บทที่ 3
มันตากับยิ่งคุณเป็นสองคนในกลุ่มไทยมุงที่คอยช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเมื่อรถพยาบาลมาถึง...ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ชายสูงวัยผู้ขับขี่จักรยานยนต์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุไปแล้ว ตำรวจและเจ้าหน้าที่พากันทำงานอย่างชุลมุนและมีการไต่สวนเล็กน้อยกับบรรดาผู้เห็นเหตุการณ์
หลังความอลหม่านกลางสี่แยก ทั้งสองก็แยกตัวออกมา มันตาขับรถออกไปด้วยสีหน้านิ่งงัน ยิ่งคุณเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง
“มันตา...เธอตกใจมากรึเปล่า?”
“เอ่อ...ก็นิดหน่อย” เธอตอบได้เท่านั้น
“ลืมๆ ภาพพวกนั้นไปซะเถอะ มันน่ากลัวสำหรับเธอ ความจริงเธอไม่น่าเข้าไปดูใกล้ขนาดนั้นด้วยซ้ำ”
หญิงสาวส่ายหน้าอาด “ไม่เป็นไรมากหรอก ก็ตกใจนิดหน่อยล่ะที่เห็นคนถูกรถชนต่อหน้า แต่ฉันไม่เป็นอะไรมาก”
มันตารู้ว่ายิ่งคุณอาจจะอยากสอบถามอะไรมากกว่านั้น แต่เหตุการณ์ตรงนั้นทำให้เขาเลือกจะเงียบปากไปก่อน ปล่อยให้เธอขับรถต่อไป
ในความเงียบของห้องโดยสาร หญิงสาวกำลังหวนนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก...ที่เธอมองเห็นอะไรเช่นนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้หายไปจากชีวิตเธอนานแล้ว
สมัยเด็กที่เริ่มจำความได้ มันตาจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเริ่ม ‘มองเห็น’ แสงประหลาดจากกายมนุษย์คือตอนที่ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงมานานแล้ว แต่เธอเห็นแสงอ่อนๆ ทอออกมาจากคุณยายคนดังกล่าว ชี้บอกผู้ใหญ่ก็ถูกดุเป็นการใหญ่ว่าไม่ควรชี้ไม้ชี้มือกับผู้ใหญ่ แต่ปรากฏว่า...คืนวันนั้นญาติท่านนั้นก็หมดลมอย่างสงบ
จากนั้นเธอก็จะมองเห็น ‘รังสี’ บางอย่างจากตัวบุคคลทั่วไปได้เป็นระยะ บางคนดูธรรมดาแต่เธอกลับมองเห็นแสงสุกใส บางคนภายนอกดูดีแต่เด็กหญิงมันตาจะเห็นแสงสีหม่นแปลกๆ ช่วงแรกๆ นั้นเธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงมองเห็นแต่เฉพาะบางคาบบางคราเท่านั้น แต่ที่แน่ๆ ถ้าเมื่อใดได้แวะไปโรงพยาบาล...เธอมักจะเห็นรังสีโทนเทาหม่นได้จากผู้ป่วยหลายคนที่ผ่านตา มันตาจึงเริ่มเรียนรู้ว่า...เธอมองเห็นรังสีแห่งชีวิตได้เป็นระยะๆ
ช่วงนั้น มันตาก็เริ่มสังเกตได้ว่าหากวันใดเป็นวันเพ็ญ การมองเห็นแสงประหลาดจะชัดเจนมากกว่าช่วงคืนเดือนแรม
พ่อกับแม่เองยังเคยเล่าว่า ตอนที่มันตายังเด็กมากและไม่รู้ความ เธอก็จะชอบชี้ไม้ชี้มือหรือชอบมองไปยังทิศที่ไม่มีใครอยู่ บางครั้งก็จะร้องไห้จ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือบางครั้งหากพาไปเที่ยวสถานที่ใดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เด็กหญิงมันตาก็มักจะจับจ้องสายตาแปลกๆ ไปยังความว่างเปล่า หรือบางครั้งเธอส่งเสียงอ้อแอ้หรือพูดคุยไม่ได้ศัพท์กับอากาศธาตุ
แต่เมื่อเข้าวัยรุ่น การเติบโตก็ทำให้แววตาที่เคยแลเห็นสิ่งเหล่านั้นเจือจางไป เธอแทบไม่พบเห็นอะไรทำนองนั้นอีก จนมันตาคิดว่าสิ่งที่เคยมองเห็นในวัยเด็กคงสลายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่แล้ว...มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และเป็นครั้งสำคัญที่เธอไม่ลืม
มันตาเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยในตอนเย็น สวนกับแม่ซึ่งเพิ่งคว้าเอาจักรยานออกมาจากตัวบ้านพอดี
‘แม่ไปไหนคะ?’
‘กระเทียมหมด เดี๋ยวจะไปซื้อที่ร้านป้าแววหน่อย รอก่อนนะลูก’ มารดาหมายถึงร้านของชำที่อยู่ไม่ไกลกัน
มันตาพยักหน้ารับทราบ ทว่าจังหวะที่แม่ขับจักรยานออกไปนั้น...อะไรบางอย่างดลใจให้เธอเหลียวไปมอง แล้วก็ต้องแปลกใจ...ที่เธอเห็นแสงสีอ่อนๆ ทอประกายที่ท้ายทอยแม่ เห็นอยู่สักพักจนแม่ขี่จักรยานลับสายตาไป
ตอนนั้นมันตาคิดว่าตัวเองอาจจะสายตาเบลอจากการเพ่งจดเล็คเชอร์ เพราะเธอเองก็ไม่ได้เห็นแสงแปลกๆ จากกายมนุษย์มาหลายปีแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ก่อนที่เธอจะได้รับรู้ว่า...ไม่กี่นาทีจากนั้น...แม่เธอถูกรถพุ่งชนที่หน้าปากซอย และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล...
ตอนนั้นมันตาอยู่ในสภาพช็อค ช็อคที่แม่จากเธอไปไวกว่าที่คิด ช็อคที่เพียงไม่กี่นาทีที่แม่ลับสายตา...ชีวิตของแม่ก็ปลิวหาย ช็อคที่สิ่งที่เธอเห็นจากแม่...คือรังสีสุดท้ายของการมีชีวิต จนวูบหนึ่งเธอก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า...ถ้าตอนนั้น...ตอนนั้นเธอเอะใจและเรียกแม่เอาไว้ ครอบครัวเธอก็คงไม่สูญเสียมารดาไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นนี้ เธออยู่ในสภาพเศร้าซึมไปพักหนึ่งกว่าจะตั้งหลักได้
แล้วจากนั้นเธอก็ตั้งใจว่าจะไม่ขอพบเห็นสิ่งนี้อีกเลย เธอตั้งจิตตั้งใจยิ่งยวด และหลังผ่านการฝึกฝนทางจิตกับผู้เป็นที่เคารพ ก็ไม่เห็นแสงแปลกๆ ไปนาน จนกระทั่งวันนี้...
รู้ตัวอีกที มันตาก็เพิ่งรู้ว่าเธอขับรถกลับมาบริเวณตลาดเดิมอีกแล้ว จู่ๆ หญิงสาวนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เธอจึงหันไปบอกคนนั่งข้างว่า
“ยิ่ง ขอแวะร้านนั้นแป๊บนะ”
มีเครื่องหมายคำถามมากมายปรากฏอยู่บนใบหน้าหนุ่มแว่นผู้นั่งมาด้วยกัน แต่ยิ่งคุณก็เป็นคนที่ไม่ชอบซักถามอะไรให้มากความนัก ตอนนี้เพื่อนว่ายังไง เขาก็พร้อมจะยอมทำตาม
โชคดีที่หาที่จอดรถได้ไม่ยาก พอลงจากรถมันตาก็เดินตรงกลับไปยังร้านของเก่าร้านเดิมอีกครั้ง เจ้าของร้านคนเดิมหันมาเห็นก็เลิกคิ้วด้วยสายตาแปลกใจ
“อ้าว ตกลงสนใจของเก่ารึเปล่าหนู” อีกฝ่ายทักด้วยท่าทีว่าจดจำหญิงสาวและชายหนุ่มทั้งสองได้
“ก็...อยากจะขอดูอีกรอบค่ะ” มันตาตอบรับ เสียงนิ่งๆ แต่แววตาทั้งอยากรู้และครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แม้จะดูไม่ค่อยเข้าทีนักที่หญิงสาววัยเท่านี้จะสนใจประติมากรรมโบราณ แต่เจ้าของร้านก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เพราะบางครั้ง...ของเก่าเหล่านี้ก็เลือกเจ้าของด้วยตัวเอง
เจ้าของร้านวางแผ่นปูนปั้นลงตรงเคาเตอร์กระจก มันตาเพ่งสายตามองวัตถุนั้นด้วยสายตาไม่กะพริบ เป็นประติมากรรมความสูงประมาณสามนิ้วกว้างสักสองนิ้ว ไม่ใช่รูปปูนปั้นพระพุทธเจ้าเพราะไม่มีพุทธลักษณะและไม่ใช่แนวพระพิมพ์ วัตถุนั้นเป็นส่วนหัวของรูปบุคคลหรืออาจจะเป็นเทพยดาเพราะวงหน้าเป็นรูปไข่สวยงามและจมูกโด่งแหลม ด้านบนศีรษะน่าจะตกแต่งด้วยศิราภรณ์ซึ่งเป็นลักษณะของคนชั้นสูง หญิงสาวคิดว่าอาจจะต้องนำไปศึกษาอีกทีว่าเป็นรูปใครหรือสิ่งใด
“ไม่ทราบว่า...รู้จักคนที่เอามาขายไหมคะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามเสียงหยั่งเชิง
“ก็...เคยเจอแกสองสามครั้งแล้วนะ ครั้งก่อนๆ แกเอาลูกปัดโบราณมาขาย แกไปเจอแหล่งขุดแถวบ้านแก”
“ไม่ทราบว่า...แกไปขุดมาจากไหนเหรอคะ?”
“เห็นว่าบ้านดงจำปี ไม่ไกลจากที่นี่มาก คนยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่”
บ้านดงจำปี...มันตาทวนคำนั้นในใจด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย เธอทราบว่ามีชาวบ้านลอบขุดค้นบริเวณนั้นเป็นระยะแต่ไม่ทราบว่าแหล่งปล่อยของอยู่ไม่ไกลกันนี้
หญิงสาวมองหน้าคนขายแล้วตัดสินใจเอ่ย “ที่หนูวกกลับมาดู เพราะว่าบังเอิญหนูขับรถตามหลังลุงคนที่เพิ่งมาขายของชิ้นนี้ หนูเห็นเขา...ถูกรถชนที่สี่แยกบายพาส เห็นว่าเสียชีวิตไปแล้วค่ะ...”
คนขายรับฟังหูผึ่ง “หา จริงเหรอ ลุงจามรแกเพิ่งถูกรถชนงั้นเหรอ...”
มีการพูดคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดูเหมือนเจ้าของร้านจะพอรู้จักมักจี่ชายสูงวัยผู้นั้นบ้าง มันตาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพียงว่าเธอขับรถตามหลังและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งด้วยท่าทีและน้ำเสียงจริงจัง อีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เธอเล่าน่าจะเป็นเรื่องจริง
พอหญิงสาววกกลับมาถึงมูลค่าปูนปั้นดังกล่าว อีกฝ่ายก็เสนอราคาที่ไม่แพงเกินไปเพราะเป็นประติมากรรมรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่พระพิมพ์ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดมากกว่า มันตาคิดสะระตะแล้วจึงตัดสินใจซื้อติดมือกลับมาเพื่อนำไปศึกษาต่อไป
พอกลับขึ้นไปบนรถด้วยกัน ยิ่งคุณซึ่งนั่งเงียบๆ มาตลอดทางก็อดถามไม่ได้
“ดงจำปี...ใช่ที่เดียวกันกับแหล่งขุดค้นที่เธอกำลังจะไปทำใช่มั้ย?” เขาหันมาถามพร้อมขยับแว่นเล็กน้อย อันเป็นท่าทีที่บอกว่า...เขาสงสัยใคร่รู้เต็มที
“ฮื่อ ใช่ บังเอิญมากเลยเนอะ” หญิงสาวพึมพำรับ
ยิ่งคุณกระชับแว่นตาให้มั่นขึ้นเมื่อเอ่ยรับ “เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันนะ เธอบังเอิญมาเจอวัตถุโบราณจากตรงนั้น...โดยที่คนที่เอามาขายก็เพิ่งถูกรถชนไป”
มันตานิ่งงันไปชั่วขณะ ภาพเหล่านั้นยังคงติดตา
“จากนี้ฉันจะเอาไปให้อาจารย์วิเคราะห์ดูน่ะ ว่าเนื้อดินและรูปแบบมันตรงกับวัตถุชิ้นอื่นๆ มั้ย การตีความทางโบราณคดีนะมันไม่ง่ายหรอก ใช้เวลาอีกพอควร”
“แต่ถึงอย่างนั้น...ฉันก็เริ่มรู้สึกว่างานชิ้นถัดไปของเธอค่อนข้างน่าสนใจ” คนเป็นเพื่อนเอ่ยขึ้นราวเขาจะรับรู้ถึงกระแสบางอย่าง “ตั้งแต่มาช่วยงานสายโบราณคดีกับเธอ เจอเรื่องแปลกๆ เยอะดี อยากจะรู้เหมือนกันว่าที่บ้านดงจำปีนี้จะออกมายังไง น่าสนใจนะว่ามั้ย”
# # #
รถเก๋งสีเงินกำลังเลี้ยวเข้าเขตรั้วบ้านซึ่งมีเนื้อพี่พอควรและตั้งอยู่ย่านสงบของชานเมืองกรุงเทพ ตัวบ้านสองชั้นตั้งอยู่ด้านในรายล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งไม้ยืนต้นและไม้ดอกตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าบ้านจนถึงที่จอดรถ ความหนาแน่นของมวลพฤกษาบ่งบอกได้ว่าบ้านหลังนี้อยู่อาศัยกันมาหลายสิบปีแล้ว แม้จะดูเก่าไปบ้างตามกาลเวลาแต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาเสมอ
มันตาจอดรถยนต์ตัวเองต่อท้ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีดำที่จอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว หญิงสาวรับรู้ทันทีว่าวันนี้พี่ชายคนเดียวของตัวเองกลับมาแล้วเช่นกัน หลังจากได้ยินว่าเตชัสเพิ่งกลับมาจากสัมมนาต่างจังหวัดไม่กี่วันก่อน
บ้านหลังนี้เป็นที่รู้กันว่าพักหลังเหลือสมาชิกน้อยลงกว่าเดิม นับแต่แม่จากไปตั้งแต่สมัยมันตาเรียนมหาวิทยาลัย...พ่อก็เหลือเพียงลูกสองคนที่อยู่ร่วมบ้าน และเมื่อลูกๆ ทั้งสองต่างเติบโตและร่ำเรียนจบ ทั้งเธอและพี่ชายก็เป็นคนวัยทำงานจำพวกชีพจรลงเท้าไม่ต่างกันนัก มันตามักจะออกภาคสนามกับอาจารย์ที่คณะ ส่วนเตชัสนั้นทำงานเป็นนักวิจัยในองค์กรมหาชนแต่สถานที่ทำงานกับที่บ้านก็อยู่กันคนละฟากเมืองจึงมีที่พักใกล้ที่ทำงานเพื่อความสะดวก ช่วงวันธรรมดาบ้านหลังนี้จึงอาจจะเงียบไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส เตชัสและมันตาก็มักจะกลับบ้านมาหาครอบครัวเสมอไม่ได้ขาด
ห้องรับแขกยังคงเป็นเฉกเดิม...มีโซฟารับแขกที่อยู่คู่บ้านนี้มานมนานแต่สภาพยังใช้ได้อยู่ตั้งไว้ตรงมุม ด้านหลังมีตู้หนังสือตั้งชิดริมผนังและอัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากหลายชนิดตั้งแต่สารานุกรมทั้งไทยและเทศ ไปจนถึงหนังสือบันเทิง อันเป็นตัวบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นครอบครัว ‘รักการอ่าน’ โดยแท้ และนิสัยนี้ก็ส่งต่อไปยังลูกๆ ทั้งสองคนเช่นเดียวกัน
“ว่าไงยัยเมย์ กลับมามือเปล่าหรือเอาอะไรติดมามั้ย ฉันกำลังจะต้มมาม่า”
เสียงนั้นแว่วมาจากห้องครัว เป็นเตชัสผู้เป็นพี่ชายที่โผล่กายออกมาจากด้านหลังบ้าน เขาเรียกมันตาด้วย ‘ชื่อเล่นอันเป็นของจริง’ ประจำบ้านนี้ เพราะเมื่อเด็กหญิงมันตาไปโรงเรียน ชื่อเล่นว่าเมย์ของเธอออกจะโหลไปสักหน่อยจึงซ้ำกับเพื่อนในชั้นเรียนบ่อยครั้ง เพื่อนๆ จึงพากันเรียกเธอด้วยชื่อจริงไปเลยเพราะชื่อมันตาก็สั้นเพียงสองพยางค์ เธอเองก็พลอยชินให้คนอื่นเรียกตัวเองด้วยชื่อเต็มไปเลยนับแต่นั้น
“นี่ไง อุตส่าห์แวะซื้อราดหน้ามาให้ ร้านนี้ได้ป้ายของดีประจำจังหวัดเชียวนะ อุ่นเสียหน่อยก็กินได้แล้ว” มันตายกถุงกับข้าวที่ถือติดมาให้อีกฝ่ายดู
“เออ ดีๆ ฉันกำลังคิดว่าจะต้องออกไปซื้ออะไรกินสักหน่อยเชียว มีของรองท้องพอดีเลย”
“พรุ่งนี้เลี้ยงน้องคืนด้วย เมย์กำลังกรอบ ตอนนี้หาตังค์เป็นค่าน้ำมันไปทำงานอยู่” น้องสาวเอ่ยลอยหน้าลอยตา
คนเป็นพี่มองตาขวางนิดหนึ่ง “แหม ก็เห็นว่ากลับมาได้แค่สองอาทิตย์อาจารย์เมธเขาก็เรียกเธอไปช่วยงานเลยนี่ จะกรอบตรงไหน”
เ พ รี ย ก เ พี ย ง ก า ล บทที่ 3
มันตากับยิ่งคุณเป็นสองคนในกลุ่มไทยมุงที่คอยช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเมื่อรถพยาบาลมาถึง...ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ชายสูงวัยผู้ขับขี่จักรยานยนต์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุไปแล้ว ตำรวจและเจ้าหน้าที่พากันทำงานอย่างชุลมุนและมีการไต่สวนเล็กน้อยกับบรรดาผู้เห็นเหตุการณ์
หลังความอลหม่านกลางสี่แยก ทั้งสองก็แยกตัวออกมา มันตาขับรถออกไปด้วยสีหน้านิ่งงัน ยิ่งคุณเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง
“มันตา...เธอตกใจมากรึเปล่า?”
“เอ่อ...ก็นิดหน่อย” เธอตอบได้เท่านั้น
“ลืมๆ ภาพพวกนั้นไปซะเถอะ มันน่ากลัวสำหรับเธอ ความจริงเธอไม่น่าเข้าไปดูใกล้ขนาดนั้นด้วยซ้ำ”
หญิงสาวส่ายหน้าอาด “ไม่เป็นไรมากหรอก ก็ตกใจนิดหน่อยล่ะที่เห็นคนถูกรถชนต่อหน้า แต่ฉันไม่เป็นอะไรมาก”
มันตารู้ว่ายิ่งคุณอาจจะอยากสอบถามอะไรมากกว่านั้น แต่เหตุการณ์ตรงนั้นทำให้เขาเลือกจะเงียบปากไปก่อน ปล่อยให้เธอขับรถต่อไป
ในความเงียบของห้องโดยสาร หญิงสาวกำลังหวนนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก...ที่เธอมองเห็นอะไรเช่นนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้หายไปจากชีวิตเธอนานแล้ว
สมัยเด็กที่เริ่มจำความได้ มันตาจำได้ว่าครั้งแรกที่เธอเริ่ม ‘มองเห็น’ แสงประหลาดจากกายมนุษย์คือตอนที่ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงมานานแล้ว แต่เธอเห็นแสงอ่อนๆ ทอออกมาจากคุณยายคนดังกล่าว ชี้บอกผู้ใหญ่ก็ถูกดุเป็นการใหญ่ว่าไม่ควรชี้ไม้ชี้มือกับผู้ใหญ่ แต่ปรากฏว่า...คืนวันนั้นญาติท่านนั้นก็หมดลมอย่างสงบ
จากนั้นเธอก็จะมองเห็น ‘รังสี’ บางอย่างจากตัวบุคคลทั่วไปได้เป็นระยะ บางคนดูธรรมดาแต่เธอกลับมองเห็นแสงสุกใส บางคนภายนอกดูดีแต่เด็กหญิงมันตาจะเห็นแสงสีหม่นแปลกๆ ช่วงแรกๆ นั้นเธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงมองเห็นแต่เฉพาะบางคาบบางคราเท่านั้น แต่ที่แน่ๆ ถ้าเมื่อใดได้แวะไปโรงพยาบาล...เธอมักจะเห็นรังสีโทนเทาหม่นได้จากผู้ป่วยหลายคนที่ผ่านตา มันตาจึงเริ่มเรียนรู้ว่า...เธอมองเห็นรังสีแห่งชีวิตได้เป็นระยะๆ
ช่วงนั้น มันตาก็เริ่มสังเกตได้ว่าหากวันใดเป็นวันเพ็ญ การมองเห็นแสงประหลาดจะชัดเจนมากกว่าช่วงคืนเดือนแรม
พ่อกับแม่เองยังเคยเล่าว่า ตอนที่มันตายังเด็กมากและไม่รู้ความ เธอก็จะชอบชี้ไม้ชี้มือหรือชอบมองไปยังทิศที่ไม่มีใครอยู่ บางครั้งก็จะร้องไห้จ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือบางครั้งหากพาไปเที่ยวสถานที่ใดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เด็กหญิงมันตาก็มักจะจับจ้องสายตาแปลกๆ ไปยังความว่างเปล่า หรือบางครั้งเธอส่งเสียงอ้อแอ้หรือพูดคุยไม่ได้ศัพท์กับอากาศธาตุ
แต่เมื่อเข้าวัยรุ่น การเติบโตก็ทำให้แววตาที่เคยแลเห็นสิ่งเหล่านั้นเจือจางไป เธอแทบไม่พบเห็นอะไรทำนองนั้นอีก จนมันตาคิดว่าสิ่งที่เคยมองเห็นในวัยเด็กคงสลายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่แล้ว...มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และเป็นครั้งสำคัญที่เธอไม่ลืม
มันตาเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยในตอนเย็น สวนกับแม่ซึ่งเพิ่งคว้าเอาจักรยานออกมาจากตัวบ้านพอดี
‘แม่ไปไหนคะ?’
‘กระเทียมหมด เดี๋ยวจะไปซื้อที่ร้านป้าแววหน่อย รอก่อนนะลูก’ มารดาหมายถึงร้านของชำที่อยู่ไม่ไกลกัน
มันตาพยักหน้ารับทราบ ทว่าจังหวะที่แม่ขับจักรยานออกไปนั้น...อะไรบางอย่างดลใจให้เธอเหลียวไปมอง แล้วก็ต้องแปลกใจ...ที่เธอเห็นแสงสีอ่อนๆ ทอประกายที่ท้ายทอยแม่ เห็นอยู่สักพักจนแม่ขี่จักรยานลับสายตาไป
ตอนนั้นมันตาคิดว่าตัวเองอาจจะสายตาเบลอจากการเพ่งจดเล็คเชอร์ เพราะเธอเองก็ไม่ได้เห็นแสงแปลกๆ จากกายมนุษย์มาหลายปีแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ก่อนที่เธอจะได้รับรู้ว่า...ไม่กี่นาทีจากนั้น...แม่เธอถูกรถพุ่งชนที่หน้าปากซอย และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล...
ตอนนั้นมันตาอยู่ในสภาพช็อค ช็อคที่แม่จากเธอไปไวกว่าที่คิด ช็อคที่เพียงไม่กี่นาทีที่แม่ลับสายตา...ชีวิตของแม่ก็ปลิวหาย ช็อคที่สิ่งที่เธอเห็นจากแม่...คือรังสีสุดท้ายของการมีชีวิต จนวูบหนึ่งเธอก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า...ถ้าตอนนั้น...ตอนนั้นเธอเอะใจและเรียกแม่เอาไว้ ครอบครัวเธอก็คงไม่สูญเสียมารดาไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นนี้ เธออยู่ในสภาพเศร้าซึมไปพักหนึ่งกว่าจะตั้งหลักได้
แล้วจากนั้นเธอก็ตั้งใจว่าจะไม่ขอพบเห็นสิ่งนี้อีกเลย เธอตั้งจิตตั้งใจยิ่งยวด และหลังผ่านการฝึกฝนทางจิตกับผู้เป็นที่เคารพ ก็ไม่เห็นแสงแปลกๆ ไปนาน จนกระทั่งวันนี้...
รู้ตัวอีกที มันตาก็เพิ่งรู้ว่าเธอขับรถกลับมาบริเวณตลาดเดิมอีกแล้ว จู่ๆ หญิงสาวนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เธอจึงหันไปบอกคนนั่งข้างว่า
“ยิ่ง ขอแวะร้านนั้นแป๊บนะ”
มีเครื่องหมายคำถามมากมายปรากฏอยู่บนใบหน้าหนุ่มแว่นผู้นั่งมาด้วยกัน แต่ยิ่งคุณก็เป็นคนที่ไม่ชอบซักถามอะไรให้มากความนัก ตอนนี้เพื่อนว่ายังไง เขาก็พร้อมจะยอมทำตาม
โชคดีที่หาที่จอดรถได้ไม่ยาก พอลงจากรถมันตาก็เดินตรงกลับไปยังร้านของเก่าร้านเดิมอีกครั้ง เจ้าของร้านคนเดิมหันมาเห็นก็เลิกคิ้วด้วยสายตาแปลกใจ
“อ้าว ตกลงสนใจของเก่ารึเปล่าหนู” อีกฝ่ายทักด้วยท่าทีว่าจดจำหญิงสาวและชายหนุ่มทั้งสองได้
“ก็...อยากจะขอดูอีกรอบค่ะ” มันตาตอบรับ เสียงนิ่งๆ แต่แววตาทั้งอยากรู้และครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แม้จะดูไม่ค่อยเข้าทีนักที่หญิงสาววัยเท่านี้จะสนใจประติมากรรมโบราณ แต่เจ้าของร้านก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เพราะบางครั้ง...ของเก่าเหล่านี้ก็เลือกเจ้าของด้วยตัวเอง
เจ้าของร้านวางแผ่นปูนปั้นลงตรงเคาเตอร์กระจก มันตาเพ่งสายตามองวัตถุนั้นด้วยสายตาไม่กะพริบ เป็นประติมากรรมความสูงประมาณสามนิ้วกว้างสักสองนิ้ว ไม่ใช่รูปปูนปั้นพระพุทธเจ้าเพราะไม่มีพุทธลักษณะและไม่ใช่แนวพระพิมพ์ วัตถุนั้นเป็นส่วนหัวของรูปบุคคลหรืออาจจะเป็นเทพยดาเพราะวงหน้าเป็นรูปไข่สวยงามและจมูกโด่งแหลม ด้านบนศีรษะน่าจะตกแต่งด้วยศิราภรณ์ซึ่งเป็นลักษณะของคนชั้นสูง หญิงสาวคิดว่าอาจจะต้องนำไปศึกษาอีกทีว่าเป็นรูปใครหรือสิ่งใด
“ไม่ทราบว่า...รู้จักคนที่เอามาขายไหมคะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามเสียงหยั่งเชิง
“ก็...เคยเจอแกสองสามครั้งแล้วนะ ครั้งก่อนๆ แกเอาลูกปัดโบราณมาขาย แกไปเจอแหล่งขุดแถวบ้านแก”
“ไม่ทราบว่า...แกไปขุดมาจากไหนเหรอคะ?”
“เห็นว่าบ้านดงจำปี ไม่ไกลจากที่นี่มาก คนยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่”
บ้านดงจำปี...มันตาทวนคำนั้นในใจด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย เธอทราบว่ามีชาวบ้านลอบขุดค้นบริเวณนั้นเป็นระยะแต่ไม่ทราบว่าแหล่งปล่อยของอยู่ไม่ไกลกันนี้
หญิงสาวมองหน้าคนขายแล้วตัดสินใจเอ่ย “ที่หนูวกกลับมาดู เพราะว่าบังเอิญหนูขับรถตามหลังลุงคนที่เพิ่งมาขายของชิ้นนี้ หนูเห็นเขา...ถูกรถชนที่สี่แยกบายพาส เห็นว่าเสียชีวิตไปแล้วค่ะ...”
คนขายรับฟังหูผึ่ง “หา จริงเหรอ ลุงจามรแกเพิ่งถูกรถชนงั้นเหรอ...”
มีการพูดคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดูเหมือนเจ้าของร้านจะพอรู้จักมักจี่ชายสูงวัยผู้นั้นบ้าง มันตาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพียงว่าเธอขับรถตามหลังและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งด้วยท่าทีและน้ำเสียงจริงจัง อีกฝ่ายก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เธอเล่าน่าจะเป็นเรื่องจริง
พอหญิงสาววกกลับมาถึงมูลค่าปูนปั้นดังกล่าว อีกฝ่ายก็เสนอราคาที่ไม่แพงเกินไปเพราะเป็นประติมากรรมรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่พระพิมพ์ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดมากกว่า มันตาคิดสะระตะแล้วจึงตัดสินใจซื้อติดมือกลับมาเพื่อนำไปศึกษาต่อไป
พอกลับขึ้นไปบนรถด้วยกัน ยิ่งคุณซึ่งนั่งเงียบๆ มาตลอดทางก็อดถามไม่ได้
“ดงจำปี...ใช่ที่เดียวกันกับแหล่งขุดค้นที่เธอกำลังจะไปทำใช่มั้ย?” เขาหันมาถามพร้อมขยับแว่นเล็กน้อย อันเป็นท่าทีที่บอกว่า...เขาสงสัยใคร่รู้เต็มที
“ฮื่อ ใช่ บังเอิญมากเลยเนอะ” หญิงสาวพึมพำรับ
ยิ่งคุณกระชับแว่นตาให้มั่นขึ้นเมื่อเอ่ยรับ “เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันนะ เธอบังเอิญมาเจอวัตถุโบราณจากตรงนั้น...โดยที่คนที่เอามาขายก็เพิ่งถูกรถชนไป”
มันตานิ่งงันไปชั่วขณะ ภาพเหล่านั้นยังคงติดตา
“จากนี้ฉันจะเอาไปให้อาจารย์วิเคราะห์ดูน่ะ ว่าเนื้อดินและรูปแบบมันตรงกับวัตถุชิ้นอื่นๆ มั้ย การตีความทางโบราณคดีนะมันไม่ง่ายหรอก ใช้เวลาอีกพอควร”
“แต่ถึงอย่างนั้น...ฉันก็เริ่มรู้สึกว่างานชิ้นถัดไปของเธอค่อนข้างน่าสนใจ” คนเป็นเพื่อนเอ่ยขึ้นราวเขาจะรับรู้ถึงกระแสบางอย่าง “ตั้งแต่มาช่วยงานสายโบราณคดีกับเธอ เจอเรื่องแปลกๆ เยอะดี อยากจะรู้เหมือนกันว่าที่บ้านดงจำปีนี้จะออกมายังไง น่าสนใจนะว่ามั้ย”
# # #
รถเก๋งสีเงินกำลังเลี้ยวเข้าเขตรั้วบ้านซึ่งมีเนื้อพี่พอควรและตั้งอยู่ย่านสงบของชานเมืองกรุงเทพ ตัวบ้านสองชั้นตั้งอยู่ด้านในรายล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งไม้ยืนต้นและไม้ดอกตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าบ้านจนถึงที่จอดรถ ความหนาแน่นของมวลพฤกษาบ่งบอกได้ว่าบ้านหลังนี้อยู่อาศัยกันมาหลายสิบปีแล้ว แม้จะดูเก่าไปบ้างตามกาลเวลาแต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาเสมอ
มันตาจอดรถยนต์ตัวเองต่อท้ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีดำที่จอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว หญิงสาวรับรู้ทันทีว่าวันนี้พี่ชายคนเดียวของตัวเองกลับมาแล้วเช่นกัน หลังจากได้ยินว่าเตชัสเพิ่งกลับมาจากสัมมนาต่างจังหวัดไม่กี่วันก่อน
บ้านหลังนี้เป็นที่รู้กันว่าพักหลังเหลือสมาชิกน้อยลงกว่าเดิม นับแต่แม่จากไปตั้งแต่สมัยมันตาเรียนมหาวิทยาลัย...พ่อก็เหลือเพียงลูกสองคนที่อยู่ร่วมบ้าน และเมื่อลูกๆ ทั้งสองต่างเติบโตและร่ำเรียนจบ ทั้งเธอและพี่ชายก็เป็นคนวัยทำงานจำพวกชีพจรลงเท้าไม่ต่างกันนัก มันตามักจะออกภาคสนามกับอาจารย์ที่คณะ ส่วนเตชัสนั้นทำงานเป็นนักวิจัยในองค์กรมหาชนแต่สถานที่ทำงานกับที่บ้านก็อยู่กันคนละฟากเมืองจึงมีที่พักใกล้ที่ทำงานเพื่อความสะดวก ช่วงวันธรรมดาบ้านหลังนี้จึงอาจจะเงียบไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส เตชัสและมันตาก็มักจะกลับบ้านมาหาครอบครัวเสมอไม่ได้ขาด
ห้องรับแขกยังคงเป็นเฉกเดิม...มีโซฟารับแขกที่อยู่คู่บ้านนี้มานมนานแต่สภาพยังใช้ได้อยู่ตั้งไว้ตรงมุม ด้านหลังมีตู้หนังสือตั้งชิดริมผนังและอัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากหลายชนิดตั้งแต่สารานุกรมทั้งไทยและเทศ ไปจนถึงหนังสือบันเทิง อันเป็นตัวบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นครอบครัว ‘รักการอ่าน’ โดยแท้ และนิสัยนี้ก็ส่งต่อไปยังลูกๆ ทั้งสองคนเช่นเดียวกัน
“ว่าไงยัยเมย์ กลับมามือเปล่าหรือเอาอะไรติดมามั้ย ฉันกำลังจะต้มมาม่า”
เสียงนั้นแว่วมาจากห้องครัว เป็นเตชัสผู้เป็นพี่ชายที่โผล่กายออกมาจากด้านหลังบ้าน เขาเรียกมันตาด้วย ‘ชื่อเล่นอันเป็นของจริง’ ประจำบ้านนี้ เพราะเมื่อเด็กหญิงมันตาไปโรงเรียน ชื่อเล่นว่าเมย์ของเธอออกจะโหลไปสักหน่อยจึงซ้ำกับเพื่อนในชั้นเรียนบ่อยครั้ง เพื่อนๆ จึงพากันเรียกเธอด้วยชื่อจริงไปเลยเพราะชื่อมันตาก็สั้นเพียงสองพยางค์ เธอเองก็พลอยชินให้คนอื่นเรียกตัวเองด้วยชื่อเต็มไปเลยนับแต่นั้น
“นี่ไง อุตส่าห์แวะซื้อราดหน้ามาให้ ร้านนี้ได้ป้ายของดีประจำจังหวัดเชียวนะ อุ่นเสียหน่อยก็กินได้แล้ว” มันตายกถุงกับข้าวที่ถือติดมาให้อีกฝ่ายดู
“เออ ดีๆ ฉันกำลังคิดว่าจะต้องออกไปซื้ออะไรกินสักหน่อยเชียว มีของรองท้องพอดีเลย”
“พรุ่งนี้เลี้ยงน้องคืนด้วย เมย์กำลังกรอบ ตอนนี้หาตังค์เป็นค่าน้ำมันไปทำงานอยู่” น้องสาวเอ่ยลอยหน้าลอยตา
คนเป็นพี่มองตาขวางนิดหนึ่ง “แหม ก็เห็นว่ากลับมาได้แค่สองอาทิตย์อาจารย์เมธเขาก็เรียกเธอไปช่วยงานเลยนี่ จะกรอบตรงไหน”