อันตรายของอมัลกัมเหล็กอุดฟัน ปรอทจากพ่อแม่ที่ส่งต่อให้ลูก จนทำให้ลูกเป็นโรคทางสมอง รวมถึงตัวเอง (โรคติกส์ ตอนที่ 3)

โรคของลูกที่ไม่มีทางรักษาในทางการแพทย์ อย่างโรคติกส์
นำไปสู่การสืบหาต้นตอของโรค เพื่อที่จะให้รู้สาเหตุ และการแก้ไขที่สาเหตุ ก็จะช่วยให้โรคนั้นหายไป
ปัจจุบันโรคติกส์ได้หายไปจากลูกชายแล้ว ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ผมเคยลงไปแล้ว ทำให้คนรู้จักลูกผม โรงเรียนลูก และคนในโรงเรียนก็รู้เรื่องนี้ ผมเปิดเผยตัวตนไม่มีอะไรปกปิด 

ผมเหลือหน้าที่เพียงแค่หาทางให้ข้อมูลไปถึงคนที่เป็นโรคติกส์ทุกคนให้ได้
แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่ผมค้นพบก็คือ โรคนี้ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่สมองกำลังบ่งบอกว่ามีสารพิษ
มีความเสียหายเกิดขึ้นกับสมอง เราค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับยีสต์ก่อน เพราะอาการภูมิแพ้เกิดจากยีสต์
และภูมิแพ้เป็นพื้นฐานของโรคที่มาจากปรอททั้งหมด 

เราลดและพยายามงดอาหารที่ทำให้เกิดยีสต์ ทำให้อาการภูมิแพ้ลดลง และทำให้อาการของโรคติกส์
ลดลงไปได้อย่างมาก นั่นเป็นความสำเร็จขั้นที่ 1

แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังมาจากปรอท ซึ่งเราสงสัยตั้งแต่ต้นว่าปรอทจะเข้าไปอยู่ในสมอง แต่ถูกหมอระบบประสาท
สกัดความคิดนั้นเอาไว้ เนื่องจากหมอไม่เคยพบปรอทอยู่ในสมอง ซึ่งนั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริง 
เพราะปรอทที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเยื่อจะไม่สามารถตรวจสอบพบไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม ยกเว้นว่าตายแล้ว
และต้องมีการตรวจชันสูตรผ่าสมองโดยตรง ซึ่งมีอธิบายในคลิปที่ผมทำมา

การตรวจหาปรอทจึงต้องใช้การไล่สืบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการรับพิษสารปรอทแบบเรื้อรัง (chronic)
ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน หรือ อมัลกัม วัคซีนมีการใส่ไทเมอโรซาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในไทเมอโรซาลมีสารปรอทเอทิลเมอร์คิวรีอยู่ 50% แม้จะไม่ได้ทำให้เกิดโรค
ตามที่งานวิจัยหลายฉบับอ้าง แต่ทำให้มีการสะสมเกิดขึ้นในสมอง ทำให้เด็กที่อ่อนไหวสูงกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบ

แต่ในกระทู้นี้เราจะพูดถึงอมัลกัม 

สาเหตุที่ทำให้ลูกชายของเรามีสารปรอทและติดเชื้อยีสต์ มาจากหลายสาเหตุ ยาปฏิชีวนะที่ได้รับตั้งแต่แรกเกิด
เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญที่สุด ซึ่งหญิงที่ผ่าคลอดก็จะทำให้เด็กได้รับยาปฏิชีวนะไปด้วย แต่นั่นก็ทำให้
เด็กบางส่วนที่อ่อนไหวได้รับผลกระทบเท่านั้น 

เด็กที่อ่อนไหวเป็นยังไง?
ก็คือเด็กที่เกิดโรคขึ้นมาแล้ว เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเด็กคนไหนอ่อนไหวหรือไม่อ่อนไหว 
ซึ่งความอ่อนไหวมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของไมโครไบโอมในร่างกายและภาระสารพิษที่ส่งต่อจากแม่ผ่านครรภ์

ภาระสารพิษที่ส่งต่อจากแม่ผ่านครรภ์เป็นประเด็นที่สำคัญ
ไอปรอทที่ออกมาจากตัวแม่จะเข้าสู่ร่างกาย ไปยังสมอง และไปสู่กระแสเลือด 
ปรอทสามารถไปหาเด็กที่อยู่ในครรภ์ บางคนมีอมัลกัมในฟัน 3-4 ซี่ บางคนมีมากถึง 8-10 ซี่
ซึ่งมีผลต่อภาระการรับสารพิษของร่างกายทั้งหมด (body burden) 

นอกจากจะส่งผ่านปรอทไปให้ลูกได้แล้ว ตัวแม่เองก็จะได้รับพิษจากปรอทด้วย
ทำให้เป็นโรคเมื่ออายุมากขึ้น ประมาณ 30-40 ก็จะเริ่มมีอาการผิดปกติบางอย่าง 
อายุช่วง 40-50 เริ่มเป็นโรค อายุ 60 ขึ้นไป ก็จะมีการดำเนินของโรคที่ชัดเจน โอกาสที่จะอายุยืนยาว
และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ใส่ใจในสุขภาพ ส่วนคนที่จัดการเรื่อง
อาหารการกินอย่างถูกต้อง มีไมโครไบโอมที่แข็งแรง ก็จะยืดเวลาที่ปลอดภัยได้ยาวนานขึ้น..พอสมควร

มีคนโทรมาถามเสมอว่า การออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ การกินอาหารที่ดี จะช่วยให้หายได้หรือไม่
คำตอบคือไม่ได้ ซึ่งมีการอธิบายในคลิป เพราะปรอทซึ่งเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่รุนแรงที่สุดจะ
ทำลายเซลล์ประสาทต่อไปเรื่อยๆไม่มีการหยุดแม้แต่วินาทีเดียว 

อมัลกัมทำให้เกิดการรั่วไหลของไอปรอทได้อย่างไร มีการอธิบายอยู่ในคลิปแล้ว

อาการที่ตรงกับการถูกพิษสารปรอทใน textbook ของหนังสือแพทย์ในอดีต และงานวิจัยหลายชิ้นจะบอกว่า
ในร่างกายมีปรอท เมื่อพบว่าน่าจะเป็นปรอทแน่นอน เราใช้ ALA ในสูตรปริมาณต่ำสุดตามระยะครึ่งชีวิต
รักษาจนโรคติกส์หายไปในที่สุด ห้ามใช้การคีเลชันเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเคมีในสหรัฐเตือนเอาไว้ว่า
วิธีการคีเลชันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องและมีผลกระทบทำให้เกิดโรคกับคนไข้ที่ทำคีเลชันเป็นจำนวนมาก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ความตระหนักเรื่องอมัลกัม ไม่แตกต่างจากความตระหนักเรื่องสารพิษในบุหรี่ ที่บนหน้าซองเขียนเตือนถึงภัยอันตรายจากสารพิษ
กว่า 70 ชนิด และมีภาพของโรคร้ายแปะเตือนให้เห็นอยู่ทุกด้าน แต่คนมากมายก็ยังคงเมินเฉย (ignorant) ต่อสิ่งที่ยังมองไม่เห็น
ต่อสิ่งที่ตัวเองยังไม่เป็นอยู่ในขณะนี้ และคิดว่าโรคเหล่านั้นคงไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก

เนื่องจากสารพิษโลหะหนักเป็นแบบสะสม และการรักษาเพื่อลดระดับสารพิษล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดโรคเป็นสิ่งที่ควรกระทำ 
เพื่อไม่ให้สมองเกิดความเสียหาย และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา การทำงานของสมองที่ถูกกระทบโดย
สารพิษจะส่งผลถึงชีวิตของเด็กไปตลอดชีวิต และโรคทั้งหลายที่จะตามมา ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางกายและสมอง
ที่เป็นกันอยู่อย่างมากในปัจจุบัน 

การเรียนรู้ที่บกพร่องของเด็ก จะทำให้การปฏิสัมพันธ์กับคนๆอื่น ความนึกคิด ความจำ ความสามารถในการเรียนในโรงเรียน 
มีปัญหา เกิดปัญหาทางอารมณ์ เกิดลักษณะพฤติกรรมที่จะทำให้เวลาที่เด็กไปมีครอบครัวของตัวเองมีปัญหา การทะเลาะเบาะแว้ง
ความทุกข์ระทม ปัญหาชีวิต ความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว ซึมเศร้า ความคิดอยากฆ่าตัวตาย และปัญหาโรคที่รุมเร้า 
ทั้งหมดเป็นปัญหาที่แพทย์ และการรักษาในปัจจุบันไม่สามารถช่วยอะไรได้ 

ทุกคนที่ได้รับสารพิษจะมีอาการเหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ ในบางงานวิจัยพบว่า ปรอททำให้เด็กที่เกิดมามีไอคิวที่
ดีกว่าเด็กปกติ แต่ผลกระทบที่ทุกคนจะเป็นเหมือนๆกัน คือความผิดปกติทางด้านพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์บางอย่าง
ซึ่งยากที่จะไม่เกิดขึ้น และยังมีเรื่องของโรคบางโรคที่จะเกิดขึ้นตามมา โรคที่คนไทยฮิตเป็นกันมากที่สุดอย่างเช่น

(1) มะเร็ง (2) โรคหลอดเลือดหัวใจ (3) โรคเบาหวาน (4) โรคความดันโลหิตสูง (5) โรคภูมิแพ้ (6) โรคทางจิตเวช
(7) โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ (8) โรคอ้วน (9) โรคเสื่อมของระบบประสาททั้งหมด 

ล้วนมีสาเหตุมาจากปรอททั้งสิ้น

ซึ่งการออกกำลังกาย และ การกินพืชผัก ไม่สามารถช่วยแก้ไขทุกอย่างได้ อย่างเช่น โรคมะเร็ง คนที่ออกกำลังกาย
อย่างดีที่สุด ก็ไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งเราจะพบข่าวเกี่ยวกับนักกีฬา คนที่สุขภาพร่างกายดีแข็งแรง
เสียชีวิตจากโรคมะเร็งอย่างรวดเร็ว การกินพืชผักอาจจะช่วยได้บ้าง แต่ไม่สามารถลดระดับของสารพิษในสมองได้
ในที่สุดก็จะล้มป่วยลง

เรื่องเหล่านี้ยังไม่มีงานวิจัย และไม่น่าจะมีงานวิจัยเกิดขึ้นได้ เพราะการถูกสารพิษโลหะหนักแบบเรื้อรัง 
ไม่สามารถสร้างงานวิจัยขึ้นมา support ได้ เช่นเดียวกับเรื่องการสูบบุหรี่ ไม่มีงานวิจัยที่รับรองได้ว่าการสูบบุหรี่
ทำให้เป็นมะเร็งปอด แต่คนที่รู้จักสารพิษในบุหรี่จะรู้ว่า สารพิษเหล่านี้ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้



ภาพนี้รับประกันได้ว่าไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่ถ้าศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองจริงๆ จากการอ่านงานวิจัยต่างๆก็จะพบว่า
effect จากปรอททั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง

ทำไมไม่มีงานวิจัย?

เพราะสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายแบบเรื้อรัง จะทำให้เกิดโรคที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นได้จาก
คนที่สูบบุหรี่ 100 คน ไม่ได้เป็นมะเร็งปอดทุกคน ดังนั้นจึงอยู่ที่สามัญสำนึก แต่สิ่งที่ควรกระทำก็คือ การศึกษาให้
รู้ถึงความสามารถของสารพิษนั้นๆ ว่าสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากขนาดไหน 

รองานวิจัย? แต่เกิดโรคขึ้นแล้ว?

ผู้ที่ศึกษาผลของสารพิษ และศึกษาผลของตัวยาในการขับสารพิษดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องรองานวิจัย เพราะมันจะไม่มี
งานวิจัยเกิดขึ้น กับโรคที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมได้ การรับสารพิษแบบสะสมเรื้อรัง ถือเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม
แม้จะเป็นการรั่วไหลของไอปรอทที่มาจากอมัลกัมก็ตาม เพราะเป็นการรั่วไหลที่ใช้เวลายาวนานหลายสิบปี และส่ง
ผลกระทบต่อคนในแบบที่แตกต่างกันทั้งหมด จึงเป็นลักษณะของการเกิดหรือการดำเนินของโรคที่ไม่สามารถทำการวิจัยได้

การทำงานวิจัยในปัจจุบันมีจุดอ่อน?

การทำงานวิจัยในปัจจุบันมีข้อจำกัดมาก ถ้าผลของสิ่งๆหนึ่ง ไม่ทำให้เกิดโรคที่เหมือนๆกันทุกคน จะถือว่าสิ่งนั้นไม่มี
ความเกี่ยวข้องในการทำให้เกิดโรคนั้น ถ้าสิ่งใดก็ตามที่เป็นอันตราย แต่เข้าเกณฑ์นี้ ก็จะถือว่าสิ่งนั้นไม่เป็นอันตราย 
ปัจจุบันงานวิจัยจึงสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อยืนยันให้ผู้ผลิตสามารถขายสินค้าที่อันตรายต่อไปได้

เราจะรู้ได้อย่างไร?

แต่ละคนต้องศึกษากันให้เยอะๆ ลดการใช้ความเชื่อลง ลดการเชื่อข้อมูลที่เรียกว่า "น่าเชื่อถือ" ลง และใช้วิจารณญาณ
ของตัวเองให้มากขึ้น ใช้ความคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ใช้ตรรกะมากขึ้น ถ้าใช้ภาษาอังกฤษหาข้อมูลจากต่างประเทศ
ได้ก็จะดีกว่าหาข้อมูลในไทย ซึ่งฐานข้อมูลน้อย และมีข้อมูลที่ดู "น่าเชื่อถือ" ตีกรอบไว้ทั้งหมดแล้ว

ตอนที่ผมหาข้อมูลในไทยเพื่อหาทางช่วยลูกให้หายจากโรค ผมเจอข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือเต็มไปหมด ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ก็คือ ข้อมูลที่มาจากแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆ ถ้าผมไม่เกิดความสงสัย แค่เชื่อและทำตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือเหล่านั้น 
โรคของลูกก็จะไม่หายอย่างแน่นอน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ หมอไม่สามารถรักษาโรคติกส์ได้ ดังนั้นจึงทำให้ผมสงสัย หรือ
doubt ในข้อมูลที่ดูน่าเชื่อถือเหล่านั้น ออกไปหาข้อมูลในต่างประเทศเป็นหลัก 

ผมเป็นคนที่ถนัดเรื่องภาษา แต่พอมาถึงเรื่องสุขภาพ ผมก็ชอบหาข้อมูลในไทยที่อ่านง่ายๆ ดูไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย
ผมไม่เคยไขว่คว้า ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจากต่างประเทศ แต่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าหมอรักษาโรคติกส์ไม่ได้
ทำให้ผมต้องไปหาฐานข้อมูลที่กว้างมากขึ้นจากต่างประเทศ ซึ่งมีเรื่องราวให้ศึกษามากกว่าข้อมูลจากเว็บไซต์ในไทย
หลายเท่า

เรื่องที่ข้อมูลที่น่าเชื่อถือในประเทศ บล็อกเราเอาไว้แล้ว ว่ามันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง
เราก็สามารถไปค้นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆได้มากขึ้น และเมื่อตรวจสอบแล้ว 
วิจารณญาณของตัวเราพบว่ามันใช่ และมันใช่อย่างแน่นอน เมื่อตรวจสอบกับประวัติ
ของตัวเราและลูก 

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ?

ไอนสไตน์ได้กล่าวถึงคำนี้เอาไว้ คนที่ยึดมั่นในงานวิจัยหรือข้อมูลในกระดาษคือคนที่มีความรู้ ซึ่งก็คือคนที่เป็นหมอ
รวมไปถึงคนที่เก่งด้านวิทย์ทั้งหมดส่วนใหญ่ สิ่งที่ผมพยายามอธิบายแทบตาย จะดูไม่เป็นข้อมูลสำหรับพวกเขาเลย
เมื่อคืนนี้ ผมอธิบายสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะใช่เกี่ยวกับ Nissan Kicks ในกระทู้รัชดา ผมเจอวิศวกรท่านหนึ่ง
ซึ่งไม่ตอบสนองกับข้อมูลใดๆที่อยู่นอกเหนือจากกระดาษ
เมื่อสองปีก่อน ผมตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องรักษาโรคติกส์ให้ลูก ผมก็เจอกับหมอที่ไม่ตอบสนองกับสิ่งที่
ผมพยายามอธิบายเช่นกัน

ในการหาทางออกในการรักษาให้ลูก ผมใช้จินตนาการประกอบกับการอ่านงานวิจัยต่างๆด้วย
จึงทำให้ผมเข้าใจในสัจธรรมที่ว่า จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจสิ่งที่ผมอธิบาย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
และไม่รับฟัง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายคนกลุ่มนี้ "การรับฟัง และ การพยายามเข้าใจผู้อื่น" เป็นทักษะ
ที่สำคัญของคนเราที่ควรจะมี แต่ถ้าไม่มีเลย และต่อต้านอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างยิ่ง

และถ้าพวกเขาอยู่ในฐานะที่เป็นคนที่น่าเชื่อถือด้วยแล้ว แล้วคุณเป็นคนที่เชื่อในคนที่น่าเชื่อถือ
คุณก็จะถูกบงการโดยพวกเขาได้อยู่ตลอดเวลา โดยที่คุณจะไม่ได้ใช้ความคิดที่แท้จริงของตัวคุณเองเลย

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่