได้ยินว่า ในนักศาสนาวิทยาฝั่งยุโรป ก็เชื่อว่า นิพพานเป็นธาตุที่อยู่ในตัวเราเช่นกัน

      บางท่านก็อาจจะบอกว่า ในพระสูตร ก็อธิบายใว้ ว่าเป็นกลุ่มๆเหมือนกัน แต่ก็แล้วแต่  ว่าเราอ่านในนั้นแล้ว ซาบซึ้งก็ไม่ว่ากัน

      ส่วนผมเชื่อตามกลุ่มที่สอง  เชื่อว่า นิพพานเป็นนามธาตุที่อยู่ในร่างกายเรานี้แหละ มีการรับรู้ที่เรียกว่า อายตนนิพพาน เช่น อย่างที่เรียกว่า สัมปชัญญะ ถ้ารับรู้อย่างต่อเนี่องก็เรียกว่า ญาณ นั้นแหละ  ส่วนนี้ถ้าไม่มีคนเชื่อก็ไม่เป็นไร

     ถ้าวิเคราะห์ ว่า กลุ่มใหนมี่ความเห็นที่ถูก  ถ้ากลุ่มแรกเห็นถูก กลุมสองก็ผิด เช่นกัน ถ้ากลุ่มสองถูก กลุ่มแรกก็ผิด  แล้วใครตัดสินละ
ไม่จำเป็นต้องตัดสิน เพราะว่า ความเชื่อควรเป็นอิสระภาพในการเชื่อ

    ถ้าวิเคราะห์ คนกลุ่มแรก บางคนอารมณ์ดุร้าย ดุดัน บังคับ กล่าวให้คนที่ไม่เชื่อตาม เหมือนเป็นผู้ร้าย  ถ้าผมพูดผิด ท่านลองไปโพสว่า นิพพานเป็นอันตตาแบบนั้นแบบนี้ ดูสิครับ ทัวร์จะมาลงกันเพียบเลย
      
เข้าเรื่องกันครับ ไม่รู้ไปแหย่เสือหลับหรือเปล่า

การละสักกายะทิฏฐิ  เป็นกิเลสสังโยชน์ ซึงหมายถึง การละความเห็นว่าเป็นตน
ละความเห็นอะไรว่าเป็นตน  ก็คือละความเห็นว่า ขันธ์ห้าเป็นตน ในขันธ์ห้า ก็มีจิตในนั้นด้วย  
ใจความใหญ่ก็คือละความเห็นว่าจิตเป็นตน
เมื่อละความเห็น แล้วใครละเป็นผู้ละความเห็นนั้น

ถ้าเรากล่าวว่า สักกายะทิฏฐิ คือ กิเลสสังโยชน์ ผูกสัตว์ใว้ในวัฏสงสาร
สังโยชน์ก็คือเชื่อก กิเลสเส้นนี้  ผูกอะไรกับอะไร
การบรรลุโสดาบัน ต้องตัดสังโยชน์ได้สามเส้น  
กิเลสสามเส้นนี้  ผู้ นิพพานธาตุ  กับ ขันธ์ห้า นั้นเอง
กิเลสสังโยชน์ ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นกิเลส สิ่งนี้ก็ต้องเกิดจากจิต  เพราะนิพพานธาตุเป็นอสังขตะธรรมไม่สามารถปรุงแต่งได้  ไม่เ่หมือนจิต จิตสามารถปรุงแแต่งได้ 
การละเกิดขึ้นได้อย่างไร  ก็เกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญา
ไม่ได้เกิดการละด้วยจิตตรึก นึกคิด ฟัง ไม่มีทาง ลำพังจิตไม่มีทางบรรลุได้
การภาวนา สร้างสติ ต่อเนื่องเพื่อเกิดสมาธิจิต พร้อมกับ สัมปชัญญะที่ต่อเนื่องเพื่อเกิดญาณ
น้อมจิต ส่งข้อมูลให้ญาณ การเห็นด้วยญาณ  ว่า จิต ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตน  นั้นแหละเรียกตรัสรู้ธรรมเบื้องต้น ละสักกายทิฏฐิได้
เมื่อเกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตไม่ใข่ตน  เท่านั้น จิตก็คลายกำหนัด ในการหลงว่าจิดเป็นตน

นิพพานธาตุเป็นผู้รู้
แต่เมื่อรู้แล้ว ตัวจิตเป็นตัวละทิฏฐิ
เหมือนนายกอ  กอด นายขอ  พอนายขอ เห็นว่านายกอไม่ดี  นายกอก็เลิกกอดนายขอ  คงเป็นเพราะ นายขอไม่ให้ท้ายชะงั้น

การที่ท่านมาตอบกระทู้ ผมก็ถือว่าเป็นสิ่งดี ทุกความคิดเห็นก็อ่านเผื่อว่า สักวันผมจะเชื่อเหมือนกลุ่มหนึ่งครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่