“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”... หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองกล่าวกับหล่อนขึ้นอย่างสุภาพ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่สายตาที่มองมายังสิ่งของสิ่งหนึ่งในมือของเธอกลับแสดงความหวาดกลัว
“ค่ะ......คือดิฉันกำลังตามหาคุณ..ภุชงค์ นาคอนันต์ ค่ะ ฉันเอ่อ..จะนำของสิ่งนี้มาคืนเขาค่ะ” เอมอรบอกหล่อนพร้อมกับหยิบน้ำตานาคราชเม็ดนั้นให้หล่อนได้ดูแต่หญิงสาวคนดังกล่าวถึงกับผละถอยออกมานิดหนึ่งก่อนที่จะกล่าวอะไรออกมา
“ค่ะ....พอดีคุณสองมีธุระด่วน ต้องรีบไป แต่ท่านได้สั่งดิฉันไว้ว่าให้มอบน้ำตานาคราชนี้ให้แก่คุณค่ะ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวตามที่นายจ้างของหล่อนได้สั่งเอาไว้นั่นเอง
“ให้ดิฉัน....ให้ทำไมเหรอคะ เห็นว่าเป็น อัญมณีที่หายากมาก ราคาคงไม่ใช่ถูก ๆ เลย” เธอค้านขึ้นทันทีพร้อมยืนยันที่จะคืนน้ำตานาคราชนั้นให้แก่หญิงสาวแต่เธอก็ถูกปฏิเสธขึ้นพร้อมทั้งแสดงสีหน้าว่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นอย่างเห็นได้ชัด
“ดิฉันคงรับไว้ ไม่ได้เหรอค่ะ” หญิงสาวคนนั้นทำท่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อหล่อนจะส่งน้ำตานาคราชนั้นใส่มือของหล่อนนั่นเอง เธอถึงกับดึงมือหนีในทันที
“ท่านสั่งไว้แต่เพียงว่า ...ถ้าคุณอยากจะรู้อะไรของให้คุณรับน้ำตานาคราช เม็ดนี้ไป แล้วถ้าคุณยืนยันที่จะคืน ท่านว่าให้คุณนำกลับมาคืนให้ท่านในวันหลังก็ได้ค่ะ ท่านก็ยินดีที่รับคืนจากคุณ” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักเมื่อเอมอรส่งสิ่งของนั้นมาใกล้เธอพร้อมสีหน้าที่สีเผือก
“ถ้าอย่างนั้น....ดิฉันฝากคุณคืนให้ คุณภุชงค์ ได้ไหมคะ?” เธอกล่าวขึ้นพร้อมกับยืนของสิ่งนั้นให้กับหญิงสาวทำให้พนักงานในร้านคนนั้นถึงกับถอยกู่ไปด้านหลัง
ดิฉันรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ” หญิงสาวกล่าวกับหญิงแปลกหน้าคนนั้นเหมือนกำลังจะของร้องไห้ เธอแต่กลับเป็นว่าเธอนั้นดูหวาดกลัวเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ตนเองจนต้องถอยหนีทุกครั้งไป และเอมอรก็สังเกตเห็นได้ว่าหญิงคนนั้นดูหวาดกลัวหล่อนหรือบ้างอย่างนั่นเอง
“ดิฉันคิดว่า ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเก็บของสิ่งนี้ไว้ แล้วค่อยมาคืนให้ท่านเองวันหลังดีว่านะคะ ดิฉันเองไม่มีบุญพอที่จะสามารถจับต้องของสิ่งนี้ได้หรอกค่ะ” เธอกล่าวออกมาในที่สุดด้วยสีหน้าซีดเผือกจนเอมอรรู้สึกสงสัยขึ้นทันที
“ทำไมเหรอค่ะ เอมอรเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากที่หล่อนรู้มามันน่าจะมีค่ามาก และเมื่อเป็นของที่มีค่ามันก็ต้องมีคนที่ปรารถนาที่จะครอบครองมันเป็นแน่แท้
“ดิฉัน เป็นเพียง แค่คนงาน ไม่มีความผูกพันกับหรือมีบุญมากพอจะสัมผัส น้ำตานาคราช นี้ได้หรอกค่ะ คนงานทั่วไปทุกคนหล่อนเน้นย้ำคำว่าทุกคนให้เอมอรได้ยิน ไม่มีใครสามารถจับต้องน้ำตานาคราชนี้ได้ หรืออาจเพราะพวกเราไม่มีบุญพอนะค่ะ” หล่อนเอ่ยอธิบายขึ้นอีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งรอยยิ้มเพื่อแสดงความจริงใจให้เอมอรได้เห็นตามหล่อนนั่นเอง
“ทำไมเหรอคะ?..” หญิงสาวถามต่อ เหมือนอยากรู้ พร้อมทั้งมองไปที่วัตถุที่อยู่ในมือซึ่ง บัดนี้กลับไม่มีแสงประกายใด ๆ ส่องออกมาเช่นครั้งแรกที่หล่อนได้สัมผัสยกเว้นเพียงไอเย็น ที่หญิงสาวเองยังรับรู้ได้อยู่นั่นเอง
หญิงคนนั้นยังคงทำท่าทางราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งให้หญิงแปลกหน้าคนนี้ฟังดีหรือไม่ ในที่สุดหล่อนคนนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยออกมาแต่น้ำเสียงก็ยังหวั่นใจเกรงถูกหัวเราะว่าเป็นเรื่องงมงายนั่นเอง
“คือ...เอ่อ....เมื่อหลายปีก่อนนะค่ะ เคยมีคนงานบ้างคนที่เห็นและรู้ว่าของสิ่งนี้มีค่ามาก ก็เลยคิดจะขโมยไปขายต่อ แต่พอเมื่อจับต้อง น้ำตานาคราชนี้แล้ว......” หล่อนกล่าวเนิน ๆ ขึ้นพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเหมือนอย่างกับว่าหล่อนเองไม่อยากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นสักเท่าไหร่นัก
“ผลก็คือ บริเวณที่ฝ่ามือของเขาเป็นรอยไหม ซ้ำเขายังบอกอีกด้วยว่าขณะที่ถือน้ำตานาคราชไว้ในมือ เขารู้สึกร้อน ราวกับถูกไฟเผา” หญิงคนนั้นมองหน้าหล่อนอีกครั้งเหมือนว่าเธอเองก็รู้ได้ว่าหญิงที่ถือน้ำตานาคราชเม็ดนี้กำลังไม่เชื่อในสิ่งที่หล่อนพูดออกไป
“ตั้งแต่นั้นมาพวกเราคนงานทุกคนที่นี่ก็ไม่มีใคร อยากจะสัมผัสน้ำตานาคราชเม็ดนี้อีกเลย” หญิงคนดังกล่าวเอ่ยขึ้นพร้อมกับลอบมองสำรวจดูอาการของเอมอรอย่างสงสัยยิ่งว่าเพราะเหตุใดหญิงสาวต่างถิ่นคนนี้กลับถือน้ำตานาคราชเม็ดนี้ได้ราวกับเป็นเพียงอัญมณีธรรมดาทั่วไปนั้นเอง
“แต่ทำไม ...ตอนดิฉันถืออยู่นี้ยังรู้สึกได้ว่ามีความเย็นปกคลุมอยู่ ไม่เห็นจะร้อนตรงไหนเลยคะ” หญิงสาวส่งให้เธอดูอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะร้องไห้ออกมา หล่อนเองจำต้องดึงมือกลับมาอย่างช้า ๆ หญิงสาวคนนั้นจึงคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง
“เอาเป็นว่า ...ถ้าคุณอยากรู้อะไร ก็ลองทำตามที่ดิฉันแนะนำนะคะ ถ้าท่านกลับมาแล้วดิฉันจะบอกท่านให้ทราบค่ะ” หญิงสาวคนดังกล่าวบอกหล่อนแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปทางด้านในร้านทันที โดยไม่สนใจคำทัดทานใด ๆ ของหล่อนเลยทำเสมือนว่าหล่อนไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเสียด้วยซ้ำไป หญิงสาวจำต้องเก็บสิ่งของนั้นเข้าไว้ในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอเองอย่างทะนุถนอมเกรงว่ามันอาจเป็นรอยได้เธอจึงตัดสิ้นใจนำผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวของตนเองนั้นมาห่อไว้อีกทีหนึ่งก่อนที่จะบรรจุลงกระเป๋าสะพานนั้นอีกครั้งหนึ่ง
เอมอร อมาตย์สกุล หญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มโกงเป็นคันศร ริมฝีปากบางได้รูปราวกะจับ นัยน์ตามีประกายสดใสสีดำสนิท หล่อนผู้มีรูปร่างระหงส์รับกับ ผิวพรรณสีขาวเหลือนวล จึงไม่ต่างกับนางอับสรสวรรค์ที่มีภาพวาดติดอยู่ตามโบราณสถานทั่วไปนัก เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาอักษรศาสตร์ แต่กลับได้งานเป็นผู้จัดการร้านจิวเวลรี่ ที่กำลังจะเปิดตัวที่จังหวัดหนองคายแห่งนี้ เป็นสาขาที่ 3 ของ World diamond เนื่องด้วย เจ้าของร้านนั้นเป็นเพื่อนของมารดาของหล่อน จึงได้ของร้องให้หล่อนมาช่วยดูแลและบริหารร้านให้ เพราะสาขานี้อยู่ไกลจากกรุงเทพมากนัก จึงไม่มีใครอยากจะมาทำงานที่นี่
“คุณเอมอร ใช่ไหมครับ...” เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของเธอ เธอจึงหันกลับไปมองหาตามเสียงที่ได้ยิน เธอเห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองที่ศีรษะโพกผ้าขาวม้าไว้ ชายคนนี้รูปร่างไม่สูงนักแต่ผิวพรรณกร้านดำจากการทำงานหนัก เอ่ยทักหล่อนขึ้นพร้อมกับยกผ้าขาวม้าสีซีดที่พันไว้รอยเอวขึ้นเช็คเหงื่อที่ใบหน้าอย่างรวก ๆ
“สวัสดีค่ะ คุณลุง....ลุงชิดใช่ไหมค่ะ” หล่อนเอ่ยตอบเขาออกไปพร้อมยิ้มให้บุรุษตรงหน้าที่แต่งกายด้วยเสื้อม่อฮ้อมสีซีด ๆ ในมือก็ถือหมวกสานด้วยใบลานโบกไปมาเพื่อขับไล่ความร้อนอยู่นั่นเอง
“ คุณเอมอรใช่ไหมครับ” ชายสูงวัยถามขึ้นพร้อมมองใบหน้าที่สดใสราวเด็กสาวแรกรุ่นนี่หรือคนที่จะมาเป็นผู้จัดการร้าน World diamond ที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบสั้น ๆ พร้อมมองใบหน้าที่บัดนี้ชุมไปด้วยหยดน้ำที่เกาะเต็มใบหน้าเพราะความร้อนนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้เลยครับ รถผมจอดไว้ทางด้านโน้นนะครับเอาเข้ามาตรงนี้ไม่ได้ครับ” ชายสูงวัยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งรับกระเป๋าเดินทางสีดำใบโตของหล่อน มาถือแล้วหมุนตัวเดินนำหล่อนเบียดผู้คนที่เริ่มเยอะขึ้นเพราะเป็นเวลาบ่ายที่ผู้นักมาท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มักจะมาเดินเลือกซื้อขอกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนั่นเอง ชายสูงวัยพาเธอตรงไปที่รถทันทีอย่างเร่งรีบจนหนึ่งสาวที่เดินตามเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นเพราะหล่อนเรียกว่าแทบจะวิ่งตามชายสูงวัยนั้นเลยก็ว่าได้
ชายวัยเลยกลางคน คนนั้นได้พาหล่อนมายังรถแล้วเขาก็ขึ้นประจำที่คนขับพร้อมติดเครื่องรถเพื่อ นำหล่อนเดินทางต่อไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดกระทัดลัด ไม่เล็กจนคับแคบ หรือใหญ่โตเกินไปนักเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง พนังของบ้านถูกทาสีขึ้นใหม่ บริเวณหน้าบ้านมีชิงข้าเล็กๆ ซึ่งผูกไว้กลับต้นก้ามปูต้นใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นในบริเวณนั้นยิ่งนัก
บ้านหลังนี้แยกห่างมาจากบ้านหลังอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ นอกจากนั้นบริเวณด้านหน้าของตัวบ้านยังมีสระบัว ขนาดไม่ใหญ่มากนักซึ่งดอกบัวในสระแข่งกันเบ่งบานเต็มสระจนมองแทบไม่เห็นน้ำ มีแต่สีชมพูของดอกบัวเต็มไปหมด ช่างงดงามเสียเหลือเกิน หญิงสาวมองไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ แต่เสียงของชายสูงวัยก็ดังขึ้นจริงทำให้หญิงสาวหันกลับมาทางเขาอีกครั้งหนึ่ง
“คุณเอมอร อยู่คนเดียวได้ไหมครับ” บุรุษสูงวัยคนนั้นถามขึ้น อย่างที่เขาเองก็นึกเป็นห่วงหล่อนเช่นกัน
“ค่ะ...ได้ค่ะ ที่นี่ร่มรื่นมากคะ” เธอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มให้แก่เขาอีกครั้งหนึ่งด้วยแววตาที่สดใส และคำพูดที่จริงใจนั่นเองพร้อมสายตามที่มองไปรอบ ๆ ตัวบ้านที่ร่มรื่นนั้นอย่างสำรวจ
“แต่พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมีแม่บ้านเขาเขามาทำความสะอาดให้นะครับ ถ้ามีอะไรขาดเหลือบอกกับเขาได้เลย หรือถ้าคุณเอมอรจะเรียกใช้ผมก็ได้ครับ ผมอยู่ถัดไปจากบ้านหลังนี้ สัก 200 เมตร ไปทางนั้นนะครับ แต่ถ้าคุณเอมอรจะเดินไปไหนมาไหน ให้หากิ่งไม้ ไว้ค่อยเขี่ยตามพงหญ้าหน่อยนะครับที่นี่ งูชุมมาก” เขาเองเหมือนเกรงว่าหล่อนจะเดินเล่นไปไหนจริง ๆ “และผมเองยังไม่ได้ตัดหญ้าที่บริเวณบ้านเลยครับพอดีคุณเดินทางมาถึงก่อนกำหนด ถึง 3 วัน อันนี้ผมต้องของโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง ให้แก่ชายสูงวัยอีกครั้งก่อนรับประเป๋าของหล่อนมาถือเองและเตรียมตัวที่จะเข้าไปภายในตัวบ้านหลังนั้น “ขอบคุณ ลุงชิด มากนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ครับกุนแจบ้าน แล้วนี่ก็กุนแจรถครับ” เขาบอกหล่อนพร้อมส่งของทั้งสองสิ่งให้แก่เธอแล้วเตรียมตัวหันหลังกลับไปยังทางบ้านของตัวเอง
“อ้อ!!! แล้วกลางคืน ถ้ามีเสียงอะไรหรือมีอะไรแปลก ๆ อย่างเปิดประตูนะครับ ไม่ว่ายังไงทั้งสิ้นห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด และถ้ามีอะไรให้ โทรศัพท์เรียกผมได้ตลอดเลยนะครับ” โดยก่อนจากไปชายสูงวัยไม่ลืมสั่งกำชับหล่อนอีกครั้งราวกับเกรงว่าตกดึกหล่อนจะแอบหนีไปเที่ยวไหนเสียอย่างนั้นจนหญิงสาวอดยิ้มให้ชายผู้นั้นอีกครั้งไม่ได้ก่อนจะตอบกลับไปอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“ ค่ะ อรคิดว่าคืนนี้อรคงไม่ไปเที่ยวไหนหรอกค่ะ” หล่อนกล่าวออกมาพร้อมส่งรอยยิ้ม ให้กับชายสูงวัยกว่าอย่างเป็นกันเอง
“มีอะไรหรอกค่ะ” เอมอรถามขึ้นอย่างอดสงสัยไม่ได้ที่จู่ ๆ ชายสูงวัยคนนี้กับกำชับหล่อนเสียงหนักหนา
“ก็ผมเป็นห่วงคุณนะครับเพราะว่าที่นี่ ยังมีหัวขโมยนะครับ” เขากล่าวอ่ำอึ่ง ไม่กล้าบอกความจริงถึงเรื่องแปลก ๆที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวที่มาอยู่ที่นี่หลายต่อหลายคน
นิยาย"น้ำตานาคราช"ตอนที่1/2
“ค่ะ......คือดิฉันกำลังตามหาคุณ..ภุชงค์ นาคอนันต์ ค่ะ ฉันเอ่อ..จะนำของสิ่งนี้มาคืนเขาค่ะ” เอมอรบอกหล่อนพร้อมกับหยิบน้ำตานาคราชเม็ดนั้นให้หล่อนได้ดูแต่หญิงสาวคนดังกล่าวถึงกับผละถอยออกมานิดหนึ่งก่อนที่จะกล่าวอะไรออกมา
“ค่ะ....พอดีคุณสองมีธุระด่วน ต้องรีบไป แต่ท่านได้สั่งดิฉันไว้ว่าให้มอบน้ำตานาคราชนี้ให้แก่คุณค่ะ” หญิงสาวคนนั้นกล่าวตามที่นายจ้างของหล่อนได้สั่งเอาไว้นั่นเอง
“ให้ดิฉัน....ให้ทำไมเหรอคะ เห็นว่าเป็น อัญมณีที่หายากมาก ราคาคงไม่ใช่ถูก ๆ เลย” เธอค้านขึ้นทันทีพร้อมยืนยันที่จะคืนน้ำตานาคราชนั้นให้แก่หญิงสาวแต่เธอก็ถูกปฏิเสธขึ้นพร้อมทั้งแสดงสีหน้าว่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นอย่างเห็นได้ชัด
“ดิฉันคงรับไว้ ไม่ได้เหรอค่ะ” หญิงสาวคนนั้นทำท่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อหล่อนจะส่งน้ำตานาคราชนั้นใส่มือของหล่อนนั่นเอง เธอถึงกับดึงมือหนีในทันที
“ท่านสั่งไว้แต่เพียงว่า ...ถ้าคุณอยากจะรู้อะไรของให้คุณรับน้ำตานาคราช เม็ดนี้ไป แล้วถ้าคุณยืนยันที่จะคืน ท่านว่าให้คุณนำกลับมาคืนให้ท่านในวันหลังก็ได้ค่ะ ท่านก็ยินดีที่รับคืนจากคุณ” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักเมื่อเอมอรส่งสิ่งของนั้นมาใกล้เธอพร้อมสีหน้าที่สีเผือก
“ถ้าอย่างนั้น....ดิฉันฝากคุณคืนให้ คุณภุชงค์ ได้ไหมคะ?” เธอกล่าวขึ้นพร้อมกับยืนของสิ่งนั้นให้กับหญิงสาวทำให้พนักงานในร้านคนนั้นถึงกับถอยกู่ไปด้านหลัง
ดิฉันรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ” หญิงสาวกล่าวกับหญิงแปลกหน้าคนนั้นเหมือนกำลังจะของร้องไห้ เธอแต่กลับเป็นว่าเธอนั้นดูหวาดกลัวเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ตนเองจนต้องถอยหนีทุกครั้งไป และเอมอรก็สังเกตเห็นได้ว่าหญิงคนนั้นดูหวาดกลัวหล่อนหรือบ้างอย่างนั่นเอง
“ดิฉันคิดว่า ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเก็บของสิ่งนี้ไว้ แล้วค่อยมาคืนให้ท่านเองวันหลังดีว่านะคะ ดิฉันเองไม่มีบุญพอที่จะสามารถจับต้องของสิ่งนี้ได้หรอกค่ะ” เธอกล่าวออกมาในที่สุดด้วยสีหน้าซีดเผือกจนเอมอรรู้สึกสงสัยขึ้นทันที
“ทำไมเหรอค่ะ เอมอรเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากที่หล่อนรู้มามันน่าจะมีค่ามาก และเมื่อเป็นของที่มีค่ามันก็ต้องมีคนที่ปรารถนาที่จะครอบครองมันเป็นแน่แท้
“ดิฉัน เป็นเพียง แค่คนงาน ไม่มีความผูกพันกับหรือมีบุญมากพอจะสัมผัส น้ำตานาคราช นี้ได้หรอกค่ะ คนงานทั่วไปทุกคนหล่อนเน้นย้ำคำว่าทุกคนให้เอมอรได้ยิน ไม่มีใครสามารถจับต้องน้ำตานาคราชนี้ได้ หรืออาจเพราะพวกเราไม่มีบุญพอนะค่ะ” หล่อนเอ่ยอธิบายขึ้นอีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งรอยยิ้มเพื่อแสดงความจริงใจให้เอมอรได้เห็นตามหล่อนนั่นเอง
“ทำไมเหรอคะ?..” หญิงสาวถามต่อ เหมือนอยากรู้ พร้อมทั้งมองไปที่วัตถุที่อยู่ในมือซึ่ง บัดนี้กลับไม่มีแสงประกายใด ๆ ส่องออกมาเช่นครั้งแรกที่หล่อนได้สัมผัสยกเว้นเพียงไอเย็น ที่หญิงสาวเองยังรับรู้ได้อยู่นั่นเอง
หญิงคนนั้นยังคงทำท่าทางราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งให้หญิงแปลกหน้าคนนี้ฟังดีหรือไม่ ในที่สุดหล่อนคนนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยออกมาแต่น้ำเสียงก็ยังหวั่นใจเกรงถูกหัวเราะว่าเป็นเรื่องงมงายนั่นเอง
“คือ...เอ่อ....เมื่อหลายปีก่อนนะค่ะ เคยมีคนงานบ้างคนที่เห็นและรู้ว่าของสิ่งนี้มีค่ามาก ก็เลยคิดจะขโมยไปขายต่อ แต่พอเมื่อจับต้อง น้ำตานาคราชนี้แล้ว......” หล่อนกล่าวเนิน ๆ ขึ้นพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเหมือนอย่างกับว่าหล่อนเองไม่อยากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นสักเท่าไหร่นัก
“ผลก็คือ บริเวณที่ฝ่ามือของเขาเป็นรอยไหม ซ้ำเขายังบอกอีกด้วยว่าขณะที่ถือน้ำตานาคราชไว้ในมือ เขารู้สึกร้อน ราวกับถูกไฟเผา” หญิงคนนั้นมองหน้าหล่อนอีกครั้งเหมือนว่าเธอเองก็รู้ได้ว่าหญิงที่ถือน้ำตานาคราชเม็ดนี้กำลังไม่เชื่อในสิ่งที่หล่อนพูดออกไป
“ตั้งแต่นั้นมาพวกเราคนงานทุกคนที่นี่ก็ไม่มีใคร อยากจะสัมผัสน้ำตานาคราชเม็ดนี้อีกเลย” หญิงคนดังกล่าวเอ่ยขึ้นพร้อมกับลอบมองสำรวจดูอาการของเอมอรอย่างสงสัยยิ่งว่าเพราะเหตุใดหญิงสาวต่างถิ่นคนนี้กลับถือน้ำตานาคราชเม็ดนี้ได้ราวกับเป็นเพียงอัญมณีธรรมดาทั่วไปนั้นเอง
“แต่ทำไม ...ตอนดิฉันถืออยู่นี้ยังรู้สึกได้ว่ามีความเย็นปกคลุมอยู่ ไม่เห็นจะร้อนตรงไหนเลยคะ” หญิงสาวส่งให้เธอดูอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะร้องไห้ออกมา หล่อนเองจำต้องดึงมือกลับมาอย่างช้า ๆ หญิงสาวคนนั้นจึงคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง
“เอาเป็นว่า ...ถ้าคุณอยากรู้อะไร ก็ลองทำตามที่ดิฉันแนะนำนะคะ ถ้าท่านกลับมาแล้วดิฉันจะบอกท่านให้ทราบค่ะ” หญิงสาวคนดังกล่าวบอกหล่อนแล้วหมุนตัวกลับเข้าไปทางด้านในร้านทันที โดยไม่สนใจคำทัดทานใด ๆ ของหล่อนเลยทำเสมือนว่าหล่อนไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเสียด้วยซ้ำไป หญิงสาวจำต้องเก็บสิ่งของนั้นเข้าไว้ในกระเป๋าถือใบเล็กของเธอเองอย่างทะนุถนอมเกรงว่ามันอาจเป็นรอยได้เธอจึงตัดสิ้นใจนำผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวของตนเองนั้นมาห่อไว้อีกทีหนึ่งก่อนที่จะบรรจุลงกระเป๋าสะพานนั้นอีกครั้งหนึ่ง
เอมอร อมาตย์สกุล หญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มโกงเป็นคันศร ริมฝีปากบางได้รูปราวกะจับ นัยน์ตามีประกายสดใสสีดำสนิท หล่อนผู้มีรูปร่างระหงส์รับกับ ผิวพรรณสีขาวเหลือนวล จึงไม่ต่างกับนางอับสรสวรรค์ที่มีภาพวาดติดอยู่ตามโบราณสถานทั่วไปนัก เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาอักษรศาสตร์ แต่กลับได้งานเป็นผู้จัดการร้านจิวเวลรี่ ที่กำลังจะเปิดตัวที่จังหวัดหนองคายแห่งนี้ เป็นสาขาที่ 3 ของ World diamond เนื่องด้วย เจ้าของร้านนั้นเป็นเพื่อนของมารดาของหล่อน จึงได้ของร้องให้หล่อนมาช่วยดูแลและบริหารร้านให้ เพราะสาขานี้อยู่ไกลจากกรุงเทพมากนัก จึงไม่มีใครอยากจะมาทำงานที่นี่
“คุณเอมอร ใช่ไหมครับ...” เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของเธอ เธอจึงหันกลับไปมองหาตามเสียงที่ได้ยิน เธอเห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองที่ศีรษะโพกผ้าขาวม้าไว้ ชายคนนี้รูปร่างไม่สูงนักแต่ผิวพรรณกร้านดำจากการทำงานหนัก เอ่ยทักหล่อนขึ้นพร้อมกับยกผ้าขาวม้าสีซีดที่พันไว้รอยเอวขึ้นเช็คเหงื่อที่ใบหน้าอย่างรวก ๆ
“สวัสดีค่ะ คุณลุง....ลุงชิดใช่ไหมค่ะ” หล่อนเอ่ยตอบเขาออกไปพร้อมยิ้มให้บุรุษตรงหน้าที่แต่งกายด้วยเสื้อม่อฮ้อมสีซีด ๆ ในมือก็ถือหมวกสานด้วยใบลานโบกไปมาเพื่อขับไล่ความร้อนอยู่นั่นเอง
“ คุณเอมอรใช่ไหมครับ” ชายสูงวัยถามขึ้นพร้อมมองใบหน้าที่สดใสราวเด็กสาวแรกรุ่นนี่หรือคนที่จะมาเป็นผู้จัดการร้าน World diamond ที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบสั้น ๆ พร้อมมองใบหน้าที่บัดนี้ชุมไปด้วยหยดน้ำที่เกาะเต็มใบหน้าเพราะความร้อนนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้เลยครับ รถผมจอดไว้ทางด้านโน้นนะครับเอาเข้ามาตรงนี้ไม่ได้ครับ” ชายสูงวัยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งรับกระเป๋าเดินทางสีดำใบโตของหล่อน มาถือแล้วหมุนตัวเดินนำหล่อนเบียดผู้คนที่เริ่มเยอะขึ้นเพราะเป็นเวลาบ่ายที่ผู้นักมาท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มักจะมาเดินเลือกซื้อขอกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนั่นเอง ชายสูงวัยพาเธอตรงไปที่รถทันทีอย่างเร่งรีบจนหนึ่งสาวที่เดินตามเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นเพราะหล่อนเรียกว่าแทบจะวิ่งตามชายสูงวัยนั้นเลยก็ว่าได้
ชายวัยเลยกลางคน คนนั้นได้พาหล่อนมายังรถแล้วเขาก็ขึ้นประจำที่คนขับพร้อมติดเครื่องรถเพื่อ นำหล่อนเดินทางต่อไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดกระทัดลัด ไม่เล็กจนคับแคบ หรือใหญ่โตเกินไปนักเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง พนังของบ้านถูกทาสีขึ้นใหม่ บริเวณหน้าบ้านมีชิงข้าเล็กๆ ซึ่งผูกไว้กลับต้นก้ามปูต้นใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นในบริเวณนั้นยิ่งนัก
บ้านหลังนี้แยกห่างมาจากบ้านหลังอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันนี้ นอกจากนั้นบริเวณด้านหน้าของตัวบ้านยังมีสระบัว ขนาดไม่ใหญ่มากนักซึ่งดอกบัวในสระแข่งกันเบ่งบานเต็มสระจนมองแทบไม่เห็นน้ำ มีแต่สีชมพูของดอกบัวเต็มไปหมด ช่างงดงามเสียเหลือเกิน หญิงสาวมองไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ แต่เสียงของชายสูงวัยก็ดังขึ้นจริงทำให้หญิงสาวหันกลับมาทางเขาอีกครั้งหนึ่ง
“คุณเอมอร อยู่คนเดียวได้ไหมครับ” บุรุษสูงวัยคนนั้นถามขึ้น อย่างที่เขาเองก็นึกเป็นห่วงหล่อนเช่นกัน
“ค่ะ...ได้ค่ะ ที่นี่ร่มรื่นมากคะ” เธอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มให้แก่เขาอีกครั้งหนึ่งด้วยแววตาที่สดใส และคำพูดที่จริงใจนั่นเองพร้อมสายตามที่มองไปรอบ ๆ ตัวบ้านที่ร่มรื่นนั้นอย่างสำรวจ
“แต่พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมีแม่บ้านเขาเขามาทำความสะอาดให้นะครับ ถ้ามีอะไรขาดเหลือบอกกับเขาได้เลย หรือถ้าคุณเอมอรจะเรียกใช้ผมก็ได้ครับ ผมอยู่ถัดไปจากบ้านหลังนี้ สัก 200 เมตร ไปทางนั้นนะครับ แต่ถ้าคุณเอมอรจะเดินไปไหนมาไหน ให้หากิ่งไม้ ไว้ค่อยเขี่ยตามพงหญ้าหน่อยนะครับที่นี่ งูชุมมาก” เขาเองเหมือนเกรงว่าหล่อนจะเดินเล่นไปไหนจริง ๆ “และผมเองยังไม่ได้ตัดหญ้าที่บริเวณบ้านเลยครับพอดีคุณเดินทางมาถึงก่อนกำหนด ถึง 3 วัน อันนี้ผมต้องของโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง ให้แก่ชายสูงวัยอีกครั้งก่อนรับประเป๋าของหล่อนมาถือเองและเตรียมตัวที่จะเข้าไปภายในตัวบ้านหลังนั้น “ขอบคุณ ลุงชิด มากนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ครับกุนแจบ้าน แล้วนี่ก็กุนแจรถครับ” เขาบอกหล่อนพร้อมส่งของทั้งสองสิ่งให้แก่เธอแล้วเตรียมตัวหันหลังกลับไปยังทางบ้านของตัวเอง
“อ้อ!!! แล้วกลางคืน ถ้ามีเสียงอะไรหรือมีอะไรแปลก ๆ อย่างเปิดประตูนะครับ ไม่ว่ายังไงทั้งสิ้นห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด และถ้ามีอะไรให้ โทรศัพท์เรียกผมได้ตลอดเลยนะครับ” โดยก่อนจากไปชายสูงวัยไม่ลืมสั่งกำชับหล่อนอีกครั้งราวกับเกรงว่าตกดึกหล่อนจะแอบหนีไปเที่ยวไหนเสียอย่างนั้นจนหญิงสาวอดยิ้มให้ชายผู้นั้นอีกครั้งไม่ได้ก่อนจะตอบกลับไปอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“ ค่ะ อรคิดว่าคืนนี้อรคงไม่ไปเที่ยวไหนหรอกค่ะ” หล่อนกล่าวออกมาพร้อมส่งรอยยิ้ม ให้กับชายสูงวัยกว่าอย่างเป็นกันเอง
“มีอะไรหรอกค่ะ” เอมอรถามขึ้นอย่างอดสงสัยไม่ได้ที่จู่ ๆ ชายสูงวัยคนนี้กับกำชับหล่อนเสียงหนักหนา
“ก็ผมเป็นห่วงคุณนะครับเพราะว่าที่นี่ ยังมีหัวขโมยนะครับ” เขากล่าวอ่ำอึ่ง ไม่กล้าบอกความจริงถึงเรื่องแปลก ๆที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวที่มาอยู่ที่นี่หลายต่อหลายคน