เจ้าหยกกับน้องนาถยาคงได้ยินเสียงผมแว่วๆ จึงหันหน้ามามองด้วยความแปลกใจระคนกับความผวา เพราะบริเวณนี้ ณ ตอนนี้นอกจากเราสามคนแล้ว ไม่น่าจะมีใครอื่นอีกนอกจาก
โดยเฉพาะเจ้าหยกมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง สีหน้าบ่งบอกว่าสิ่งที่มันประสบเจอในตอนย่ำคำ่ของเมื่อวานยังคงฝังใจอยู่ แต่ที่ยังกล้าเดินอยู่ได้เพราะมากันสามคน และเวลานี้เพิ่งจะบ่ายอ่อนแดดส่องเปรี้ยงๆคล้อยศีรษะไปไม่เท่าไหร่ อะไรจะโผล่ออกมาได้ก็ให้มันรู้ไป อีกอย่างคือมันห้อยพระเครื่องเต็มคอ แถมมีตะกรุดอีกด้วยต่างหาก
ส่วนน้องนาถยานั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์เจอดีด้วยตัวเอง แต่ก็คงได้ยินอะไรจากเจ้าหยกมา ถึงได้สมัครใจร้อยพวงมาลัยให้ และยามนี้ดวงตาของเธอก็ฉายแววหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน
“เดินเล่นกันตามสบายเลย หยก น้องยา ฉันขอนั่งตรงนี้คนเดียวสักประเดี๋ยว สัญญาณโทรศัพท์มันดี ว่าจะโทรถามเรื่องงานเสียหน่อย”
ผมจำต้องตะโกนพูดปดไป เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศให้สองคนนั้นตกใจ
เจ้าหยกคลายสีหน้าลง ดวงตาของน้องนาถยาก็แจ่มขึ้น
“เออ รออยู่ตรงนั้นแหละ แต่ถ้าจะให้ดีแกไปนั่งรอในรถจะดีกว่า หรือไม่ก็ตามฉันมา น้องยากำลังจะพาไปเก็บผักกูดมาทำเป็นอาหารมื้อเย็นวันนี้”
เจ้าหยกตะโกนกลับ หน้าตามันดูไม่ไว้วางใจอย่างไรชอบกล
ผมเลยต้องล้วงโทรศัพท์ออกมา ทำทีเป็นว่าจะโทรออกให้สมเหตุผล แกล้งทำเป็นโบกมือไล่มันอย่างรำคาญ
“ไปเถอะ ฉันรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก”
เจ้าหยกกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง เหมือนมันจะตรวจตราบริเวณ แถวนี้รอบข้างมีแต่ไม้ยืนต้นสูงใหญ่
แต่แสงแดดอันเจิดจ้าเช่นนั้น ทำให้อุ่นใจว่าไม่น่าจะมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวใดเผยตัวออกมาให้ขนหัวลุกได้ ถึงกระนั้นมันก็ถามผม
“แกจะเอาตะกรุดเก็บเอาไว้สักอันไหม” ไม่ต้องอธิบายต่อก็เข้าใจกันดีว่ามันเสนอให้ทำไม เพราะเจอมาด้วยกัน
“ไม่ต้อง แกรีบไปเถอะ ประเดี๋ยวคุณพิมจะเป็นห่วง พาน้องสาวแกออกมานานเกินไป”
ผมร้องบอก คราวนี้มันพยักหน้าแบบเข้าใจ แตะไหล่น้องนาถยาแบบสุภาพพากันเดินลับไปริมทางเพื่อเก็บผัก
“เธอนี่รักเพื่อนดีเนอะ ยอมอยู่คนเดียวใต้ความกลัว แต่ไม่ยอมไปเป็นก้างขวางคอเพื่อน”
เสียงเยือกเย็นของผู้ไม่เห็นร่างเอ่ยชมอย่างจริงใจ ไม่มีวี่แววของการประชดประชัน
วูบหนึ่งของความรู้สึก กลัวหรือ? ทำไมความรู้สึกนี้มันหายมลายสิ้นไปแล้ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม ข้างๆศาลเธอ” ผมเอ่ยถามขึ้นราวกับพูดกับคนรู้จัก เเพราะคงต้องรอสองคนนั่นอีกสักพัก
“เชิญเลย ฉันดีใจมากที่เธอไม่กลัวและวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไป”
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความยินดีอย่างชัดเจน ผมนั่งแปะลงตรงแถวหญ้ากอไสวแล้วร้องอุทานขึ้น
“หญ้าขึ้นรกจังเลย ก่อนฉันจะกลับบ้านจะมาถางให้เธอก่อน”
ไม่มีเสียงตอบกลับชั่วขณะ แต่แล้วเสียงเย็นเฉียบก็ดังขึ้นอย่างซาบซึ้ง
“เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นดอก แค่เธอไม่รังเกียจ หรือหวาดกลัวที่ฉันเป็นวิญญาณตนหนึ่ง ฉันก็พอใจแล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้ทำไม เพราะอะไร อยู่ๆฉันก็หายกลัวเธอขึ้นมาเฉยๆ” ผมพึมพำขึ้นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“ปรกติคนผ่านไปผ่านมาทางนี้ ฉันไม่ค่อยปรากฎร่างให้เห็นหรอก หากพวกเขาตกใจกลัว บาปและกรรมก็จะตกลงที่ฉัน แต่เผอิญวันนั้น”ท่าน”มา ฉันเลยออกมารำถวายต้อนรับ ทำให้เธอกับเพื่อนตกใจกลัวฉันต้องขอโทษอีกครั้ง”
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเสียใจโดยมิได้เสแสร้ง
ผมเอะใจขึ้นมา วิญญาณย่อมไม่โกหกพกลมแน่
“ท่าน” ผมหันไปมองทางศาลไม้อย่างลืมตัว” ลุงคนที่นั่งรถมากับพวกฉันนะหรือ ทำไมเธอเรียกลุงว่า” ท่าน” ฉันนึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าลุงแกต้องไม่ธรรมดา และแกต้องเป็นลุงคนเดียวกับที่เอาเครื่องประดับทองไปให้เหลนตาเมี่ยงแน่ๆ เมื่อคืนคลับคล้ายคลับคลาว่าแกมาไล่ใครให้ที่หน้าบ้านเพื่อนฉัน”
แม้แสงตะวันจะยังแรงกล้า แต่ผมก็ยังเห็นร่างลางๆอันชดช้อยของสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ที่ศาล เหมือนเธอจงใจให้เห็นแต่เพียงเท่านั้น
“ท่านคนนี้มารับหน้าที่แทนท่านอีกองค์ที่สะสมบุญบารมีขึ้นสรวงสวรรค์ไปแล้ว อย่าให้ฉันพูดอะไรมากเลยจ้ะ ฉันเป็นแค่วิญญาณทุกข์เข็ญไม่อาจเทียบบุญบารมีได้ อีกหน่อยเธอจะรู้เองว่าท่านเป็นอะไร”
คำตอบอันเป็นปริศนาของนางผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งดังเข้าหู ฟังจากน้ำเสียงถ้าหากเป็นคนก็คือกริ่งเกรงคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า
“แล้วเมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันไปหรอก ท่านไปที่บ้านเพื่อนของเธอมา คือท่านได้แจ้งมาว่าผีตายโหงแถวนี้จะไปหลอกหลอนคนแปลกหน้าที่มาจากที่อื่น ซึ่งก็คือเธอกับเพื่อน ท่านเอ็นดูพวกเธอสองคนมากเลยไปขับไล่ไสส่งผีตนนั้นด้วยตัวเอง ออกประกาศิตห้ามวิญญาณทุกตนไปแวะเวียนทำให้เธอตกใจ”
ผมเสียววาบตั้งแต่หลังยันท้ายทอย พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
“ฉันว่าแล้ว เห็นอยู่ไม่ถนัดนักแต่ก็รู้ว่าที่ท่านไล่ไม่น่าจะใช่คน แล้วปอบที่บ้านตาเมี่ยงท่านก็เป็นคนไปไล่ให้ใช่ไหม”
“ใช่” เสียงเย็นเยือกปานน้ำแข็งไม่มีผิด” เธอฉลาดล้ำประสานเรื่องราวเองได้ ฉันคงไม่ต้องบอกอะไรเธอมากนักหรอก แล้วเธอจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดเอง”
ใบหน้าที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผมเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน สายตาคู่นั้นมองมาและคาดเดาได้ว่าผมคิดอะไร
“ไม่ต้องกลัวหรอก” เธอส่งเสียงปลอบมา “ท่านมาคุ้มครองอยู่แถวนี้แล้ว ไม่ปล่อยให้วิญญาณบาปดวงใดไประรานเธอได้ นรา ”
ผมไม่แปลกใจสักนิดที่เธอรู้จักชื่อของผม โธ่ ก็ผ่านเรื่องเหนือธรรมชาติมาขนาดนี้จะมามัวนั่งสงสัยอะไรอีก กับอีแค่เรื่องนี้
“ ในเมื่อเธอรู้ชื่อฉันแล้ว ฉันขอทราบชื่อเธอหน่อยได้ไหม” ผมหันไปตรงที่ๆคิดว่าเธอน่าจะยืนอยู่ แล้วผมก็ได้เห็นร่างเลือนสะโอดสะองนั้นรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
“อย่ามองหน้าฉันนรา ดวงตาฉันไม่มีแวว มันเป็นดวงตาของคนตาย ฉันไม่อยากให้เธอตกใจ”
ผมรู้สึกเวทนาเธอขึ้นมาอย่างล้นพ้น ผีอย่างนี้ใครจะกลัวลงก็กลัวไป แต่ผมกลัวไม่ลงจริงๆ สังคมปัจจุบันคนด้วยกันเองยังน่ากลัวกว่า อย่างเพื่อนร่วมงานที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง เจ้านายที่หลอกใช้งานฟรีๆเพื่อให้ตัวเลขของบประมาณดูดี
“ฉันชื่อวิมาลา”เธอตอบในที่สุด” สาเหตุการตายของฉันคือเพราะโดนย่ำยีข่มขืน ฉันอับอายเลยกระทำอัตวินิบาตกรรม ซึ่งเป็นบาปอย่างหนึ่ง วิญญาณฉันเลยต้องใช้กรรมไปผุด. ไปเกิดไม่ได้”
“โธ่เอ้ย” ผมรำพึงออกมาด้วยความสังเวชจากใจไม่แกล้งดัด”พวกคนใจสัตว์ที่ทำกับเธอพวกนั้นได้รับกรรมหรือยัง ศพของเธอทำพิธีกรรมทางศาสนาครบถ้วนหรือเปล่า ถ้าไม่ ฉันจะดำเนินการทุกอย่างให้เอง”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความปิติจากความจริงใจของผม” ก่อนหน้านี้ฉันก็แค้นใคร่อยากไปหักคอพวกมัน แต่ท่านเทพารักษ์ เอ่อ ได้ห้ามไว้ ท่านบอกอย่าสร้างวงเวียนแห่งกรรมไม่รู้จบเลย ให้บาปกรรมติดตัวพวกมันไปชดใช้ในนรกเอาเอง ส่วนศพของฉันประกอบตามพิธีศาสนาหมดทุกประการ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลังจากนั้น ไม่น่าเชื่อว่าผมคุยกับผีได้เป็นวรรคเป็นเวร มิตรภาพเรางอกงามขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเจ้าหยกกับน้องนาถยาหอบผักเขียวในกำมือเดินลิบๆเข้ามา ฉับพลัน เสียงวิมาลาบอกว่า
“ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวสองคนนั้นจะกลัว ขอบใจที่มาคุยกับฉัน นรา เธอเป็นคนดี ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ สายตาผีอย่างฉันมองทะลุไปเห็นความจริงเสมอ เธออย่าอยู่ในสังคมที่แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นเลย มันไม่เหมาะกับเธอ”
แล้วเธอก็หายวับไป ผมมองตามก็ไม่เห็นเธออีกเลย เมื่อเจ้าหยกกับน้องนาถยาเข้ามาใกล้
แต่ผมอึ้งไปเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ คำพูดทิ้งท้ายประโยคนั้นของเธอเข้าไปกระทบบางอย่างที่อยู่ในใจของผมมาตลอด ในขณะที่เจ้าหยกมองดูผมสลับกับศาลสิงสถิตของวิมาลาอย่างหวาดๆ
“นรา แกโอเคใช่ไหม มานั่งอะไรตรงนี้ มา มา ลุกไหวไหม ฉันช่วยประคองแกเอง มีอะไร เจอ อะไรไปพูดกันที่บ้าน”
เจ้าหยกพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง อดชำเลืองมองไปทางศาลไม้ไม่ได้ แต่ผมโบกมือให้
“ไม่มีอะไร ฉันแค่กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ขากลับแกขับรถแล้วกัน ฉันกำลังคิดอะไรบางอย่างให้ตก”
ผมเดินไปนั่งเบาะหลังโดยไม่ฟังความเห็นมัน ถึงแม้จะจมอยู่ในความคิด แต่ก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหยกเหลือบมองผมที่กระจกหลังตลอดทางด้วยอาการวิตก
เย็นวันนั้นเราก็สังสรรค์กันด้วยเบียร์อีก ผัดผักกูดที่เก็บมาอร่อย มีรสชาติมาก ขนาดผัดแค่ใส่กระเทียมกับเกลือนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องใส่ซอสปรุงรสอื่นให้ยุ่งยาก
ล่อเบียร์กันจนหลับคาระเบียงกันอยู่ตรงนั้น เหมือนเช่นคืนแรก พอผมเคลิ้มๆใกล้จะหลับเป็นคนสุดท้าย ร่างหนั่นหนาของชายวัยคราวพ่อคนหนึ่งก็เดินมาชะโงกหน้าดูห่างๆ เสื้อผ้าที่แกสวมใส่นั้นเป็นสีน้ำทะเลทั้งตัว เหมือนผมได้ยินเสียงงใครรำพึงรำพันในความมืด
“หลับให้สบายพ่อหนุ่ม ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น แกสองคนนี่ไม่ใช่ย่อยเลย ไอ้หนุ่มเพื่อนแกต่อไปก็จะมาเป็นเขยบ้านนี้แล้ว ส่วนแก เหอ เหอ กลับบ้านไปได้ไม่นานหรอก ต่อไปแกก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี้เหมือนกัน อำนาจของความรัก ต่อให้สวรรค์หรือนรกก็ห้ามไม่ได้”
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกสยิว ขนลุกขนพองเลย แต่กลับอบอุ่นราวกับมีญาติผู้ใหญ่มาคอยดูแลอยู่ห่างๆ คืนนั้นผมหลับอย่างสุขสงบทั้งคืน
พอตื่นเช้าขึ้นมาผมกับหยกก็ตามเจ้าจ๋านไปสวนอีก ช่วยมันทำงานสวนสารพัด ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ผ่อนแรงมันได้สักหน่อยก็ยังดี ฝ่ามือที่แตกยับเยินในวันแรกเพราะจับจอบจับเสียมเริ่มมีความคงทนขึ้น
พอเลิกงาน ผมขอยืมกรรไกรตัดหญ้าเจ้าจ๋าน ขอตัวขับรถออกมาจากบ้านโดยไม่ได้ชวนใครมาเป็นเพื่อน เจ้าหยกกับเจ้าจ๋านสบตากัน แม้ทั้งคู่จะรู้จักกันได้แค่สองวันแต่สายตาที่มันสองคนมองถึงกันสื่อได้ถึงความกังวลในตัวผม
ผมมาหยุดที่ศาลแห่งนั้น ก่อนอื่นผมเอาถ้วยที่บรรจุผัดผักกูดสุดแสนอร่อยไปวางในศาล
“วิมาลา ฉันเอาอาหารมาฝากเธอ มันอร่อยมาก ฉันไม่รู้ว่าเธอจะลิ้มรสมันยังไง แต่ฉันอยากเอามาให้เธอ”
ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา ผมเลยเดินไปคว้ากรรไกรตัดหญ้าที่ยืมเจ้าจ๋านมา สับเข้าฉับๆตรงกอหญ้าที่ขึ้นรกรอบศาลจนเตียนโล่ง
ลมหอบเอากลิ่นดอกไม้ป่าอบอวลมากับสายลม เสียงหวานแต่แฝงไปด้วยความยะเยือกดังขึ้นข้างๆ
“โถ นรา เธอจะแสนดีไปถึงไหน ฉันอยู่ของฉันได้มาถึงป่านนี้ รอวันพ้นกรรม แล้วเธอก็มาเป็นเพื่อนฉัน หลังจากเธอกลับบ้านไป ฉันจะอยู่อย่างเดียวดายได้อย่างไร”
ตอนนั้นเวลาใกล้พลบแล้ว แสงตะวันเริ่มอับฉาย บรรยากาศกึ่งๆป่ารอบข้างที่ปราศจากผู้คน สมควรจะวังเวง น่ากลัว แต่ผมกลับรู้สึกถึงอุ่นไอบางอย่างที่บริสุทธิ์
“วิมาลา ฉันจะต้องกลับบ้านพรุ่งนี้แล้ว” แม้จะเอ่ยถ้อยคำกับอากาศที่ว่างเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าเจ้าของชื่อต้องได้ยิน
“เธอออกมาให้ฉันเห็นหน่อยได้ไหม ฉันไม่กลัวรูปลักษณ์เธออีกแล้ว ใจของเธอฉันสัมผัสได้ว่าเธอไม่โหดร้ายแม้แต่น้อย ต่อให้หน้าตาเธอน่ากลัวสยดสยองแค่ไหนฉันก็ไม่หวั่น”
เงาเลือนรางในชุดนางรำหญิงสีเงินระยับค่อยๆปรากฎให้เห็นทีละนิด ทรวดทรงองค์เอวของเธอนั้นบอบบางน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ศีรษะและรูปหน้าของเธอที่สวมตรีชฎานั้นสวยสมส่วนเช่นกัน กรอบตาเธอนั้นก็เป็นรูปหงส์สวยงาม หากแต่ตาเหลือกขาวไร้ซึ่งตาดำ เธอสะบัดหน้าหนีทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของผม
“ฉันเตือนเธอแล้ว ว่าเธอต้องกลัว จะดูหน้าฉันไปเพื่อประโยชน์อะไร”
เธอก้มหน้าหลุบเปลือกตาลงมองพื้นไม่ให้ผมได้จ้องตาขาวโพลนไม่มีตาดำของเธออีก ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปราดไปคว้ามือทั้งสองของเธอ ผมสัมผัสได้ถึงความมีเลือดเนื้อแม้ว่ามันจะเย็นเฉียบและขาวซีด
“ฉันขอโทษ วิมาลา ฉันเป็นปุถุชนธรรมดา ยอมรับว่าอาจมีตกใจบ้างแต่ฉันไม่กลัวอีกแล้ว มองตาฉันสิ”
เเธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผม สายตาของเราประสานกัน แม้เธอจะไม่มีแก้วตาแต่ผมมั่นใจว่าดวงตาของเราสบกันแน่นิ่ง ทันใดนั้นเธอเธอก็รีบสะบัดมือออก มองไปทางถนนข้างหลังผม
“นั่นเพื่อนของเธอมาตาม พวกเขาเป็นห่วงเธอมาก แม้ว่าจะกลัวแสนกลัวแต่ความรักเพื่อนนั้นมีมากกว่า น้ำใจอย่างนี้หาได้ยากนัก ฉันต้องไปแล้ว”
เธอหันมาสบตาผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมอ่านได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาขาวโพลนของเธอ แล้วก็เช่นเคย ร่างของเธอสลายวับไปกับตา
รถกะบะคันหนึ่งแล่นมาตามถนนตัดลูกรังสีแดง และจอดลงข้างๆรถของผม เจ้าหยกโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างผู้โดยสาร ผมเห็นสีหน้าของมันคลายความเคร่งเครียดลงพอเห็นผมยืนอยู่อย่างปกติครบทั้งสามสิบสองประการ
“แกมาทำอะไรตรงนี้”มันถาม แต่สายตาพรั่นเกรงมองกวาดไปทั่วอาณาบริเวณ มือทาบพระเครื่องที่แขวนคอไว้ตลอด คนขับรถคือเจ้าจ๋านก่อนหน้า
ลุงข้างทาง ตอน3
โดยเฉพาะเจ้าหยกมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง สีหน้าบ่งบอกว่าสิ่งที่มันประสบเจอในตอนย่ำคำ่ของเมื่อวานยังคงฝังใจอยู่ แต่ที่ยังกล้าเดินอยู่ได้เพราะมากันสามคน และเวลานี้เพิ่งจะบ่ายอ่อนแดดส่องเปรี้ยงๆคล้อยศีรษะไปไม่เท่าไหร่ อะไรจะโผล่ออกมาได้ก็ให้มันรู้ไป อีกอย่างคือมันห้อยพระเครื่องเต็มคอ แถมมีตะกรุดอีกด้วยต่างหาก
ส่วนน้องนาถยานั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์เจอดีด้วยตัวเอง แต่ก็คงได้ยินอะไรจากเจ้าหยกมา ถึงได้สมัครใจร้อยพวงมาลัยให้ และยามนี้ดวงตาของเธอก็ฉายแววหวั่นพรั่นพรึงเช่นกัน
“เดินเล่นกันตามสบายเลย หยก น้องยา ฉันขอนั่งตรงนี้คนเดียวสักประเดี๋ยว สัญญาณโทรศัพท์มันดี ว่าจะโทรถามเรื่องงานเสียหน่อย”
ผมจำต้องตะโกนพูดปดไป เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศให้สองคนนั้นตกใจ
เจ้าหยกคลายสีหน้าลง ดวงตาของน้องนาถยาก็แจ่มขึ้น
“เออ รออยู่ตรงนั้นแหละ แต่ถ้าจะให้ดีแกไปนั่งรอในรถจะดีกว่า หรือไม่ก็ตามฉันมา น้องยากำลังจะพาไปเก็บผักกูดมาทำเป็นอาหารมื้อเย็นวันนี้”
เจ้าหยกตะโกนกลับ หน้าตามันดูไม่ไว้วางใจอย่างไรชอบกล
ผมเลยต้องล้วงโทรศัพท์ออกมา ทำทีเป็นว่าจะโทรออกให้สมเหตุผล แกล้งทำเป็นโบกมือไล่มันอย่างรำคาญ
“ไปเถอะ ฉันรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก”
เจ้าหยกกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง เหมือนมันจะตรวจตราบริเวณ แถวนี้รอบข้างมีแต่ไม้ยืนต้นสูงใหญ่
แต่แสงแดดอันเจิดจ้าเช่นนั้น ทำให้อุ่นใจว่าไม่น่าจะมีสิ่งน่าสะพรึงกลัวใดเผยตัวออกมาให้ขนหัวลุกได้ ถึงกระนั้นมันก็ถามผม
“แกจะเอาตะกรุดเก็บเอาไว้สักอันไหม” ไม่ต้องอธิบายต่อก็เข้าใจกันดีว่ามันเสนอให้ทำไม เพราะเจอมาด้วยกัน
“ไม่ต้อง แกรีบไปเถอะ ประเดี๋ยวคุณพิมจะเป็นห่วง พาน้องสาวแกออกมานานเกินไป”
ผมร้องบอก คราวนี้มันพยักหน้าแบบเข้าใจ แตะไหล่น้องนาถยาแบบสุภาพพากันเดินลับไปริมทางเพื่อเก็บผัก
“เธอนี่รักเพื่อนดีเนอะ ยอมอยู่คนเดียวใต้ความกลัว แต่ไม่ยอมไปเป็นก้างขวางคอเพื่อน”
เสียงเยือกเย็นของผู้ไม่เห็นร่างเอ่ยชมอย่างจริงใจ ไม่มีวี่แววของการประชดประชัน
วูบหนึ่งของความรู้สึก กลัวหรือ? ทำไมความรู้สึกนี้มันหายมลายสิ้นไปแล้ว ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม ข้างๆศาลเธอ” ผมเอ่ยถามขึ้นราวกับพูดกับคนรู้จัก เเพราะคงต้องรอสองคนนั่นอีกสักพัก
“เชิญเลย ฉันดีใจมากที่เธอไม่กลัวและวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไป”
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความยินดีอย่างชัดเจน ผมนั่งแปะลงตรงแถวหญ้ากอไสวแล้วร้องอุทานขึ้น
“หญ้าขึ้นรกจังเลย ก่อนฉันจะกลับบ้านจะมาถางให้เธอก่อน”
ไม่มีเสียงตอบกลับชั่วขณะ แต่แล้วเสียงเย็นเฉียบก็ดังขึ้นอย่างซาบซึ้ง
“เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นดอก แค่เธอไม่รังเกียจ หรือหวาดกลัวที่ฉันเป็นวิญญาณตนหนึ่ง ฉันก็พอใจแล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้ทำไม เพราะอะไร อยู่ๆฉันก็หายกลัวเธอขึ้นมาเฉยๆ” ผมพึมพำขึ้นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“ปรกติคนผ่านไปผ่านมาทางนี้ ฉันไม่ค่อยปรากฎร่างให้เห็นหรอก หากพวกเขาตกใจกลัว บาปและกรรมก็จะตกลงที่ฉัน แต่เผอิญวันนั้น”ท่าน”มา ฉันเลยออกมารำถวายต้อนรับ ทำให้เธอกับเพื่อนตกใจกลัวฉันต้องขอโทษอีกครั้ง”
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเสียใจโดยมิได้เสแสร้ง
ผมเอะใจขึ้นมา วิญญาณย่อมไม่โกหกพกลมแน่
“ท่าน” ผมหันไปมองทางศาลไม้อย่างลืมตัว” ลุงคนที่นั่งรถมากับพวกฉันนะหรือ ทำไมเธอเรียกลุงว่า” ท่าน” ฉันนึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าลุงแกต้องไม่ธรรมดา และแกต้องเป็นลุงคนเดียวกับที่เอาเครื่องประดับทองไปให้เหลนตาเมี่ยงแน่ๆ เมื่อคืนคลับคล้ายคลับคลาว่าแกมาไล่ใครให้ที่หน้าบ้านเพื่อนฉัน”
แม้แสงตะวันจะยังแรงกล้า แต่ผมก็ยังเห็นร่างลางๆอันชดช้อยของสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ที่ศาล เหมือนเธอจงใจให้เห็นแต่เพียงเท่านั้น
“ท่านคนนี้มารับหน้าที่แทนท่านอีกองค์ที่สะสมบุญบารมีขึ้นสรวงสวรรค์ไปแล้ว อย่าให้ฉันพูดอะไรมากเลยจ้ะ ฉันเป็นแค่วิญญาณทุกข์เข็ญไม่อาจเทียบบุญบารมีได้ อีกหน่อยเธอจะรู้เองว่าท่านเป็นอะไร”
คำตอบอันเป็นปริศนาของนางผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งดังเข้าหู ฟังจากน้ำเสียงถ้าหากเป็นคนก็คือกริ่งเกรงคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า
“แล้วเมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันไปหรอก ท่านไปที่บ้านเพื่อนของเธอมา คือท่านได้แจ้งมาว่าผีตายโหงแถวนี้จะไปหลอกหลอนคนแปลกหน้าที่มาจากที่อื่น ซึ่งก็คือเธอกับเพื่อน ท่านเอ็นดูพวกเธอสองคนมากเลยไปขับไล่ไสส่งผีตนนั้นด้วยตัวเอง ออกประกาศิตห้ามวิญญาณทุกตนไปแวะเวียนทำให้เธอตกใจ”
ผมเสียววาบตั้งแต่หลังยันท้ายทอย พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
“ฉันว่าแล้ว เห็นอยู่ไม่ถนัดนักแต่ก็รู้ว่าที่ท่านไล่ไม่น่าจะใช่คน แล้วปอบที่บ้านตาเมี่ยงท่านก็เป็นคนไปไล่ให้ใช่ไหม”
“ใช่” เสียงเย็นเยือกปานน้ำแข็งไม่มีผิด” เธอฉลาดล้ำประสานเรื่องราวเองได้ ฉันคงไม่ต้องบอกอะไรเธอมากนักหรอก แล้วเธอจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดเอง”
ใบหน้าที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผมเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน สายตาคู่นั้นมองมาและคาดเดาได้ว่าผมคิดอะไร
“ไม่ต้องกลัวหรอก” เธอส่งเสียงปลอบมา “ท่านมาคุ้มครองอยู่แถวนี้แล้ว ไม่ปล่อยให้วิญญาณบาปดวงใดไประรานเธอได้ นรา ”
ผมไม่แปลกใจสักนิดที่เธอรู้จักชื่อของผม โธ่ ก็ผ่านเรื่องเหนือธรรมชาติมาขนาดนี้จะมามัวนั่งสงสัยอะไรอีก กับอีแค่เรื่องนี้
“ ในเมื่อเธอรู้ชื่อฉันแล้ว ฉันขอทราบชื่อเธอหน่อยได้ไหม” ผมหันไปตรงที่ๆคิดว่าเธอน่าจะยืนอยู่ แล้วผมก็ได้เห็นร่างเลือนสะโอดสะองนั้นรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
“อย่ามองหน้าฉันนรา ดวงตาฉันไม่มีแวว มันเป็นดวงตาของคนตาย ฉันไม่อยากให้เธอตกใจ”
ผมรู้สึกเวทนาเธอขึ้นมาอย่างล้นพ้น ผีอย่างนี้ใครจะกลัวลงก็กลัวไป แต่ผมกลัวไม่ลงจริงๆ สังคมปัจจุบันคนด้วยกันเองยังน่ากลัวกว่า อย่างเพื่อนร่วมงานที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง เจ้านายที่หลอกใช้งานฟรีๆเพื่อให้ตัวเลขของบประมาณดูดี
“ฉันชื่อวิมาลา”เธอตอบในที่สุด” สาเหตุการตายของฉันคือเพราะโดนย่ำยีข่มขืน ฉันอับอายเลยกระทำอัตวินิบาตกรรม ซึ่งเป็นบาปอย่างหนึ่ง วิญญาณฉันเลยต้องใช้กรรมไปผุด. ไปเกิดไม่ได้”
“โธ่เอ้ย” ผมรำพึงออกมาด้วยความสังเวชจากใจไม่แกล้งดัด”พวกคนใจสัตว์ที่ทำกับเธอพวกนั้นได้รับกรรมหรือยัง ศพของเธอทำพิธีกรรมทางศาสนาครบถ้วนหรือเปล่า ถ้าไม่ ฉันจะดำเนินการทุกอย่างให้เอง”
“ขอบใจ แต่ไม่ต้อง” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความปิติจากความจริงใจของผม” ก่อนหน้านี้ฉันก็แค้นใคร่อยากไปหักคอพวกมัน แต่ท่านเทพารักษ์ เอ่อ ได้ห้ามไว้ ท่านบอกอย่าสร้างวงเวียนแห่งกรรมไม่รู้จบเลย ให้บาปกรรมติดตัวพวกมันไปชดใช้ในนรกเอาเอง ส่วนศพของฉันประกอบตามพิธีศาสนาหมดทุกประการ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลังจากนั้น ไม่น่าเชื่อว่าผมคุยกับผีได้เป็นวรรคเป็นเวร มิตรภาพเรางอกงามขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเจ้าหยกกับน้องนาถยาหอบผักเขียวในกำมือเดินลิบๆเข้ามา ฉับพลัน เสียงวิมาลาบอกว่า
“ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวสองคนนั้นจะกลัว ขอบใจที่มาคุยกับฉัน นรา เธอเป็นคนดี ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ สายตาผีอย่างฉันมองทะลุไปเห็นความจริงเสมอ เธออย่าอยู่ในสังคมที่แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นเลย มันไม่เหมาะกับเธอ”
แล้วเธอก็หายวับไป ผมมองตามก็ไม่เห็นเธออีกเลย เมื่อเจ้าหยกกับน้องนาถยาเข้ามาใกล้
แต่ผมอึ้งไปเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ คำพูดทิ้งท้ายประโยคนั้นของเธอเข้าไปกระทบบางอย่างที่อยู่ในใจของผมมาตลอด ในขณะที่เจ้าหยกมองดูผมสลับกับศาลสิงสถิตของวิมาลาอย่างหวาดๆ
“นรา แกโอเคใช่ไหม มานั่งอะไรตรงนี้ มา มา ลุกไหวไหม ฉันช่วยประคองแกเอง มีอะไร เจอ อะไรไปพูดกันที่บ้าน”
เจ้าหยกพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง อดชำเลืองมองไปทางศาลไม้ไม่ได้ แต่ผมโบกมือให้
“ไม่มีอะไร ฉันแค่กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ขากลับแกขับรถแล้วกัน ฉันกำลังคิดอะไรบางอย่างให้ตก”
ผมเดินไปนั่งเบาะหลังโดยไม่ฟังความเห็นมัน ถึงแม้จะจมอยู่ในความคิด แต่ก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหยกเหลือบมองผมที่กระจกหลังตลอดทางด้วยอาการวิตก
เย็นวันนั้นเราก็สังสรรค์กันด้วยเบียร์อีก ผัดผักกูดที่เก็บมาอร่อย มีรสชาติมาก ขนาดผัดแค่ใส่กระเทียมกับเกลือนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องใส่ซอสปรุงรสอื่นให้ยุ่งยาก
ล่อเบียร์กันจนหลับคาระเบียงกันอยู่ตรงนั้น เหมือนเช่นคืนแรก พอผมเคลิ้มๆใกล้จะหลับเป็นคนสุดท้าย ร่างหนั่นหนาของชายวัยคราวพ่อคนหนึ่งก็เดินมาชะโงกหน้าดูห่างๆ เสื้อผ้าที่แกสวมใส่นั้นเป็นสีน้ำทะเลทั้งตัว เหมือนผมได้ยินเสียงงใครรำพึงรำพันในความมืด
“หลับให้สบายพ่อหนุ่ม ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น แกสองคนนี่ไม่ใช่ย่อยเลย ไอ้หนุ่มเพื่อนแกต่อไปก็จะมาเป็นเขยบ้านนี้แล้ว ส่วนแก เหอ เหอ กลับบ้านไปได้ไม่นานหรอก ต่อไปแกก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี้เหมือนกัน อำนาจของความรัก ต่อให้สวรรค์หรือนรกก็ห้ามไม่ได้”
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกสยิว ขนลุกขนพองเลย แต่กลับอบอุ่นราวกับมีญาติผู้ใหญ่มาคอยดูแลอยู่ห่างๆ คืนนั้นผมหลับอย่างสุขสงบทั้งคืน
พอตื่นเช้าขึ้นมาผมกับหยกก็ตามเจ้าจ๋านไปสวนอีก ช่วยมันทำงานสวนสารพัด ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ผ่อนแรงมันได้สักหน่อยก็ยังดี ฝ่ามือที่แตกยับเยินในวันแรกเพราะจับจอบจับเสียมเริ่มมีความคงทนขึ้น
พอเลิกงาน ผมขอยืมกรรไกรตัดหญ้าเจ้าจ๋าน ขอตัวขับรถออกมาจากบ้านโดยไม่ได้ชวนใครมาเป็นเพื่อน เจ้าหยกกับเจ้าจ๋านสบตากัน แม้ทั้งคู่จะรู้จักกันได้แค่สองวันแต่สายตาที่มันสองคนมองถึงกันสื่อได้ถึงความกังวลในตัวผม
ผมมาหยุดที่ศาลแห่งนั้น ก่อนอื่นผมเอาถ้วยที่บรรจุผัดผักกูดสุดแสนอร่อยไปวางในศาล
“วิมาลา ฉันเอาอาหารมาฝากเธอ มันอร่อยมาก ฉันไม่รู้ว่าเธอจะลิ้มรสมันยังไง แต่ฉันอยากเอามาให้เธอ”
ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา ผมเลยเดินไปคว้ากรรไกรตัดหญ้าที่ยืมเจ้าจ๋านมา สับเข้าฉับๆตรงกอหญ้าที่ขึ้นรกรอบศาลจนเตียนโล่ง
ลมหอบเอากลิ่นดอกไม้ป่าอบอวลมากับสายลม เสียงหวานแต่แฝงไปด้วยความยะเยือกดังขึ้นข้างๆ
“โถ นรา เธอจะแสนดีไปถึงไหน ฉันอยู่ของฉันได้มาถึงป่านนี้ รอวันพ้นกรรม แล้วเธอก็มาเป็นเพื่อนฉัน หลังจากเธอกลับบ้านไป ฉันจะอยู่อย่างเดียวดายได้อย่างไร”
ตอนนั้นเวลาใกล้พลบแล้ว แสงตะวันเริ่มอับฉาย บรรยากาศกึ่งๆป่ารอบข้างที่ปราศจากผู้คน สมควรจะวังเวง น่ากลัว แต่ผมกลับรู้สึกถึงอุ่นไอบางอย่างที่บริสุทธิ์
“วิมาลา ฉันจะต้องกลับบ้านพรุ่งนี้แล้ว” แม้จะเอ่ยถ้อยคำกับอากาศที่ว่างเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าเจ้าของชื่อต้องได้ยิน
“เธอออกมาให้ฉันเห็นหน่อยได้ไหม ฉันไม่กลัวรูปลักษณ์เธออีกแล้ว ใจของเธอฉันสัมผัสได้ว่าเธอไม่โหดร้ายแม้แต่น้อย ต่อให้หน้าตาเธอน่ากลัวสยดสยองแค่ไหนฉันก็ไม่หวั่น”
เงาเลือนรางในชุดนางรำหญิงสีเงินระยับค่อยๆปรากฎให้เห็นทีละนิด ทรวดทรงองค์เอวของเธอนั้นบอบบางน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ศีรษะและรูปหน้าของเธอที่สวมตรีชฎานั้นสวยสมส่วนเช่นกัน กรอบตาเธอนั้นก็เป็นรูปหงส์สวยงาม หากแต่ตาเหลือกขาวไร้ซึ่งตาดำ เธอสะบัดหน้าหนีทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของผม
“ฉันเตือนเธอแล้ว ว่าเธอต้องกลัว จะดูหน้าฉันไปเพื่อประโยชน์อะไร”
เธอก้มหน้าหลุบเปลือกตาลงมองพื้นไม่ให้ผมได้จ้องตาขาวโพลนไม่มีตาดำของเธออีก ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปราดไปคว้ามือทั้งสองของเธอ ผมสัมผัสได้ถึงความมีเลือดเนื้อแม้ว่ามันจะเย็นเฉียบและขาวซีด
“ฉันขอโทษ วิมาลา ฉันเป็นปุถุชนธรรมดา ยอมรับว่าอาจมีตกใจบ้างแต่ฉันไม่กลัวอีกแล้ว มองตาฉันสิ”
เเธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผม สายตาของเราประสานกัน แม้เธอจะไม่มีแก้วตาแต่ผมมั่นใจว่าดวงตาของเราสบกันแน่นิ่ง ทันใดนั้นเธอเธอก็รีบสะบัดมือออก มองไปทางถนนข้างหลังผม
“นั่นเพื่อนของเธอมาตาม พวกเขาเป็นห่วงเธอมาก แม้ว่าจะกลัวแสนกลัวแต่ความรักเพื่อนนั้นมีมากกว่า น้ำใจอย่างนี้หาได้ยากนัก ฉันต้องไปแล้ว”
เธอหันมาสบตาผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมอ่านได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาขาวโพลนของเธอ แล้วก็เช่นเคย ร่างของเธอสลายวับไปกับตา
รถกะบะคันหนึ่งแล่นมาตามถนนตัดลูกรังสีแดง และจอดลงข้างๆรถของผม เจ้าหยกโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างผู้โดยสาร ผมเห็นสีหน้าของมันคลายความเคร่งเครียดลงพอเห็นผมยืนอยู่อย่างปกติครบทั้งสามสิบสองประการ
“แกมาทำอะไรตรงนี้”มันถาม แต่สายตาพรั่นเกรงมองกวาดไปทั่วอาณาบริเวณ มือทาบพระเครื่องที่แขวนคอไว้ตลอด คนขับรถคือเจ้าจ๋านก่อนหน้า