ลุงข้างทางตอน 2

ไป 

“ไปกันเหอะวะ ไม่ต้อนรับเราจะอยู่ทำไม” เจ้าหยกฮึดฮัดเมื่อเห็นกริยาไม่เป็นมิตรของชาวบ้าน น้องนาถยาเดินมาเกาะแขนเราสองคน

“ใจเย็นๆค่ะ พี่สองคนพาใครมาด้วยอีกคะ”

ยายแม้นหน้าถทึง จ้องมองมาทางพวกผมด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์ ผมได้กลิ่นสาบสางเหมือนซากอสุภลอยมาเวลาแกอ้าปากพูด

“พวกยิ้มนึกเหรอว่าพาตาไอ้เมี่ยงมาด้วยแล้วจะทำอะไรกูได้” แกคำรามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใช่คน

ผมกับเจ้าหยกมองหน้ากันด้วยความพิศวงไปชั่วขณะ  เราเดินทางมากันสองคนแวะรับลุงคนหนึ่งที่ข้างทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ถ้าจะหมายถึงลุงแก อายุเท่าที่เห็นระดับเป็นน้องชายตาเมี่ยงยังพอได้ แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นเป็นตายังห่างชั้นอีกหลายสิบปี

ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ ผมพยายามสงบสติอารมณ์ตอบน้องนาถยา แต่ตั้งใจให้เสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยิน

“พี่ขับรถมากับเพื่อนสองคนเท่านั้น แวะรับลุงคนหนึ่งที่ข้างทางเพราะเห็นว่าแกจะมาบ้านหลังนี้เหมือนกัน เพิ่งจอดรถให้แกลงไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมานี้แกไปอยู่ที่ไหนหรือครับ”

ผมกวาดสายตาไปทั่วบ้านแต่มองไม่เห็นแก อาจจะอยู่ในห้องน้ำหรือห้องนอนใดห้องนอนหนึ่ง

ชาวบ้านรวมทั้งตาเมี่ยงที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยพากันเงียบกริบเมื่อผมพูดจบ ต่างจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“รูปร่างหน้าตาแกเป็นเป็นอย่างไรหรือพ่อนรา” ตาเมี่ยงถามเสียงสั่นๆ แกจำผมได้ดีเพราะทุกคั้งที่ผมมาเยี่ยมเจ้าจ๋ายเพื่อนผม มักจะผ่านบ้านแกเสมอจนจำได้ บางทีก็มือของชำร่วยเล็กๆน้อยๆมาฝาก

ลองถามอย่างนี้เห็นทีว่าลุงคนนั้นจะไม่อยู่ที่นี้ เป็นไปได้อย่างไรก็ผมเห็นแกเดินมาทางบ้านหลังนี้ชัดๆ แต่คิดดูอีกทีความมืดอาจจะทำให้ตาผมฝาดก็ได้ อย่างไรก็ดีผมได้บรรยายรูปร่างหน้าตาลุงให้ตาเมี่ยงฟัง

“รูปร่างใหญ่โตดูแข็งแรง ผิวคล้ำ หน้าตาเข้มไว้หนวดหนาครับตา ผมยังไม่ทันได้ถามชื่อ  พอจอดรถแกก็รีบลงเดินตรงดิ่งมาบ้านตาเลย”ผมพูดกับตาเมี่ยงด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพเพราะแกอายุมากแล้ว

ตาเมี่ยงอ้าปากค้าง ทำท่าจะอุทานอะไรออกมา แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะอันสดใสของเด็กหญิงคนหนึ่งดังขึ้นในห้องบนเรือน หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงหนึ่งน่าจะวัยยี่สิบปลายๆ อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“เอาลูกออกมาทำไมแม่เอื้อน ประเดี๋ยวเด็กมันตกใจขวัญหนีเสียเปล่าๆ” ชาวบ้านคนหนึ่งที่นั่งข้างๆตาเมี่ยงและคงเป็นญาติๆกัน พูดถามด้วยน้ำเสียงตำหนิกลายๆ

“ฉันอยู่สองคนกับลูกไม่ได้จ้ะ เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องลูกของฉันพูดอยู่กับใครก็ไม่รู้ ข้างนอกหน้าต่าง ฉันมองหาก็ไม่เห็นใคร แต่อยู่ๆฉันกลับเจอชะลอมใบนี้วางอยู่” 

ผู้หญิงที่ชื่อเอื้อนตอบ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าหวาดกลัวอะไรสักอย่าง ก่อนจะชูชะลอมในมือให้ทุกคนดู ผมกับเจ้าหยกเบิกตาโพล่ง นั้นมันชะลอมอันเดียวกับที่เราเคยเห็นมาก่อน

“เอ้ะ ใครเอาอะไรติดไม้ติดมือมาฝากแล้วไปวางเก็บในห้องให้หรือเปล่า” ตาเมี่ยงหันไปถามคนที่นั่งห้อมล้อมอยู่บนเรือน ด้วยความสงสัยมากกว่าจะเฉลียวใจอย่างอื่น

คนบนเรือนหันหน้ามองกันไปมา ดูลักษณะอย่างนั้นก็รู้ว่าไม่มีใครที่อยู่บนบ้านรู้เรื่องของในมือแม่เอื้อน ไม่ต้องถามต่อให้เสียเวลา

“ก็แล้วอะไรอยู่ในนั้นล่ะแม่เอื้อน แก้ออกดูหรือยัง”หญิงชรารุ่นราวคราวเดียวกับยายแย้มถามขึ้น

“ยังเลยจ้ะ” นางเอื้อนตอบวางเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าชังในอ้อมแขนลงกับพื้นอย่างทะนุถนอม ค่อยแก้ชะลอมออก ทุกคนพากันมองด้วยความสงสัย

ของที่อยู่ในชะลอมเป็นหีบไม้เก่าโบราณ ดูจากความซีดของสีไม้ก็รู้อยู่มาหลายปีดีดักแล้ว แต่พอแม่เอื้อนเปิดออกมาเท่านั้น ทันทีที่เห็นของที่อยู่ในหีบถนัดตา ทุกคนในที่นั่นก็พากันตกตะลึง

“เฮ้ย นี่มันทองทั้งนั้นเลย สร้อยคอ ตุ้มหู กำไลข้อเท้าเด็ก” เสียงใครคนหนึ่งบนเรือนโพล่งออกมาอย่างตกใจ

“คุณลุงใจดีคนหนึ่งเอามาให้ค่ะ” เด็กหญิงถักผมเปียน่ารักกล่าวขึ้น”ลุงบอกเอามาให้เป็นของขวัญหนู”

แม้หนูน้อยยังอยู่ในวัยยังพูดไม่ชัดนัก แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้ยินถนัดสองรูหู  ทุกคนพากันเงัยบกริบ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก พากินคิดว่าของมีราคาค่างวดอย่างนี้ใครจะเอามาให้กันง่ายๆไม่บอกไม่กล่าว

“แล้วลุงคนนั้นพูดอะไรอีก บอกป้ามาสิลูก” หญิงคนหนึ่งถามพลางยกมือลูบหัวแม่หนู

“คุณลุงบอกว่า เรียกลุงไม่ได้หรอกลูก แต่โหลนยังเล็กไม่รู้เรื่อง  คุณลุงไม่ถือสา” เด็กน้อยพูดเสียงเจี้อยแจ้วประสาเด็ก ไม่รู้ความว่าคำพูดประโยคนั้นสร้างผลอะไรกับบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหงอกหัวดำที่ฟังอยู่บ้าง

นางเอื้อนคว้าลูกมากอดด้วยความาพรั่นพรึง

“หนูคุยกับลุงคนนั้นที่ไหน ทำไมแม่ไม่เห็นเลย”

“คุณลุงยืนอยู่ตรงหน้าต่างค่ะ” เด็กน้อยตอบตามสมองไร้เดียงสาตัวเอง หากแต่ผู้ใหญ่เริ่มนั่งอยู่กันไม่สุขกันแล้ว 

พวกเราสามคนแม้จะมาหลังใคร แต่ประเมินสถานการณ์ได้คร่าวๆ ลุงคนนั้นเอาของมาให้เด็กหญิงแล้วก็ไป ว่าแต่ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน

ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ชี้มือป้อมๆไปที่กลางเรือน ตาใสแจ๋วของเธอมองไปทางที่ยายแย้มผีเข้าอย่างตื่นเต้น ทุกคนหันไปมองตาม

อยู่ดีๆยายแย้มก็แสดงกริยาฮึดฮัดดึงดัน โกธรเกรี้ยว เหวี่ยงแขนไปมา เหมือนขัดขืนต่อต้านกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

“กรูไม่ไปโว้ย  อย่ามาบังคับ” แต่แล้วร่างยายแม้นก็สิ้นอาการขัดขืน มีท่าทีกลัวอะไรอย่างลนลาน”โอ้ย ไป ยอมแล้ว” ยายแย้มร้องขึ้นลั่นด้วยความเจ็บปวดแล้วร่างแกที่นั่งอยู่ก็หงายหลังตึงกับพื้นกระดานเรือน โดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ยกเว้นแต่เด็กหญิงตัวน้อยซึ่งถ้าตอนนั้น มีใครไม่เพ่งความสนใจไปที่ยายแย้มอาจจะเห็นแม่หนูมองไปในอากาศ เหมือนมองเห็นอะไรที่ผู้ใหญ่ในที่นั้นไม่เห็น

เหล่าญาติและเพื่อนบ้านตกตะลึงกันหมด ต่างคนต่างทำอะไรกันไม่ถูก โชคดีที่เจ้าหยกมันเป็นบุรุษพยาบาล พอตั้งสติได้สัญชาติญานของการปฐมพยาบาลคนไข้ก็ผุดขึ้นทันที มันตบไหล่ผมทันที

“ไปเพื่อน รีบไปช่วยแกกัน” ด้วยความเร่งรีบ เราสองคนไม่มีเวลาขอโทษขอโพยผู้ใหญ่หลายคนที่เราเดินข้ามหัวไป ได้แต่ยกไหว้ขึ้นรวดเดียว

“ขอโทษครับ เพื่อนผมเป็นพยาบาล ขอดูอาการแกหน่อย”  ผมอธิบายสั้นๆด้วยความฉุกละหุก

เจ้าหยกขอให้ทุกคนขยายวงออกไปห่างจากยายแม้นที่สุดเพื่อกันความแออัด มันจับชีพจร ฟังเสียงหัวใจ อ้าปากหาสิ่งอุดตัน และเหลือกตาดู แล้วมันก็ถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าให้ผมช่วยจับร่างยายแม้นนอนตะแคงและหันไปบอกคนอื่นๆ

“แค่เป็นลมไปครับ ไม่ต้องเป็นห ขอทุกคนอย่าเพิ่งล้อมวงใกล้แกมาก”

“เล่นเอาตกอกตกใจหมด เจ้าประคุณเอ่ย” ป้าคนที่นั่งไกล้เอื้อนพูดขึ้นพลางยกมือจับพระที่คอขึ้นพนมไหว้  แล้วแกก็หันไปบอกหลานสาวเจ้าของบ้าน

“ยาหอม ยาลมอะไรมีไหมแม่เอื้อน. ไปละลายมาให้ยายแย้มกินสิไป ป้าดูหลานให้เอง”

แม่เอื้อนรับคำและขยับตัวลุก แต่เพื่อนผมรั้งเธอไว้

“ ขอโทษ ตอนนี้อย่าเพิ่งป้อนน้ำป้อนอะไรเข้าปากเลยครับ ขอเป็นผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวดีกว่า”

แม่เอื้อนชะงักไปชั่วขณะ ตอบรับสั้นๆว่า “จ้ะ “ 

ป้าคนเดิมไม่แสดงอาการเคืองที่เจ้าหยกขัดแกแต่อย่างใด แกส่งหีบเล็กที่วางอยู่ให้แม่เอื้อน

“เอาทองหยองไปเก็บให้ดีด้วยแม่คุณ ของอย่างนี้มาวางไว้กลางบ้านกลางเรือนไม่ดีหรอก”

สักพักเม่เอื้อนกลับมา เจ้าหยกบอกให้คลายเสื้อผ้ายายแม้นให้หลวมๆชั่วคราว คนที่นั่งบนเรือนถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องก็เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น ยายแม้นอายุปูนนี้แล้วไม่ใช่เรื่องประเจิดประเจ้ออะไร

จู่ๆเด็กน้อยเพียงคนเดียวของที่บ้านก็ยกมือขึ้นไหว้ ทำให้คนเป็นแม่มองตามอย่างประหลาด ใจ และเมื่อไม่เห็นอะไรก็ถามลูกสาวด้วยความสงสัย

“ไหว้ใครเหรอลูก”

แล้วคำตอบที่ได้ยินก็ทำให้ ทุกคนสะดุ้งโหยง ต่างเหลียวหน้าเหลียวหลังกันล่อกแล่ก

“ไหว้คุณลุงใจดีคนนั้นค่ะแม่ ที่ให้ของหนู ลุงแกโบกมือให้ แต่แกจูงยายคนหนึ่งด้วย ยายคนนั้นน่าตาน่ากลัวจังเลย คุณลุงก็ดุจังดีงแขนแกแรงๆ”

 แม่เอื้อมตัวสั่นระริกรีบดึงลูกสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดทันที  ทั้งบ้านเงียบเป็นเป่าสากแม้แต่เข็มตกสักเล่มคงได้ยิน

เด็กวัยแค่นี้ไม่มีทางกุเรื่องขึ้นมาเองแน่ ทันใดนั้นเสียงร้องครางยายแย้มก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมอง เจ้าหยกส่งสัญญาณให้ผมช่วยกันประคองแกขึ้นนั่ง

“โอ้ย นี้ข้าเป็นอะไรไป จำได้ว่าจะไปเก็บผักหวานมาต้มให้ตาเมี่ยงกิน อยู่ๆข้าก็หน้ามืดไปเลย” แล้วเมื่อตาแกหายพร่า ขยับตัวนั่งได้ถนัดเห็นเหล่าบรรดาญาติมิตรยกโขยงกันมาเต็มบ้านแกก็ตกใจ

“อ้าว เฮ้ย นี่พวกเอ็งมาทำไมกันเยอะแยะว่ะ”

มีหลายคนพยายามเล่าเหตุการณ์ให้ยายแย้มฟัง แต่เมื่อพูดขึ้นพร้อมกันน้ำเสียงก็เซ็งแซ่ทั่วบ้านฟังไม่ได้ศัพท์ เจ้าหยกเดินไปบอกตาเมี่ยงเพราะเหมือนแกเป็นคนมีอำนาจตัดสินใจในตอนนั้น

“ตาครับ ผมว่าอย่าเพิ่งให้แกรับรู้อะไรตอนนี้เลยครับ หัวสมองแกยังไม่แล่นดี ประเดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก”

ตาเมี่ยงได้ยินก็ตาโต สิ่งที่เจ้าหยกเพิ่งทำนั้นทำให้แกเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

“เหรอๆ ขอบใจเอ็งมากทีเดียว” แล้วแกก็ประกาศให้ญาติมิตรรับรู้ “อย่าเพิ่งพูดอะไรให้ยายแย้มมันรู้เลย ตอนนี้มันยังไม่ค่อยสบาย เอาไว้วันรุ่ง วันมะรืน มันหายดีแล้ว ข้าจะเล่าให้มันฟังเอง”

เพื่อนบ้านบางคนที่ไม่ใช่ญาติสนิทต่างทยอยกันลากลับบ้าน เหลืออยู่ไม่กี่คนที่มาไกลและตั้งใจจะนอนค้างคืน เพื่อนบ้านที่กลับทางเดียวกันยังคงเดินกันไปสนทนากันไป แต่ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องแม่หนูน้อยนั้นอีกเลย

คณะของเราซึ่งตอนมีเจ้าจ๋ายกับภรรยาชื่อพิมมาลาเจ้าของบ้านเช่นกัน ใจจริงผมยังฉงนกับสิ่งที่เด็กพูด แต่โดยมารยาทแล้วเมื่อญาติที่อยู่ไกลๆมาเยี่ยมก็ย่อมต้องมีถามสารทุกข์สุขดิบกัน จะอยู่ต่อเพื่อซักไซ้ไล่เลียงก็ไม่ใช่เรื่องสมควร

หลังจากเราเดินเข้าบ้านแล้ว เจ้าจ๋ายก็ไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์มาเปิดยื่นส่งให้ผม เจ้าหยกรวมถึงตัวมันด้วย พลางถอนหายใจอย่างเพลียๆ

“แก้เหนื่อยกันหน่อยโว้ย พวกเรา วันนี้กันยุ่งทั้งวันเลย ต้องไปนิมนต์พระที่วัดมาสวดไล่ ล้อมสายสิญจน์ที่บ้านตาเมี่ยง อ้าคุณ ชื่อหยกใช่ไหมครับ โทษที พอดีผมวุ่นๆเลยไม่มีโอกาสแนะนำตัว”

ทั้งคู่จับมือกันและชนขวดในมือ ผมสงสัยอะไรบางอย่างจึงถามเจ้าจ๋าย

“ทำไมกันไม่เห็นสายสิญจน์ที่ตัวยายแย้มเลยว่ะ”

“ก็มันรื้อทิ้งกระจุยกระจายหมดน่ะสิ” เจ้าจ๋ายตอบก่อนกระดกขวดในมือเข้าปากอึกใหญ่ ก่อนเล่าต่อ

“แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าที่นิมนต์มามันยังไล่เปิดเปิงหมด  ตอนบ่ายๆกันถึงต้องบึ่งรถไปรับหมอไสยเวทย์มาปราบ “

“แล้วเกิดอะไรขึ้น” ผมถามต่อ ยกขวดในมือขึ้นจิบบ้าง

“หมอยังบริกรรมคาถาไม่ทันเสร็จเลย ยายแย้มถีบเข้าหน้าอกหมอก่อนแล้ว กระเด็นหลังฟาดพื้นเลย  ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน” 

“แต่อยู่ดีๆก็ออกไปเอง” ผมไล่เรียงเหตุการณ์ที่มันเล่า ประมวลกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่แต่เจ้าจ๋ายรีบยกมือห้าม

“อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลยเพื่อน กลางค่ำ กลางคืนแล้วเขาถือกัน เอาไว้พรุ่งนี้ก่อน อยากรู้อะไรกันจะเล่าให้แกฟังจนหมดเปลือก ไม่ได้เจอกันนาน  ดื่มให้สบายใจดีกว่าคืนนี้ อ้อ ประเดี๋ยวกันจะให้พิมทำกับแกล้มแซ่บๆให้ ฝีมือเมียกันชั้นหนึ่งนาเว้ย ไม่ได้คุย”

“อย่าวุ่นวายเลยเพื่อน รบกวนพิมเค้าเปล่าๆ”คราวนี้ผมเป็นฝ่ายห้ามมันบ้าง” กันกินข้าวมื้อเย็นที่บ้านแกเรียบร้อยแล้วก่อนไปบ้านตาเมี่ยง”

“เถอะน่าไม่ต้องเกรงใจ พิมเค้าชอบทำอาหาร อยากอวดฝีมืออยู่แล้ว ฉันรู้ว่ามื้อเย็นแกกินกันไม่เต็มที่หรอก เพราะจะรีบไปหาฉันที่บ้านตาเมี่ยง”

พูดจบมันก็ไม่ฟังคำทักท้วงจากผมอีก เดินไปบอกอะไรกับเมียมันแล้วเดินกลับมานั่งลง

“รอหน่อย แป๊บเดียวได้กินของอร่อยแน่ นาถยาลงไปช่วยพี่สาวเค้าทำด้วย ช่วยกันทำสองคนเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”

“โธ่ ยิ่งรบกวนเข้าไปใหญ่” ผมพูดเพราะเกรงใจจริงๆ ไม่ใช่พูดพอเป็นพิธี “เมื่อเย็นน้องแกก็ดูแลเรื่องกับข้าวกับปลาให้พวกฉันแล้ว แกไม่คิดว่าน้องเค้าจะง่วงนอนบ้างหรือไง”

“ไม่เลย เพิ่งเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาใครจะหลับลงว่ะ พิมกับน้องยายังบอกอยากนั่งคุยด้วยเลยเพราะนอนไม่หลับ แต่เกรงใจว่ามีผู้หญิงมานั่งอยู่แล้วพวกเราจะคุยกันไม่สนุก”

ผมสบตากับเจ้าหยกแล้วจึงพูดกับมัน

“ถ้าพิมกับนาถยาไม่ติว่าเราสองคนนั่งกินเบียร์กันอยู่ตรงนี้แล้ว แกก็ไปชวนพวกเค้ามานั่งด้วยกันเถอะ ฉันกับเจ้าหยกไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก ว่าแต่แกเถอะอย่ากินเบียร์เมาแล้วเผลอพูดวีรกรรมจีบสาวของแกในอดีตออกมาแล้วกัน”

“บ้ะ ไอ้นี่ “ เจ้าจ๋ายร้องอย่างขัดใจ “ นั่งกินกันให้สบายเถอะ เดี๋ยวสักพักกันไปชวนมาเอง”

คุยกันครู่ใ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่