หญิงสาวร่างระหงคนหนึ่งกำลังเดิน เลือกดูสินค้าพื้นเมือง และเครื่องประดับเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ขณะรอคนมารับหล่อนตามที่ได้นัดหมายกันไว้มาว่าจะมารับหล่อน เธอเดินเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เดินเพลินๆ จนกระทั่งได้ตัวเองเดินมาถึงร้านขายสินค้าๆ หนึ่ง ซึ่งเครื่องประดับประเภททำมือ ร้านนี้ดูจากการตกแต่งภายนอกที่ประดับไปด้วยศิลปะการเกาะสลักไม้เป็นรูปต่าง ๆ
จากประตูทางเข้าร้านที่เกาะสลักเป็นรูปพญานาคพันเลื้อยไป ขึ้นเสาต้นนั้น มองราวกับพญามังกรตามวัดจีนอย่างไรอย่างนั้น แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนจนต่างกันเห็นเด่นชัดที่เป็นเพราะเกิดจากการแกะสลักอย่างละเอียด ละออ
เสาทั้งสองต้นถูกแกะสลักเป็นลายน้ำได้อย่างสวยสด งดงาม ทั้งสองฝั่งทางเข้าภายนั้นถูกเกาะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ตั้งแต่ดวงตาที่ดูราวกับเป็นดวงตาจริงมากกว่าการนำลูกแก้วมาประดับเสริมเท่านั้นเอง แม้นกระทั่งกรงเล็บของพญานาคตนนั้นยังมีความละเอียดอ่อนราวกับว่าไม้ตนนั้นมีชีวิตจริง ๆ หญิงสาวมองราวกับถูกมนต์สะกดของความงดงามของงานฝีมืออยู่พักหนึ่ง
เธอเดินเข้าไปภายในร้านนั้นซึ่งดูผ่าน ๆครั้งแรกดูเป็นร้านเล็ก ๆ แต่เมื่อร่างบางผ่านประตูพญานาคนั้นเข้าไปแล้ว หล่อนจึ้งได้รู้ว่าภายในนั้นถูกตกแต่งอย่างดีและงดงามราวกับหล่อนเองหลุดมาอยู่อีกโลก ก็ไม่ปราณ
ผลงานที่แกะสลักจากไม้สักทองฝีมือประณีต รวมไปถึงการนำผ้าพื้นเมืองมาประดับภายในร้านด้วยเช่นกัน ดูผ่าน ๆ น่าจะเป็นร้านขายวัตถุโบราณมากกว่าร้านขายเครื่องประดับเสียมากกว่า แต่หญิงสาวสังเกตเห็นตู้ที่ใส่เครื่องประดับเธอจึงคิดว่าร้านนี้นาจะขายเครื่องประดับมากกว่างานศิลปะ ที่เธอเห็นเรียงรายตั้งแต่หน้าร้านจนถึงภายในร้านนั่นเอง
ร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง ร้านขายสินค้าแถวนี้ส่วนใหญ่ จะขายสินค้าและเครื่องประดับจำพวกแฮนด์เมค โดยเครื่องประดับส่วนใหญ่ จะทำขึ้นจากพลอยบ้าง หยกบ้าง แต่ที่เห็นมีมากคือเครื่องเงิน ซึ่งเครื่องประดับเหล่านั้นมีทั้งต่างหู สร้อย กำไรข้อมือ ตัวเรือนมักจะทำด้วยลวดลายเลียนแบบของเก่าหรือลวดลายโบราณ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นที่นิยมของผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่เดินทางมาในจังหวัดแห่งนี้ก็เป็นได้
บ้างร้าน จากที่หล่อนสังเกตดูแล้ว มีทั้งของจริง และของไม่จริง ผสมกันไปสุดแท้แต่ผู้ชื้อจะดูเป็นหรือไม่ว่าอย่างไหนแท้ และแบบไหนปลอม ส่วนที่เห็นแทบทุกร้านหรือจะเรียกว่ามีกันแทบทุกร้านก็คือ ทับทิม เจ้าของร้านที่เธอผ่านมาหลายร้านมักบอกกับเธอว่า ทับทิมดีที่สุดจะอยู่ในประเทศไทยและแทบประเทศเพื่อนบ้าน แต่เขานำเขามาขายที่บริเวณตลาดแห่งนี้ได้เพราะว่า ประเทศลาว กับประเทศพม่ามีชายแดงติดกัน ซ้ำประเทศเพื่อนบ้านยังไม่สงบจากสงครามภายในดีนัก ชาวบ้านจึงมักจะแอบขุดทรัพย์ในดินเหล่านี้ ส่งมาขายในฝั่งไทย
หล่อนเดินเข้าดูภายในร้านแห่งนี้ ร้านนี้มีอัญมณีและเครื่องประดับลวดลายแปลก ๆ มากมายหลายชนิดหล่อนเดินดูจนมาถึงตู้โชว์ตู้หนึ่ง เธอเห็นประกายประหลาดส่องมาทางตนจนทำให้เกิดอาการแปลก ๆ เธอเดินตามแสงสว่างนั้นไปอย่างไม่รู้สึกตัวจนมาถึงตู้โชว์สินค้าที่อยู่ด้านในสุดและดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังส่งเสียงร้องเรียกหาหล่อนอยู่นั่นเอง
หญิงสาวมองผ่านกระจกใสราวกับแก้วนั้นดูว่าเพราะเหตุใดหล่อนถึงเห็นประกายแบ่งแสงออกมาจากดูโชว์สินค้านั้น ภายในตู้โชว์ อัญมณีของร้านน้ำงามจริง ๆ หญิงสาวคิดในใจและสินค้าส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นของแท้มิน่ำซ้ำ ยังน้ำงามมากเสียด้วย เธอกวดตาดูว่าเพื่อมีสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาวางขายปะบนด้วยหรือไม่แต่เธอเองก็ไม่พบแต่อย่างใด
หล่อนกวาดตา มองไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดตาอยู่กับ บางอย่างที่วางประปนอยู่กับสินค้าในตู้โชว์หล่อนสงสัยเหลือเกิน ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร มันมีลักษะคล้ายหยดน้ำ บางใส ราวกับแก้ว แต่กลับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเพชร น้ำงาม
เอมอรเองมองอยู่นานเท่านานราวต้องมนต์สะกด จากสิ่งที่เธอได้เห็น บ้างครั้งก็เปล่งสีสันออกมาเหมือนอยากให้หล่อนเข้าไปสัมผัสใกล้ ๆ หล่อนมองดูนาน จนไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้ข้างกายหล่อนนั้นมีผู้มาใหม่ ยืนอยู่ด้วยอีกคน
“น้ำตานาคราชได้เพียง หยดเดียวเท่านั้นในชีวิต แต่ถ้าจะนำไปเปรียบเทียบความแข็งแรงแล้ว น้ำตานาคราชจะมีความแข็งแกร่งกว่าเพชรเป็น 10เท่า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ได้หยิบของสิ่งนั้น มาวางไว้บนฝ่ามือของหญิงสาวในทันทีที่เธอเห็น เธอแบบมือออกรับโดยไม่รู้สึกตัวแต่สายตาคู่งามยังคงจับจ้องอยู่กับของสิ่งนั้นราวกับว่าถ้าหล่อนเผลอมองไปทางอื่นแล้วไชร์มันจะหายไปนั่นเอง และทันใดที่ชายหนุ่มแปลกหน้าวางอัญมณีชนิดนั้นบนฝามือน้อย ๆ ของหญิงสาว ทันใดนั้นก็ได้ของสิ่งนั้นก็แสงประกาย สีชมพูระเรื่อสุกใส ออกมา หญิงสาวรับรู้ได้ถึงไอเย็นประหลาดที่วนเวียนอยู่รอบ ๆของสิ่งนั้น
“น้ำตานาคราช ถือเป็นอัญมณีที่หายากมาก เพราะเกิดการการหลั่งน้ำตา ของพญานาคไม่ว่าจะเป็นของพญานาคตัวผู้ หรือ ตัวเมียก็ตาม” เขาบอกหล่อน พร้อมกับหันไปมองหน้าของเธอด้วยอาการเรียบเฉยราวรูปปั้นแต่น้ำเสียงกลับมีแววแห่งความห่วงใยซ่อนอยู่ลึก ๆ
และสีหน้าแสดงความกังวนแต่เมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าได้เห็นแสงที่ส่องประกายออกมาจากวัตถุสิ่งนั้นสีหน้าของเขาคลายความกังวันลงพร้อมกับมองแสดงที่ส่องประกายออกมาด้วยรอยยิ้มถึงแม้นที่จริงเข้าเพียงยิ้มที่มุมปากนิดเดียวเท่านั้นเอง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นครั้งแรกที่หญิงสาวได้ยิน
“และถือเป็นหนึ่งในสาม ของสิ่งลึกลับใต้นครบาดาลที่มนุษย์หลายคนปรารถนาที่จะครอบครอง คุณเคยได้ยินหรือรู้จักเกร็ดนาคี หรือว่าดวงใจนาคาหรือไม่ล่ะ” ท้ายประโยคชายหนุ่มเอ่ยถามหล่อนเพราะเขาเองออกจะมั่นใจว่าผู้หญิงสมัยใหม่คนนี้คงไม่รู้จักกับสิ่งสักสิทธิ์ทั้งสามนี้อย่างแน่นอนเพราะดูแล้วหญิงสาวฟังด้วยอาการเฉย ๆ ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังเล่านิทานให้หล่อนฟังอยู่กระมัง
และแทนคำตอบหญิงสาวส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแทนคำตอบของหล่อน แต่ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องมองประกายสีชมพูระเรื่อนั้นอย่างต้องมนต์ “เย็นจังเลยค่ะ” หล่อนยิ้มละมุน ออกจากริมฝีปากบาง ๆ ของตัวเอง
“แล้วแสงที่เป็นประกายนี้ล่ะคะ เกิดจากอะไร” หญิงสาวถามเขาแต่สายตายั้งคงจับจ้องอยู่ที่สิ่งของที่วางอยู่ในมือของหล่อนอย่างหลงใหลพร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างไปสัมผัสอย่างทะนุถนอมราวกับสิ่งของนั้นมีชีวิต
“ปกติการเกิดขึ้นของน้ำตานาคราช นั้นแต่ละเม็ดนั้นอาจใช้เวลาเป็น ร้อย ๆ ปีเลยก็ได้เพราะพญานาคแต่ละตนมักมีอายุยืนนานและเช่นกัน น้ำตานาคราชนั้นก็มักจะมีอายุยืนนานจนไปพบกับเจ้าของอีกครั้งก็เป็นได้และแสงที่สะท้อนออกมานั้นมีด้วยกันทั้งสิ้น 3 สี คือ ขาว ชมพู และแดง” เขาอธิบายให้หล่อนฟังด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับว่าเขาแทบไม่ได้เอ่ยออกจากริมฝีปากเลยด้วยซ้ำ “ทั้งสามสีนั้นบ่งบอกได้ว่าผู้ที่ถือครอง นั้นภายในจิตใจเขาเป็นคนอย่างไร”
“สีขาว หมายถึง ผู้ถือครองที่มีจิตใจ บริสุทธิ์”
“สีแดง หมายถึง ผู้ที่ถือครองนั้นมีจิตใจริษยา”
“ส่วนสีชมพูนั้น คือ ผู้ที่ถือครองมีความผูกพันอยู่กับน้ำตานาคราช เม็ดนั้น ๆ” ชายหนุ่มมองหล่อนขึ้นอีกครั้งแต่ดวงตาของเขายังคงสดใสภายใต้ดวงหน้าที่เรียบเฉยอย่างกับต้องการเก็บงำความรู้สึกบ้างอย่างไม่อยากแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ให้หญิงสาวทันสังเกตได้
“ขอโทษนะคะ คุณเป็นเจ้าของร้านนี้...เหรอค่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามเขาขึ้นในขณะที่นึกขึ้นได้ว่าหล่อนยืนคุยอยู่กับเขามานานมากแล้ว พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ระบายออกมาอย่างจริงใจราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ครับ....” ชายหนุ่มตอบขึ้น พร้อมมองใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาว เขามองผ่านไปยังผิวพรรณขาวนวล นัยน์ตาเป็นประกายสีน้ำตาล เรือนผมสีดำสนิท รอยยิ้มของหล่อน ยังคงอ่อนหวานเสมอสำหรับเขามา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีก็ตาม
“ขอโทษครับ ผมภุชงค์ นาคอนันต์ ผู้จัดการของร้านนี้ครับ” เขายืนมือเพื่อให้หล่อนจับแต่พอหญิงสาวได้สัมผัสกับมือของเขาคล้ายมีกระแสอะไรบ้างไหลผ่านสัมผัสนั้นอย่างที่หล่อนรับรู้ได้ไหลผ่านเขามาจนหล่อนสะดุ้งถึงกับดึงมือกับทันที
“อุ๊ย! ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ดิฉันเอมอร อมาตย์สกุล ค่ะ พอดีดิฉันเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ค่ะ” หล่อนแนะนำตนเองขึ้นอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พร้อมกับช้อนตาขึ้นมองหนุ่มแปลกหน้าที่ว่างสีหน้าเฉยราวรูปปั้นคนนั้นอย่างหวาดกลัวแต่ในใจหล่อนแล้วกลับรู้สึกว่าชายที่ท่าทางหน้ากลัวคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หล่อนคิด
“ดิฉันเป็นผู้จัดการร้าน World diamond ที่กำลังจะเปิดสาขาที่นี่ในไม่ช้านี้” หล่อนกล่าวพร้อมก้มลงมองที่น้ำตานาคราชเม็ดนั้น นาน เท่านาน หล่อนจึงนึกขึ้นได้ว่าควรจะนำของสิ่งนี่คืนให้แก่เขาหล่อนจึ้งหยิบสิ่งของนั้นที่หล่อนถืออยู่เพื่อจะคืนเขา
“เอ๊ะ” !!! พอหล่อนเงยหน้าขึ้นมา หล่อนก็ต้องตกใจขึ้น อย่างสุดขีดเมื่อชายคนนั้นได้อันตรธานหายไปไหนแล้ว เธอพยายามมองหาพนักงานสักคนก็ไม่มี นี่เขาหายไปไหนกันหมดนะ หล่อนเดินตามหาบุรุษลึกลับนั้นไปภายในร้านนั้นอย่างสำรวจว่าบัดนี้ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินหายไปทางไหน
น้ำตานาคราช ตอนที่1/1
จากประตูทางเข้าร้านที่เกาะสลักเป็นรูปพญานาคพันเลื้อยไป ขึ้นเสาต้นนั้น มองราวกับพญามังกรตามวัดจีนอย่างไรอย่างนั้น แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนจนต่างกันเห็นเด่นชัดที่เป็นเพราะเกิดจากการแกะสลักอย่างละเอียด ละออ
เสาทั้งสองต้นถูกแกะสลักเป็นลายน้ำได้อย่างสวยสด งดงาม ทั้งสองฝั่งทางเข้าภายนั้นถูกเกาะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ตั้งแต่ดวงตาที่ดูราวกับเป็นดวงตาจริงมากกว่าการนำลูกแก้วมาประดับเสริมเท่านั้นเอง แม้นกระทั่งกรงเล็บของพญานาคตนนั้นยังมีความละเอียดอ่อนราวกับว่าไม้ตนนั้นมีชีวิตจริง ๆ หญิงสาวมองราวกับถูกมนต์สะกดของความงดงามของงานฝีมืออยู่พักหนึ่ง
เธอเดินเข้าไปภายในร้านนั้นซึ่งดูผ่าน ๆครั้งแรกดูเป็นร้านเล็ก ๆ แต่เมื่อร่างบางผ่านประตูพญานาคนั้นเข้าไปแล้ว หล่อนจึ้งได้รู้ว่าภายในนั้นถูกตกแต่งอย่างดีและงดงามราวกับหล่อนเองหลุดมาอยู่อีกโลก ก็ไม่ปราณ
ผลงานที่แกะสลักจากไม้สักทองฝีมือประณีต รวมไปถึงการนำผ้าพื้นเมืองมาประดับภายในร้านด้วยเช่นกัน ดูผ่าน ๆ น่าจะเป็นร้านขายวัตถุโบราณมากกว่าร้านขายเครื่องประดับเสียมากกว่า แต่หญิงสาวสังเกตเห็นตู้ที่ใส่เครื่องประดับเธอจึงคิดว่าร้านนี้นาจะขายเครื่องประดับมากกว่างานศิลปะ ที่เธอเห็นเรียงรายตั้งแต่หน้าร้านจนถึงภายในร้านนั่นเอง
ร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง ร้านขายสินค้าแถวนี้ส่วนใหญ่ จะขายสินค้าและเครื่องประดับจำพวกแฮนด์เมค โดยเครื่องประดับส่วนใหญ่ จะทำขึ้นจากพลอยบ้าง หยกบ้าง แต่ที่เห็นมีมากคือเครื่องเงิน ซึ่งเครื่องประดับเหล่านั้นมีทั้งต่างหู สร้อย กำไรข้อมือ ตัวเรือนมักจะทำด้วยลวดลายเลียนแบบของเก่าหรือลวดลายโบราณ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นที่นิยมของผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่เดินทางมาในจังหวัดแห่งนี้ก็เป็นได้
บ้างร้าน จากที่หล่อนสังเกตดูแล้ว มีทั้งของจริง และของไม่จริง ผสมกันไปสุดแท้แต่ผู้ชื้อจะดูเป็นหรือไม่ว่าอย่างไหนแท้ และแบบไหนปลอม ส่วนที่เห็นแทบทุกร้านหรือจะเรียกว่ามีกันแทบทุกร้านก็คือ ทับทิม เจ้าของร้านที่เธอผ่านมาหลายร้านมักบอกกับเธอว่า ทับทิมดีที่สุดจะอยู่ในประเทศไทยและแทบประเทศเพื่อนบ้าน แต่เขานำเขามาขายที่บริเวณตลาดแห่งนี้ได้เพราะว่า ประเทศลาว กับประเทศพม่ามีชายแดงติดกัน ซ้ำประเทศเพื่อนบ้านยังไม่สงบจากสงครามภายในดีนัก ชาวบ้านจึงมักจะแอบขุดทรัพย์ในดินเหล่านี้ ส่งมาขายในฝั่งไทย
หล่อนเดินเข้าดูภายในร้านแห่งนี้ ร้านนี้มีอัญมณีและเครื่องประดับลวดลายแปลก ๆ มากมายหลายชนิดหล่อนเดินดูจนมาถึงตู้โชว์ตู้หนึ่ง เธอเห็นประกายประหลาดส่องมาทางตนจนทำให้เกิดอาการแปลก ๆ เธอเดินตามแสงสว่างนั้นไปอย่างไม่รู้สึกตัวจนมาถึงตู้โชว์สินค้าที่อยู่ด้านในสุดและดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังส่งเสียงร้องเรียกหาหล่อนอยู่นั่นเอง
หญิงสาวมองผ่านกระจกใสราวกับแก้วนั้นดูว่าเพราะเหตุใดหล่อนถึงเห็นประกายแบ่งแสงออกมาจากดูโชว์สินค้านั้น ภายในตู้โชว์ อัญมณีของร้านน้ำงามจริง ๆ หญิงสาวคิดในใจและสินค้าส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นของแท้มิน่ำซ้ำ ยังน้ำงามมากเสียด้วย เธอกวดตาดูว่าเพื่อมีสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาวางขายปะบนด้วยหรือไม่แต่เธอเองก็ไม่พบแต่อย่างใด
หล่อนกวาดตา มองไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดตาอยู่กับ บางอย่างที่วางประปนอยู่กับสินค้าในตู้โชว์หล่อนสงสัยเหลือเกิน ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร มันมีลักษะคล้ายหยดน้ำ บางใส ราวกับแก้ว แต่กลับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเพชร น้ำงาม
เอมอรเองมองอยู่นานเท่านานราวต้องมนต์สะกด จากสิ่งที่เธอได้เห็น บ้างครั้งก็เปล่งสีสันออกมาเหมือนอยากให้หล่อนเข้าไปสัมผัสใกล้ ๆ หล่อนมองดูนาน จนไม่ทันสังเกตว่าบัดนี้ข้างกายหล่อนนั้นมีผู้มาใหม่ ยืนอยู่ด้วยอีกคน
“น้ำตานาคราชได้เพียง หยดเดียวเท่านั้นในชีวิต แต่ถ้าจะนำไปเปรียบเทียบความแข็งแรงแล้ว น้ำตานาคราชจะมีความแข็งแกร่งกว่าเพชรเป็น 10เท่า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ได้หยิบของสิ่งนั้น มาวางไว้บนฝ่ามือของหญิงสาวในทันทีที่เธอเห็น เธอแบบมือออกรับโดยไม่รู้สึกตัวแต่สายตาคู่งามยังคงจับจ้องอยู่กับของสิ่งนั้นราวกับว่าถ้าหล่อนเผลอมองไปทางอื่นแล้วไชร์มันจะหายไปนั่นเอง และทันใดที่ชายหนุ่มแปลกหน้าวางอัญมณีชนิดนั้นบนฝามือน้อย ๆ ของหญิงสาว ทันใดนั้นก็ได้ของสิ่งนั้นก็แสงประกาย สีชมพูระเรื่อสุกใส ออกมา หญิงสาวรับรู้ได้ถึงไอเย็นประหลาดที่วนเวียนอยู่รอบ ๆของสิ่งนั้น
“น้ำตานาคราช ถือเป็นอัญมณีที่หายากมาก เพราะเกิดการการหลั่งน้ำตา ของพญานาคไม่ว่าจะเป็นของพญานาคตัวผู้ หรือ ตัวเมียก็ตาม” เขาบอกหล่อน พร้อมกับหันไปมองหน้าของเธอด้วยอาการเรียบเฉยราวรูปปั้นแต่น้ำเสียงกลับมีแววแห่งความห่วงใยซ่อนอยู่ลึก ๆ
และสีหน้าแสดงความกังวนแต่เมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าได้เห็นแสงที่ส่องประกายออกมาจากวัตถุสิ่งนั้นสีหน้าของเขาคลายความกังวันลงพร้อมกับมองแสดงที่ส่องประกายออกมาด้วยรอยยิ้มถึงแม้นที่จริงเข้าเพียงยิ้มที่มุมปากนิดเดียวเท่านั้นเอง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นครั้งแรกที่หญิงสาวได้ยิน
“และถือเป็นหนึ่งในสาม ของสิ่งลึกลับใต้นครบาดาลที่มนุษย์หลายคนปรารถนาที่จะครอบครอง คุณเคยได้ยินหรือรู้จักเกร็ดนาคี หรือว่าดวงใจนาคาหรือไม่ล่ะ” ท้ายประโยคชายหนุ่มเอ่ยถามหล่อนเพราะเขาเองออกจะมั่นใจว่าผู้หญิงสมัยใหม่คนนี้คงไม่รู้จักกับสิ่งสักสิทธิ์ทั้งสามนี้อย่างแน่นอนเพราะดูแล้วหญิงสาวฟังด้วยอาการเฉย ๆ ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังเล่านิทานให้หล่อนฟังอยู่กระมัง
และแทนคำตอบหญิงสาวส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธแทนคำตอบของหล่อน แต่ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องมองประกายสีชมพูระเรื่อนั้นอย่างต้องมนต์ “เย็นจังเลยค่ะ” หล่อนยิ้มละมุน ออกจากริมฝีปากบาง ๆ ของตัวเอง
“แล้วแสงที่เป็นประกายนี้ล่ะคะ เกิดจากอะไร” หญิงสาวถามเขาแต่สายตายั้งคงจับจ้องอยู่ที่สิ่งของที่วางอยู่ในมือของหล่อนอย่างหลงใหลพร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างไปสัมผัสอย่างทะนุถนอมราวกับสิ่งของนั้นมีชีวิต
“ปกติการเกิดขึ้นของน้ำตานาคราช นั้นแต่ละเม็ดนั้นอาจใช้เวลาเป็น ร้อย ๆ ปีเลยก็ได้เพราะพญานาคแต่ละตนมักมีอายุยืนนานและเช่นกัน น้ำตานาคราชนั้นก็มักจะมีอายุยืนนานจนไปพบกับเจ้าของอีกครั้งก็เป็นได้และแสงที่สะท้อนออกมานั้นมีด้วยกันทั้งสิ้น 3 สี คือ ขาว ชมพู และแดง” เขาอธิบายให้หล่อนฟังด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับว่าเขาแทบไม่ได้เอ่ยออกจากริมฝีปากเลยด้วยซ้ำ “ทั้งสามสีนั้นบ่งบอกได้ว่าผู้ที่ถือครอง นั้นภายในจิตใจเขาเป็นคนอย่างไร”
“สีขาว หมายถึง ผู้ถือครองที่มีจิตใจ บริสุทธิ์”
“สีแดง หมายถึง ผู้ที่ถือครองนั้นมีจิตใจริษยา”
“ส่วนสีชมพูนั้น คือ ผู้ที่ถือครองมีความผูกพันอยู่กับน้ำตานาคราช เม็ดนั้น ๆ” ชายหนุ่มมองหล่อนขึ้นอีกครั้งแต่ดวงตาของเขายังคงสดใสภายใต้ดวงหน้าที่เรียบเฉยอย่างกับต้องการเก็บงำความรู้สึกบ้างอย่างไม่อยากแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ให้หญิงสาวทันสังเกตได้
“ขอโทษนะคะ คุณเป็นเจ้าของร้านนี้...เหรอค่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามเขาขึ้นในขณะที่นึกขึ้นได้ว่าหล่อนยืนคุยอยู่กับเขามานานมากแล้ว พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ระบายออกมาอย่างจริงใจราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ครับ....” ชายหนุ่มตอบขึ้น พร้อมมองใบหน้ารูปไข่ของหญิงสาว เขามองผ่านไปยังผิวพรรณขาวนวล นัยน์ตาเป็นประกายสีน้ำตาล เรือนผมสีดำสนิท รอยยิ้มของหล่อน ยังคงอ่อนหวานเสมอสำหรับเขามา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีก็ตาม
“ขอโทษครับ ผมภุชงค์ นาคอนันต์ ผู้จัดการของร้านนี้ครับ” เขายืนมือเพื่อให้หล่อนจับแต่พอหญิงสาวได้สัมผัสกับมือของเขาคล้ายมีกระแสอะไรบ้างไหลผ่านสัมผัสนั้นอย่างที่หล่อนรับรู้ได้ไหลผ่านเขามาจนหล่อนสะดุ้งถึงกับดึงมือกับทันที
“อุ๊ย! ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ดิฉันเอมอร อมาตย์สกุล ค่ะ พอดีดิฉันเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ค่ะ” หล่อนแนะนำตนเองขึ้นอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พร้อมกับช้อนตาขึ้นมองหนุ่มแปลกหน้าที่ว่างสีหน้าเฉยราวรูปปั้นคนนั้นอย่างหวาดกลัวแต่ในใจหล่อนแล้วกลับรู้สึกว่าชายที่ท่าทางหน้ากลัวคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หล่อนคิด
“ดิฉันเป็นผู้จัดการร้าน World diamond ที่กำลังจะเปิดสาขาที่นี่ในไม่ช้านี้” หล่อนกล่าวพร้อมก้มลงมองที่น้ำตานาคราชเม็ดนั้น นาน เท่านาน หล่อนจึงนึกขึ้นได้ว่าควรจะนำของสิ่งนี่คืนให้แก่เขาหล่อนจึ้งหยิบสิ่งของนั้นที่หล่อนถืออยู่เพื่อจะคืนเขา
“เอ๊ะ” !!! พอหล่อนเงยหน้าขึ้นมา หล่อนก็ต้องตกใจขึ้น อย่างสุดขีดเมื่อชายคนนั้นได้อันตรธานหายไปไหนแล้ว เธอพยายามมองหาพนักงานสักคนก็ไม่มี นี่เขาหายไปไหนกันหมดนะ หล่อนเดินตามหาบุรุษลึกลับนั้นไปภายในร้านนั้นอย่างสำรวจว่าบัดนี้ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินหายไปทางไหน