ธนาธร บรรยายทางไกลนศ.มอ.หาดใหญ่ ชี้ แนวโน้มศก.ทรุดหนัก ทุนผูกขาดครองเมือง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2074264
‘ธนาธร’ บรรยายทางไกลนศ. มอ.หาดใหญ่ วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ-อนาคตของงานของคนรุ่นใหม่ ทำนายทรุดหนัก -เหลื่อมล้ำสูง- ทุนผูกขาดครองเมือง
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไลฟ์ทางเฟซบุ๊ก บรรยายทางไกลในฐานะอาจารย์พิเศษ ในหัวข้อ “
ทางเลือกของคนรุ่นใหม่กับเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ move on” ให้กับนักศึกษาโครงการเศรษฐวิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยพูดถึงสิ่งที่นักศึกษาที่เข้าร่วมการบรรยายในวันนี้จะต้องเจอในอนาคต ซึ่งเกิดจากปัจจัย 3 ประการ อันได้แก่
1) ภาวะเศรษฐกิจมหภาค
2) โครงสร้างอำนาจ ปัญหาทางการเมือง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ
และ 3) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
นาย
ธนาธร กล่าวว่า ในด้านเศรษฐกิจมหภาพ เศรษฐกิจปี 2563 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มถดถอยอยู่แล้วไม่ว่าจะมีไวรัส covid-19 หรือไม่ และสถานการณ์ของ covid-19 ก็กำลังมาซ้ำเติมสถานะของเศรษฐกิจไทยให้เลวร้ายลงไปอีก แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อการจับจ่ายใช้สอย จะนำมาสู่การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2020 การส่งออกที่เป็นที่พึ่งของเศรษฐกิจไทยมาตลอดก็ติดลบ เป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งผ่านไป เมื่อการส่งออกซึ่งไม่ได้ดีเป็นทุนอยู่แล้ว มาเจอกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและการบริโภคที่ลดลง เศรษฐกิจไตรมาส 1-2 และอาจจะ 3 ด้วยจะติดลบแน่นอน ในกรณีที่ดีที่สุดคือ จะกลับมาดีได้ในไตรมาส 4 ของปี 2563 ในด้านปัจจัยโครงสร้างอำนาจและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ปัญหาที่เป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร คือโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนรวย และทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนสูงขึ้น ในปี 2016 ความมั่งคั่ง 58% อยู่ในมือของคนเพียง 1% แต่ในปี 2018 ความมั่ง 67% อยู่ในมือของคนเพียง 1% ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
“
หลังการยึดอำนาจ รัฐบาลประยุทธ์ 1 เสนอเศรษฐกิจโมเดลประชารัฐ ด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มทุนใหญ่กับภาครัฐร่วมกันออกแบบและจัดการนโยบาย จะดึงให้กลุ่มทุนขนาดกลางขนาดเล็กและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ หลักคิดคือกลุ่มทุนใหญ่เป็นหัวหอกทางเศรษฐกิจ เปิดเสรีดึงกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน และการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐดูแลคนยากไร้ แต่ในความเป็นจริงที่เกินขึ้น แนวโน้มที่น่าจะได้เห็นมีอยู่สี่ประการ คือ
1) การให้ทุนใหญ่กำหนดทิศทางประเทศ จะทำให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น
2) อำนาจที่มาจากการแต่งตั้ง การทำรัฐประหาร สูงกว่าเสียงประชาชนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมรุนแรงมากขึ้น
3) แนวคิดที่พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก จะทำให้ประเทศไทยเติบโตแบบไร้เทคโนโลยี
และ 4) การกดทับกีดกันเสรีภาพจะนำไปสู่อุปสรรคในการพัฒนามนุษย์และนวัตกรรม” นายธนาธร กล่าว
นาย
ธนาธร กล่าวว่า ปรากฏการณ์การผูกขาดทางเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัด มีตัวอย่างเช่นกรณีการใช้มาตรา 44 แก้กฎระเบียบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนในการประมูลต่อสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน, การที่ประเทศไทยมีจำนวนธนาคารต่อสัดส่วนประชากรน้อยที่สุด อยู่แค่ 0.33 ธนาคารต่อประชากร 1 ล้านคน, กรณีการใช้มาตรา 44 ยืดการจ่ายชำระค่าสัมปทานให้กับกลุ่มทุนทีวีดิจิทัลและกลุ่มทุนโทรคมนาคมมูลค่ากว่า 23,664 ล้านบาท, กรณีรถไฟฟ้าสายสีทองที่เป็นสถานีทางตัน มีสถานีจอดที่หน้าห้างสรรพค้าขนาดใหญ่ ไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่จะเป็นรถไฟฟ้าสายรองในการเชื่อมสายสีเขียว สีม่วง และสีแดงเข้าด้วยกัน สิ่งที่ตนยกมาให้เห็น ก็เพื่อต้องการทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจทางการเมืองกับการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เมื่อมีการเอื้อประโญชน์กันระหว่างรัฐและทุน หนทางทำมาหากินของคนธรรมดาเป็นเรื่องยากเย็น กลุ่มทุนขนาดใหญ่พึ่งพิงอำนาจรัฐ การออกกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ ที่ปิดโอกาสไม่ให้เกิดการแข่งขันเพื่อให้ตัวเองสั่งสมความมั่งคั่งได้” นาย
ธนาธร กล่าว
นาย
ธนาธร กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ กลุ่มทุนขนาดใหญ่จะทำธุรกิจเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ OEM หรือสินค้าที่ต้องใช้นวัตกรรมขั้นสูง ทำการแข่งขันในตลาดโลก ไปช่วงชิงส่วนแบ่งมูลค่าในตลาดโลกกลับเข้ามาในประเทศไทย ในขณะที่สินค้าพื้นฐาน, สินค้าขั้นปฐมภูมิ, สินค้าทุติยภูมิ ควรเป็นโอกาสของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งในโมเดลเช่นนี้ต่างหากที่จะสามารถนำไปสู่การดึงให้กลุ่มทุนขนาดกลาง-ขนาดเล็ก และประชาชนได้รับส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจได้อย่างถ้วนหน้า แต่ในกรณีของประเทศไทย กลุ่มทุนใหญ่เลือกที่จะครอบครองตลาดสินค้าปฐมภูมิ-ทุติยภูมิ และมาเบียดบังผู้ประกอบการในสินค้าขั้นพื้นฐาน สิ่งนี้นำไปสู่คำถามต่อไป ว่างบประมาณที่มีอยู่ในประเทศควรต้องใช้เพื่อใคร การเอื้อประโยชน์ที่ตนพูดมามีต้นทุนจากภาษีของประชาชนทั้งนั้น ไม่ว่าจะในรูปแบบงบประมาณที่ต้องจ่ายไปหรือรายได้ที่จะหายไปของรัฐจากการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน คำถามคืองบประมาณของประเทศที่มีอยู่ 3.3 ล้านล้านบาท มีส่วนที่เป็นงบผูกพัน 2.1 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่รัฐบาลออกแบบเองได้ 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าเราเอางบส่วนนี้มาดูแลคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนส่วนน้อยของประเทศ ประเทศของเราจะก้าวไปไกลได้มากแค่ไหน
“
ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทั้ง AI และ automation กำลังส่งผลกระทบต่อทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจสื่อ ธุรกิจธนาคาร การเงิน บริการ ให้ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้า สำหรับงานในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่สำคัญมากนอกจากสมองฝั่งที่ทำงานในด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์) แล้ว สิ่งที่สำคัญมากคือจินตนาการ เพราะทุกวันนี้เรามีคอมพิวเตอร์ เซนเซอร์ แอพพลิเคชั่น โปรแกรมต่างๆที่ทดแทนการทำงานบางส่วนของสมอง มือ หู จมูก ตา ปากได้หมดแล้ว แต่สิ่งที่ AI และ automation ยังทดแทนไม่ได้คืองานประเภท 3C (Creative, Craft, Care)” นาย
ธนาธร กล่าว
นาย
ธนาธร กล่าวต่อว่า ส่วนจะรับมือกับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้อย่างไร แน่นอนว่า ในแต่ละสังคมก็มีความแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มารับใช้สังคม รับใช้ประชาชนส่วนใหญ่ รับใช้โลก เช่น ในเมื่อเราสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณเท่าเดิมโดยใช้จำนวนคนที่น้อยลงแล้ว เราสามารถลดเวลาการทำงานต่อสัปดาห์ลงได้ อย่างที่ในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วได้ทำมา เช่นในเยอรมนีมีการลดเหลือแค่ 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้ว ทำให้ประชาชนมีเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัว อยู่กับครอบครัว ใช้เวลาในการสร้างสรรค์ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน
ป่ารอยต่อฟ้อง'โรม'หมิ่นประมาทอภิปรายนอกสภาฯ
https://www.dailynews.co.th/politics/764042
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพหมายเรียก พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
หมายเรียก คดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากการอภิปรายนอกสภา ไม่วางใจพล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณและเครือข่ายป่ารอยต่อ พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมได้รับหมายเรียกจากสน.บางขุนนนท์ ลงวันที่ 12 มี.ค.ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ซึ่งผู้กล่าวหาคือ พ.อ.
ภิญโญ บุญทรงสันติกุล ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ แน่นอนว่าคงเป็นการฟ้องหมิ่นประมาทฯ สืบเนื่องจากกรณีที่ผมได้อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
พี่น้องครับ ผมทราบดีตั้งแต่ต้น ว่าการอภิปรายเรื่องนี้ ซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงองค์กรและบุคคลต่างๆ ที่เชื่อมโยงถักทอเป็นโครงข่ายของอาณาจักร
ประวิตร มีความเสี่ยงที่ผมจะถูกฟ้องดำเนินคดี ไม่ว่าจะอภิปรายในหรือนอกสภาฯ ก็ตาม พี่ๆ หลายท่านในอดีตพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็ไต่ถามแสดงความห่วงใยอยู่หลายครั้ง ว่า เอาจริงๆเหรอ เสี่ยงนะ
แต่สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คือการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของอาณาจักร
ประวิตร รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมได้อภิปรายในสภาฯ และพล.อ.
ประวิตรได้ตอบ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติมากกว่านี้
นาย
รังสิมันต์ ระบุว่า มันเป็นเพียงอีกคดีหนึ่งเท่านั้นเองครับ ผมมีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการต่อสู้คดีนี้ ซึ่งเป็นการดีที่ป่ารอยต่อ จะได้ถูกนำเสนอเป็นข้อมูลนำสืบในชั้นศาลอีกครั้ง เนื่องจากผมถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ซึ่งไม่มีความคุ้มกันของสมาชิกรัฐสภา ส่งผลให้ผมต้องเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียก แต่เนื่องจากในวันที่ 23 มี.ค.ที่พนักงานสอบสวนนัดหมายมานั้น ผมมีหมายต้องไปศาลในคดีคนอยากเลือกตั้ง ไม่สามารถไปรายงานตัวในคดีนี้ได้ จึงได้ประสานขอเลื่อนพนักงานสอบสวนออกไปก่อน ขอปรึกษาทนายความ และหาวันที่ว่างตรงกัน แล้วจะนัดหมายไปรายงานตัวอีกครั้ง
“
กำลังใจจากพี่น้องประชาชนถ้าจะมอบให้ผม ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ แต่ตอนนี้เรามีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องมอบกำลังใจให้แก่กันนั่นคือสถานการณ์ COVID-19 นะครับ ดังนั้นในวันที่ผมเลื่อนไปเพื่อรายงานตัว ถ้าสถานการณ์ COVID-19 ยังไม่ดีขึ้น ขอความกรุณาว่า พี่น้องไม่ต้องเดินทางไปที่สน.บางขุนนนท์ เพื่อลดการรวมตัวกัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่แพร่เชื้อ#ป่ารอยต่อฟ้องโรม” นาย
รังสิมันต์ระบุ.
https://www.facebook.com/rangsimanrome/photos/a.212258439530811/451151322308187/
JJNY : 4in1 ธนาธรชี้แนวโน้มศก.ทรุดหนัก/ป่ารอยต่อฟ้องโรมหมิ่นประมาท/กษิตอัดรัฐบาล/หมอธีระวัฒน์ชี้สถานการณ์โควิดส่อรุนแรง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2074264
‘ธนาธร’ บรรยายทางไกลนศ. มอ.หาดใหญ่ วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ-อนาคตของงานของคนรุ่นใหม่ ทำนายทรุดหนัก -เหลื่อมล้ำสูง- ทุนผูกขาดครองเมือง
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไลฟ์ทางเฟซบุ๊ก บรรยายทางไกลในฐานะอาจารย์พิเศษ ในหัวข้อ “ทางเลือกของคนรุ่นใหม่กับเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ move on” ให้กับนักศึกษาโครงการเศรษฐวิจัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยพูดถึงสิ่งที่นักศึกษาที่เข้าร่วมการบรรยายในวันนี้จะต้องเจอในอนาคต ซึ่งเกิดจากปัจจัย 3 ประการ อันได้แก่
1) ภาวะเศรษฐกิจมหภาค
2) โครงสร้างอำนาจ ปัญหาทางการเมือง โครงสร้างทางเศรษฐกิจ
และ 3) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
นายธนาธร กล่าวว่า ในด้านเศรษฐกิจมหภาพ เศรษฐกิจปี 2563 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มถดถอยอยู่แล้วไม่ว่าจะมีไวรัส covid-19 หรือไม่ และสถานการณ์ของ covid-19 ก็กำลังมาซ้ำเติมสถานะของเศรษฐกิจไทยให้เลวร้ายลงไปอีก แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อการจับจ่ายใช้สอย จะนำมาสู่การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2020 การส่งออกที่เป็นที่พึ่งของเศรษฐกิจไทยมาตลอดก็ติดลบ เป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งผ่านไป เมื่อการส่งออกซึ่งไม่ได้ดีเป็นทุนอยู่แล้ว มาเจอกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและการบริโภคที่ลดลง เศรษฐกิจไตรมาส 1-2 และอาจจะ 3 ด้วยจะติดลบแน่นอน ในกรณีที่ดีที่สุดคือ จะกลับมาดีได้ในไตรมาส 4 ของปี 2563 ในด้านปัจจัยโครงสร้างอำนาจและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ปัญหาที่เป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร คือโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนรวย และทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนสูงขึ้น ในปี 2016 ความมั่งคั่ง 58% อยู่ในมือของคนเพียง 1% แต่ในปี 2018 ความมั่ง 67% อยู่ในมือของคนเพียง 1% ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
“หลังการยึดอำนาจ รัฐบาลประยุทธ์ 1 เสนอเศรษฐกิจโมเดลประชารัฐ ด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มทุนใหญ่กับภาครัฐร่วมกันออกแบบและจัดการนโยบาย จะดึงให้กลุ่มทุนขนาดกลางขนาดเล็กและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ หลักคิดคือกลุ่มทุนใหญ่เป็นหัวหอกทางเศรษฐกิจ เปิดเสรีดึงกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน และการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐดูแลคนยากไร้ แต่ในความเป็นจริงที่เกินขึ้น แนวโน้มที่น่าจะได้เห็นมีอยู่สี่ประการ คือ
1) การให้ทุนใหญ่กำหนดทิศทางประเทศ จะทำให้เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น
2) อำนาจที่มาจากการแต่งตั้ง การทำรัฐประหาร สูงกว่าเสียงประชาชนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมรุนแรงมากขึ้น
3) แนวคิดที่พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก จะทำให้ประเทศไทยเติบโตแบบไร้เทคโนโลยี
และ 4) การกดทับกีดกันเสรีภาพจะนำไปสู่อุปสรรคในการพัฒนามนุษย์และนวัตกรรม” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า ปรากฏการณ์การผูกขาดทางเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัด มีตัวอย่างเช่นกรณีการใช้มาตรา 44 แก้กฎระเบียบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนในการประมูลต่อสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน, การที่ประเทศไทยมีจำนวนธนาคารต่อสัดส่วนประชากรน้อยที่สุด อยู่แค่ 0.33 ธนาคารต่อประชากร 1 ล้านคน, กรณีการใช้มาตรา 44 ยืดการจ่ายชำระค่าสัมปทานให้กับกลุ่มทุนทีวีดิจิทัลและกลุ่มทุนโทรคมนาคมมูลค่ากว่า 23,664 ล้านบาท, กรณีรถไฟฟ้าสายสีทองที่เป็นสถานีทางตัน มีสถานีจอดที่หน้าห้างสรรพค้าขนาดใหญ่ ไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่จะเป็นรถไฟฟ้าสายรองในการเชื่อมสายสีเขียว สีม่วง และสีแดงเข้าด้วยกัน สิ่งที่ตนยกมาให้เห็น ก็เพื่อต้องการทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจทางการเมืองกับการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เมื่อมีการเอื้อประโญชน์กันระหว่างรัฐและทุน หนทางทำมาหากินของคนธรรมดาเป็นเรื่องยากเย็น กลุ่มทุนขนาดใหญ่พึ่งพิงอำนาจรัฐ การออกกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ ที่ปิดโอกาสไม่ให้เกิดการแข่งขันเพื่อให้ตัวเองสั่งสมความมั่งคั่งได้” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ กลุ่มทุนขนาดใหญ่จะทำธุรกิจเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ OEM หรือสินค้าที่ต้องใช้นวัตกรรมขั้นสูง ทำการแข่งขันในตลาดโลก ไปช่วงชิงส่วนแบ่งมูลค่าในตลาดโลกกลับเข้ามาในประเทศไทย ในขณะที่สินค้าพื้นฐาน, สินค้าขั้นปฐมภูมิ, สินค้าทุติยภูมิ ควรเป็นโอกาสของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งในโมเดลเช่นนี้ต่างหากที่จะสามารถนำไปสู่การดึงให้กลุ่มทุนขนาดกลาง-ขนาดเล็ก และประชาชนได้รับส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจได้อย่างถ้วนหน้า แต่ในกรณีของประเทศไทย กลุ่มทุนใหญ่เลือกที่จะครอบครองตลาดสินค้าปฐมภูมิ-ทุติยภูมิ และมาเบียดบังผู้ประกอบการในสินค้าขั้นพื้นฐาน สิ่งนี้นำไปสู่คำถามต่อไป ว่างบประมาณที่มีอยู่ในประเทศควรต้องใช้เพื่อใคร การเอื้อประโยชน์ที่ตนพูดมามีต้นทุนจากภาษีของประชาชนทั้งนั้น ไม่ว่าจะในรูปแบบงบประมาณที่ต้องจ่ายไปหรือรายได้ที่จะหายไปของรัฐจากการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน คำถามคืองบประมาณของประเทศที่มีอยู่ 3.3 ล้านล้านบาท มีส่วนที่เป็นงบผูกพัน 2.1 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่รัฐบาลออกแบบเองได้ 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าเราเอางบส่วนนี้มาดูแลคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนส่วนน้อยของประเทศ ประเทศของเราจะก้าวไปไกลได้มากแค่ไหน
“ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทั้ง AI และ automation กำลังส่งผลกระทบต่อทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจสื่อ ธุรกิจธนาคาร การเงิน บริการ ให้ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้า สำหรับงานในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่สำคัญมากนอกจากสมองฝั่งที่ทำงานในด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์) แล้ว สิ่งที่สำคัญมากคือจินตนาการ เพราะทุกวันนี้เรามีคอมพิวเตอร์ เซนเซอร์ แอพพลิเคชั่น โปรแกรมต่างๆที่ทดแทนการทำงานบางส่วนของสมอง มือ หู จมูก ตา ปากได้หมดแล้ว แต่สิ่งที่ AI และ automation ยังทดแทนไม่ได้คืองานประเภท 3C (Creative, Craft, Care)” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ส่วนจะรับมือกับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้อย่างไร แน่นอนว่า ในแต่ละสังคมก็มีความแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มารับใช้สังคม รับใช้ประชาชนส่วนใหญ่ รับใช้โลก เช่น ในเมื่อเราสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณเท่าเดิมโดยใช้จำนวนคนที่น้อยลงแล้ว เราสามารถลดเวลาการทำงานต่อสัปดาห์ลงได้ อย่างที่ในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้วได้ทำมา เช่นในเยอรมนีมีการลดเหลือแค่ 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้ว ทำให้ประชาชนมีเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัว อยู่กับครอบครัว ใช้เวลาในการสร้างสรรค์ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน
ป่ารอยต่อฟ้อง'โรม'หมิ่นประมาทอภิปรายนอกสภาฯ
https://www.dailynews.co.th/politics/764042
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพหมายเรียก พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
หมายเรียก คดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากการอภิปรายนอกสภา ไม่วางใจพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณและเครือข่ายป่ารอยต่อ พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมได้รับหมายเรียกจากสน.บางขุนนนท์ ลงวันที่ 12 มี.ค.ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ซึ่งผู้กล่าวหาคือ พ.อ.ภิญโญ บุญทรงสันติกุล ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ แน่นอนว่าคงเป็นการฟ้องหมิ่นประมาทฯ สืบเนื่องจากกรณีที่ผมได้อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
พี่น้องครับ ผมทราบดีตั้งแต่ต้น ว่าการอภิปรายเรื่องนี้ ซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงองค์กรและบุคคลต่างๆ ที่เชื่อมโยงถักทอเป็นโครงข่ายของอาณาจักรประวิตร มีความเสี่ยงที่ผมจะถูกฟ้องดำเนินคดี ไม่ว่าจะอภิปรายในหรือนอกสภาฯ ก็ตาม พี่ๆ หลายท่านในอดีตพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็ไต่ถามแสดงความห่วงใยอยู่หลายครั้ง ว่า เอาจริงๆเหรอ เสี่ยงนะ
แต่สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คือการตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของอาณาจักรประวิตร รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผมได้อภิปรายในสภาฯ และพล.อ.ประวิตรได้ตอบ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติมากกว่านี้
นายรังสิมันต์ ระบุว่า มันเป็นเพียงอีกคดีหนึ่งเท่านั้นเองครับ ผมมีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการต่อสู้คดีนี้ ซึ่งเป็นการดีที่ป่ารอยต่อ จะได้ถูกนำเสนอเป็นข้อมูลนำสืบในชั้นศาลอีกครั้ง เนื่องจากผมถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ซึ่งไม่มีความคุ้มกันของสมาชิกรัฐสภา ส่งผลให้ผมต้องเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียก แต่เนื่องจากในวันที่ 23 มี.ค.ที่พนักงานสอบสวนนัดหมายมานั้น ผมมีหมายต้องไปศาลในคดีคนอยากเลือกตั้ง ไม่สามารถไปรายงานตัวในคดีนี้ได้ จึงได้ประสานขอเลื่อนพนักงานสอบสวนออกไปก่อน ขอปรึกษาทนายความ และหาวันที่ว่างตรงกัน แล้วจะนัดหมายไปรายงานตัวอีกครั้ง
“กำลังใจจากพี่น้องประชาชนถ้าจะมอบให้ผม ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ แต่ตอนนี้เรามีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องมอบกำลังใจให้แก่กันนั่นคือสถานการณ์ COVID-19 นะครับ ดังนั้นในวันที่ผมเลื่อนไปเพื่อรายงานตัว ถ้าสถานการณ์ COVID-19 ยังไม่ดีขึ้น ขอความกรุณาว่า พี่น้องไม่ต้องเดินทางไปที่สน.บางขุนนนท์ เพื่อลดการรวมตัวกัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่แพร่เชื้อ#ป่ารอยต่อฟ้องโรม” นายรังสิมันต์ระบุ.
https://www.facebook.com/rangsimanrome/photos/a.212258439530811/451151322308187/