“แต่คุณไม่ต้องหวาดกลัวอะไรไปเลยนะครับ เพราะตราบน้ำตานาคราชเม็ดนั้นยังอยู่กับคุณ สิ่งนั้นจะเครื่องคอยคุ้มครองคุณ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมทังจับมือหล่อนเหมือนแสดงให้หล่อนเชื่อมั่นเช่นเดียวกับเขานั่นเอง
“นาคราช เป็นใหญ่เหนือ อสรพิษทั้งมวลครับ ผมบอกคุณได้แค่นี้ หากคุณอยากรู้เรื่องของคนที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนลองถามคนที่เฝ้าบ้านดูก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นว่านางกำลังเดินผ่านมาพอดี
“แล้ววันหนึ่งคุณจะรู้ว่าทำไมคุณต้องได้รับน้ำตานาคราชเม็ดนี้ด้วย แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังบอกอะไรคุณมากไม่ได้เพราะมันยังไม่ถึงเวลานะครับ ขอให้คุณสำรวมจิตให้มัน และก่อนนอนให้สวดมนต์ แล้วอันตรายใด ๆ ไม่ว่า จาก คน สัตว์ หรือภูตผีปีศาจ จะไม่มีวันทำอันตรายคุณได้เลย”
“แล้วของที่มีค่าอย่างนี้คุณมอบให้ดิฉันทำไมค่ะ”
“สักวันหนึ่งคุณจะรู้เอง และสิ่งที่คุณรู้จะเป็นความจริง มากกว่าสิ่งที่ผมเล่าให้คุณฟัง เพราะที่ผมเล่าให้คุณฟังนั้นมันได้ผ่านมากสักเป็นร้อยปีเห็นจะได้ บ้างครั้งอาจมีการเล่าที่ผิดไปจากความจริงมากนัก” เขาค่อย ๆ ปล่อยมือเธอลงเมื่อนางจันเดินเข้ามาใกล้จนอาจเห็นได้ ”และเมื่อถึงวันนั้นผมและครอบครัวของผม อาจต้องคุกเข่าของร้องคุณก็เป็นได้”ชายหนุ่มได้พูดทิ้งปริศนาไว้ให้เธอคิดอีกแล้วหรือนี่
“วันนี้คุณว่างใช่ไหมครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องทันทีที่เห็นว่านางจันได้ถือถาดอาหารว่างมาเสริฟ์ให้แก่เขาทั้งสองคน
“ค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” หล่อนยิ้มให้แก่เขาอีกครั้งหนึ่งผู้ชายคนนี้บ้างครั้งก็ดูแสนจะน่ากลัว แต่บ้างครั้งก็ดูแสนจะอบอุ่นและเป็นเสมือนแกะกำบังสิ่งร้าย ๆที่หล่อนเริ่มหวาดกลัวขึ้นด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะรังเกลียดไหมถ้าผมจะชวนคุณไปที่บ้านของผม” ภุชงค์ชักชวนหล่อนขึ้นเหมือนรู้ว่าในขณะนี้หล่อนเริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจนั่นเองและที่เขาจะทำให้หล่อนคลายความหวาดกลัวนั้นก็คือพาเธอไปที่อื่นก่อนบ้างครั้งอาจทำให้เธอลืมเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ก็ได้ “คุณปู่ของผมท่านคงดีใจไม่น้อย ที่ได้พบคนที่เป็นเจ้าของน้ำตานาคราชเม็ดนี้”
“ได้ซิค่ะ ขอดิฉันไปหยิบกระเป๋าสักครู่นะค่ะ” หล่อนกล่าวขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปทางขึ้นสองของตัวบ้านเพื่อหยิบสิ่งของที่หล่อนต้องการนั่นเอง
“เชิญครับ”
เวียงนาคิน....
เขาเลี้ยวรถเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นตึก สองชั้น หลังใหญ่โตราวคฤหาสน์ แต่ดูแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ตัวบ้าน ก็ดูใหม่หรืออาจเป็นเพราะมันดูเงียบเหงาเกินไป แถมต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม จนดูเหมือนอยู่ในป่า ชายหนุ่มจอดรถที่บริเวณหน้าตัวตึกสีขาวหลังนั้น “บ้านเก่าหน่อยนะครับก็เลยมองแล้วน่ากลัว” เขาเอ่ยเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกของหญิงสาว
“พี่สองค่ะ พี่สอง....”เสียงเจี้อยแจ้วของเด็กสาว แล้ววิ่งเขามาหาชายหนุ่มโดยไม่รู้เลยว่าบัดนี้ได้มีบุคลที่สามยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เด็กสาวคนนั้นจึงหันหน้าไปดูบุคลแปลกหน้าที่มากับผู้เป็นพี่ชาย
“อ้าว!!!”หญิงสาวทั้งสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน “พี่ ...อร”
“คุณศจี..” หญิงสาวอดแปลกใจนิด ๆ ไม่ได้ว่าทำไมหล่อนถึงได้เจนหญิงสาวคนนี้ที่เวียงนาคินแห่งนี้
“สวัสดีค่ะ มาได้อย่างไรค่ะนี่” หล่อนทักแขกผู้มาเยือนพร้อมพนมมือไหว้อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะ คุณศจี...”
“ศจี ขอโทษนะค่ะ ที่เสียงดังไม่คิดว่าพี่สองจะมีแขกมาบ้านด้วย” หล่อนยืนยิ้มให้กับผู้มาใหม่ทั้งสองคน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณศจี” เอมอรกล่าวขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่ต้องแนะนำให้รู้จักแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มมองหน้าสองสาวสลับกันไปมาเหมือนว่าเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ทั้งสองคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน”แล้วนี่ไปรู้จักกันได้อย่างไรครับนี่”
" คือ เมื่อหลายวันก่อนนะคุณศจี” หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่อทำท่าทางเป็นสัญญานบอกเธอไม่ให้พูดเรื่องที่หล่อนไปซื้อแหวนเพื่อให้เป็นของขวัญวันเกิดของเขา “เออ...ดิฉันเห็นเธอไปเดินดูของที่ร้านนะค่ะ หล่อนตอบเขาแบบเลี่ยง ๆ” พร้อมรอยยิ้มให้แก่เด็กหญิงคนนั้นเหมือนจะรู้กัน
“แล้วนี่คุณปู่อยู่ไหนล่ะศจี ช่วยไปบอกคุณปู่หน่อยว่า คุณอรมา” ชายหนุ่มเอ่ยถามหาประมุขของบ้านเพื่อที่จะได้พาแขกผู้มาใหม่เข้าไปทำความรู้จักนั่นเอง
“ค่ะ....” แล้วเด็กสาวก็วิ่งไปในสวนกุหลาบเพื่อตามปู่ของหล่อนทันทีตามคำสั่งของพี่ชายเธอทันที
“ว่าไงนะ ยายศจี” ชายชราวัย 70 กว่าปี เอ่ยถามหล่อนอีกครั้ง พร้อมกับละสายตาที่กำลังมองดอกกุหลาบสีแดงสดเพื่อตัดไปใส่แจกันให้กับคนที่กำลังนอนหลับอย่างไม่ได้สติมานานนับเดือน เพราะเขาจำได้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวของเขานั้นชอบดอกกุหลาบดีแดงสดมากจนเขาเองยอมให้นำเข้ามาปลูกภายในเวียงนาคินแห่งนี้ ทั้งที่ที่นี่ไม่เคยปลูกไม่ดอกอะไรขึ้นเลยนอกจาก ต้นปักษาสวรรค์ นั่นเอง
“ค่ะพี่สองให้มาเชิญคุณปู่ค่ะ บอกว่าคุณ เอมอรมาค่ะ” หล่อนยิ้มให้กับชายสูงวัยอีกครั้งพร้อมทั้งประคลองให้เขาเดินกลับไปยังตัวตึกซึ่งดูภายนอกแสนจะน่ากลัวนั้น
“ในที่สุด ...”ชายสูงวัยกล่าวด้วยใบหน้าแสดงถึงความดีใจ ที่จะได้เจอกับบุคลที่เป็นเจ้าของน้ำตานาคราชอีกเม็ดหนึ่ง แล้วประมุขของบ้านจึงได้เดินไปพร้อมหลายสาวคนเดียวของบ้าน เพื่อตรงไปยังห้องรับแขก
“ศจี เอ้ย....”ชายสูงวัยเอ่ยถามหล่อน
"ค่ะคุณปู่ เธอรู้หรือเปล่า ว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่จะช่วยตาหนึ่งได้” ประมุขเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังเดินไปตามทางที่โรยไว้ด้วยก้อนกรวดเล็ก ๆ นั้น
“อันนี้ศจีก็ยังไม่ทราบหรอกนะค่ะ ว่าพี่สองบอกเธอแล้วหรือยังเรื่องแก้คำสัตย์ของ พี่หนึ่งนะค่ะ” หล่อนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เริ่มเป็นกังวนอีกครั้งหนึ่ง
“ไป...เรารีบไปกันเถอะ...ปู่อยากเห็นหน้าเธอเสียเหลือเกิน”
“ค่ะ ...คุณปู่เดินช้าๆ หน่อยก็ได้นี่ค่ะ เดี๋ยวก็ล้มไปจะเจ็บเสียก่อนจะได้เห็นหน้าของพี่อร” หญิงสาวนั้นกล่าวเป็นการเตือนแก่ชายสูงวัยนั้นเอง “พี่อรเขาไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
ชายชราเดินมาถึงบริเวณห้องรับแขกของตัวบ้าน เขาเดินผ่านประตูเขาไปนั่งประจำที่ของเขาทุกครั้งที่เขาได้เขามาในห้องนี้ พร้อมทั้งดวงตายังจับจ้องอยู่กับหญิงสาวตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ .....”เอมอรพนมมือไหว้ประมุขของบ้านซึ่งหล่อนมองใบหน้าอันแสนเหี่ยวย่นที่แลดูช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
"สวัสดีจ๊ะหนู...ชื่อ อรใช่ไหม” ชายสูงวัยเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับหล่อน จึงทำให้สิ่งที่หญิงสาวกำลังนึกกลัวอยู่กลายเป็นชายชราที่ดูแสนจะใจดีนั่นเอง
“ค่ะ...คุณ…”หล่อนไม่รู้ว่าจะเรียกบุรุษชราตรงหน้าว่าอย่างไรดี
" เรียกปู่ ตามเจ้าสอง แล้วก็แม่ศจีก็ได้” ชายชราบอกแก่หล่อนด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดูทรงพลังอะไรสักอย่างหนึ่ง
“ค่ะคุณปู่” หล่อนยิ้มให้กับชายสูงวัยอย่างเป็นกันเอง
“แม่หนูคนนี้ใช่ไหมที่เจ้าว่าเป็นผู้ถือครองน้ำตานาคราชอีกเม็ดได้แล้วเปล่งประกายสีชมพูออกมานะ เจ้าสอง” ประมุขของบ้านเอ่ยถามขึ้นเหมือนว่าเขาเองไม่แน่ใจนั่นเอง
“ครับคุณปู่” ชายหนุ่มตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มขึ้นนั่นเอง
ศจีทำท่าจะนั่งฟัง ทั้งสามคุยกันแต่แล้วก็ต้องชะงักดัวยเสียงของชายชราผู้เป็นประมุขของบ้าน “ศจี เจ้าออกไปข้างนอกก่อน” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดขึ้น
“ศจีก็...”หล่อนพูดได้เพียงแค่นั้นเมื่อบุรุษสูงวัยหันมามองด้วยแววตาเฉียบขาดอีกครั้งหนึ่งทำให้หล่อนจำต้องเดินออกมาจากห้องรับรองนั้นอย่างนึกเสียดายที่หล่อนไม่ได้อยู่ร่วมฟังด้วยอย่างที่ตั้งใจไว้นั่นเอง “ค่ะคุณปู่” แล้วหล่อนก็เดินหน้าตูบออกมาจากบริเวณห้องรับแขกนั้น เจอกับละเมียดที่บริเวณหน้าประตู นางละเมียดเป็นคนรับใช้เก่าแก่อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของนาง นางจึ้งรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในเวียงนาคิน นี้เป็นอย่างดีเฉกเช่นเดียวกับคนในครอบครัวแห่งนี้
“คนนี้เหรอค่ะคุณหนู ที่ว่าจับต้องน้ำตานาคราชได้” นางเอ่ยขึ้นพร้อมลอบมองเขาไปดูใบหน้าของหญิงสาวอย่างสงสัยอีกครั้งหนึ่ง
“ใช่จ๊ะ” เธอพูดออกมาอย่างเซ็ง ๆ ที่ถูกไล่ออกมาแบบนั้นทั้งที่หล่อนเองก็น่าจะมีส่วนได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกันเพราะหล่อนก็เป็นหนึ่งใน นาคอนันต์ คนหนึ่งเช่นกัน
“เธอสวยจังเลยนะค่ะ” นางกล่าวขึ้น “สวยเหมือนภาพวาด เหมือนนางในวรรณคดีนะค่ะ”
“ใช่จ๊ะ” หล่อนตอบเนื่อง ๆ
“นี่คงถูกคุณปู่ไล่ออกมาใช่ไหมค่ะ ถึงได้ทำหน้าอย่างนี้” นางเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ทันหล่อน เลยยิ่งทำให้ ศจีซึ่งหน้าเริ่มงออยู่แล้ว ก็ดูบึงตึงยิ่งขึ้นไปอีก
“ค่ะ....”
น้ำตานาคราชตอนที่5/2
“นาคราช เป็นใหญ่เหนือ อสรพิษทั้งมวลครับ ผมบอกคุณได้แค่นี้ หากคุณอยากรู้เรื่องของคนที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนลองถามคนที่เฝ้าบ้านดูก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มเหลือบมองเห็นว่านางกำลังเดินผ่านมาพอดี
“แล้ววันหนึ่งคุณจะรู้ว่าทำไมคุณต้องได้รับน้ำตานาคราชเม็ดนี้ด้วย แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังบอกอะไรคุณมากไม่ได้เพราะมันยังไม่ถึงเวลานะครับ ขอให้คุณสำรวมจิตให้มัน และก่อนนอนให้สวดมนต์ แล้วอันตรายใด ๆ ไม่ว่า จาก คน สัตว์ หรือภูตผีปีศาจ จะไม่มีวันทำอันตรายคุณได้เลย”
“แล้วของที่มีค่าอย่างนี้คุณมอบให้ดิฉันทำไมค่ะ”
“สักวันหนึ่งคุณจะรู้เอง และสิ่งที่คุณรู้จะเป็นความจริง มากกว่าสิ่งที่ผมเล่าให้คุณฟัง เพราะที่ผมเล่าให้คุณฟังนั้นมันได้ผ่านมากสักเป็นร้อยปีเห็นจะได้ บ้างครั้งอาจมีการเล่าที่ผิดไปจากความจริงมากนัก” เขาค่อย ๆ ปล่อยมือเธอลงเมื่อนางจันเดินเข้ามาใกล้จนอาจเห็นได้ ”และเมื่อถึงวันนั้นผมและครอบครัวของผม อาจต้องคุกเข่าของร้องคุณก็เป็นได้”ชายหนุ่มได้พูดทิ้งปริศนาไว้ให้เธอคิดอีกแล้วหรือนี่
“วันนี้คุณว่างใช่ไหมครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องทันทีที่เห็นว่านางจันได้ถือถาดอาหารว่างมาเสริฟ์ให้แก่เขาทั้งสองคน
“ค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” หล่อนยิ้มให้แก่เขาอีกครั้งหนึ่งผู้ชายคนนี้บ้างครั้งก็ดูแสนจะน่ากลัว แต่บ้างครั้งก็ดูแสนจะอบอุ่นและเป็นเสมือนแกะกำบังสิ่งร้าย ๆที่หล่อนเริ่มหวาดกลัวขึ้นด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะรังเกลียดไหมถ้าผมจะชวนคุณไปที่บ้านของผม” ภุชงค์ชักชวนหล่อนขึ้นเหมือนรู้ว่าในขณะนี้หล่อนเริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจนั่นเองและที่เขาจะทำให้หล่อนคลายความหวาดกลัวนั้นก็คือพาเธอไปที่อื่นก่อนบ้างครั้งอาจทำให้เธอลืมเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ก็ได้ “คุณปู่ของผมท่านคงดีใจไม่น้อย ที่ได้พบคนที่เป็นเจ้าของน้ำตานาคราชเม็ดนี้”
“ได้ซิค่ะ ขอดิฉันไปหยิบกระเป๋าสักครู่นะค่ะ” หล่อนกล่าวขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปทางขึ้นสองของตัวบ้านเพื่อหยิบสิ่งของที่หล่อนต้องการนั่นเอง
“เชิญครับ”
เวียงนาคิน....
เขาเลี้ยวรถเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นตึก สองชั้น หลังใหญ่โตราวคฤหาสน์ แต่ดูแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกทั้งที่ตัวบ้าน ก็ดูใหม่หรืออาจเป็นเพราะมันดูเงียบเหงาเกินไป แถมต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม จนดูเหมือนอยู่ในป่า ชายหนุ่มจอดรถที่บริเวณหน้าตัวตึกสีขาวหลังนั้น “บ้านเก่าหน่อยนะครับก็เลยมองแล้วน่ากลัว” เขาเอ่ยเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกของหญิงสาว
“พี่สองค่ะ พี่สอง....”เสียงเจี้อยแจ้วของเด็กสาว แล้ววิ่งเขามาหาชายหนุ่มโดยไม่รู้เลยว่าบัดนี้ได้มีบุคลที่สามยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เด็กสาวคนนั้นจึงหันหน้าไปดูบุคลแปลกหน้าที่มากับผู้เป็นพี่ชาย
“อ้าว!!!”หญิงสาวทั้งสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน “พี่ ...อร”
“คุณศจี..” หญิงสาวอดแปลกใจนิด ๆ ไม่ได้ว่าทำไมหล่อนถึงได้เจนหญิงสาวคนนี้ที่เวียงนาคินแห่งนี้
“สวัสดีค่ะ มาได้อย่างไรค่ะนี่” หล่อนทักแขกผู้มาเยือนพร้อมพนมมือไหว้อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะ คุณศจี...”
“ศจี ขอโทษนะค่ะ ที่เสียงดังไม่คิดว่าพี่สองจะมีแขกมาบ้านด้วย” หล่อนยืนยิ้มให้กับผู้มาใหม่ทั้งสองคน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณศจี” เอมอรกล่าวขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมคงไม่ต้องแนะนำให้รู้จักแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มมองหน้าสองสาวสลับกันไปมาเหมือนว่าเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ทั้งสองคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน”แล้วนี่ไปรู้จักกันได้อย่างไรครับนี่”
" คือ เมื่อหลายวันก่อนนะคุณศจี” หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่อทำท่าทางเป็นสัญญานบอกเธอไม่ให้พูดเรื่องที่หล่อนไปซื้อแหวนเพื่อให้เป็นของขวัญวันเกิดของเขา “เออ...ดิฉันเห็นเธอไปเดินดูของที่ร้านนะค่ะ หล่อนตอบเขาแบบเลี่ยง ๆ” พร้อมรอยยิ้มให้แก่เด็กหญิงคนนั้นเหมือนจะรู้กัน
“แล้วนี่คุณปู่อยู่ไหนล่ะศจี ช่วยไปบอกคุณปู่หน่อยว่า คุณอรมา” ชายหนุ่มเอ่ยถามหาประมุขของบ้านเพื่อที่จะได้พาแขกผู้มาใหม่เข้าไปทำความรู้จักนั่นเอง
“ค่ะ....” แล้วเด็กสาวก็วิ่งไปในสวนกุหลาบเพื่อตามปู่ของหล่อนทันทีตามคำสั่งของพี่ชายเธอทันที
“ว่าไงนะ ยายศจี” ชายชราวัย 70 กว่าปี เอ่ยถามหล่อนอีกครั้ง พร้อมกับละสายตาที่กำลังมองดอกกุหลาบสีแดงสดเพื่อตัดไปใส่แจกันให้กับคนที่กำลังนอนหลับอย่างไม่ได้สติมานานนับเดือน เพราะเขาจำได้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวของเขานั้นชอบดอกกุหลาบดีแดงสดมากจนเขาเองยอมให้นำเข้ามาปลูกภายในเวียงนาคินแห่งนี้ ทั้งที่ที่นี่ไม่เคยปลูกไม่ดอกอะไรขึ้นเลยนอกจาก ต้นปักษาสวรรค์ นั่นเอง
“ค่ะพี่สองให้มาเชิญคุณปู่ค่ะ บอกว่าคุณ เอมอรมาค่ะ” หล่อนยิ้มให้กับชายสูงวัยอีกครั้งพร้อมทั้งประคลองให้เขาเดินกลับไปยังตัวตึกซึ่งดูภายนอกแสนจะน่ากลัวนั้น
“ในที่สุด ...”ชายสูงวัยกล่าวด้วยใบหน้าแสดงถึงความดีใจ ที่จะได้เจอกับบุคลที่เป็นเจ้าของน้ำตานาคราชอีกเม็ดหนึ่ง แล้วประมุขของบ้านจึงได้เดินไปพร้อมหลายสาวคนเดียวของบ้าน เพื่อตรงไปยังห้องรับแขก
“ศจี เอ้ย....”ชายสูงวัยเอ่ยถามหล่อน
"ค่ะคุณปู่ เธอรู้หรือเปล่า ว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่จะช่วยตาหนึ่งได้” ประมุขเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังเดินไปตามทางที่โรยไว้ด้วยก้อนกรวดเล็ก ๆ นั้น
“อันนี้ศจีก็ยังไม่ทราบหรอกนะค่ะ ว่าพี่สองบอกเธอแล้วหรือยังเรื่องแก้คำสัตย์ของ พี่หนึ่งนะค่ะ” หล่อนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เริ่มเป็นกังวนอีกครั้งหนึ่ง
“ไป...เรารีบไปกันเถอะ...ปู่อยากเห็นหน้าเธอเสียเหลือเกิน”
“ค่ะ ...คุณปู่เดินช้าๆ หน่อยก็ได้นี่ค่ะ เดี๋ยวก็ล้มไปจะเจ็บเสียก่อนจะได้เห็นหน้าของพี่อร” หญิงสาวนั้นกล่าวเป็นการเตือนแก่ชายสูงวัยนั้นเอง “พี่อรเขาไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
ชายชราเดินมาถึงบริเวณห้องรับแขกของตัวบ้าน เขาเดินผ่านประตูเขาไปนั่งประจำที่ของเขาทุกครั้งที่เขาได้เขามาในห้องนี้ พร้อมทั้งดวงตายังจับจ้องอยู่กับหญิงสาวตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ .....”เอมอรพนมมือไหว้ประมุขของบ้านซึ่งหล่อนมองใบหน้าอันแสนเหี่ยวย่นที่แลดูช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
"สวัสดีจ๊ะหนู...ชื่อ อรใช่ไหม” ชายสูงวัยเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับหล่อน จึงทำให้สิ่งที่หญิงสาวกำลังนึกกลัวอยู่กลายเป็นชายชราที่ดูแสนจะใจดีนั่นเอง
“ค่ะ...คุณ…”หล่อนไม่รู้ว่าจะเรียกบุรุษชราตรงหน้าว่าอย่างไรดี
" เรียกปู่ ตามเจ้าสอง แล้วก็แม่ศจีก็ได้” ชายชราบอกแก่หล่อนด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดูทรงพลังอะไรสักอย่างหนึ่ง
“ค่ะคุณปู่” หล่อนยิ้มให้กับชายสูงวัยอย่างเป็นกันเอง
“แม่หนูคนนี้ใช่ไหมที่เจ้าว่าเป็นผู้ถือครองน้ำตานาคราชอีกเม็ดได้แล้วเปล่งประกายสีชมพูออกมานะ เจ้าสอง” ประมุขของบ้านเอ่ยถามขึ้นเหมือนว่าเขาเองไม่แน่ใจนั่นเอง
“ครับคุณปู่” ชายหนุ่มตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มขึ้นนั่นเอง
ศจีทำท่าจะนั่งฟัง ทั้งสามคุยกันแต่แล้วก็ต้องชะงักดัวยเสียงของชายชราผู้เป็นประมุขของบ้าน “ศจี เจ้าออกไปข้างนอกก่อน” ท่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดขึ้น
“ศจีก็...”หล่อนพูดได้เพียงแค่นั้นเมื่อบุรุษสูงวัยหันมามองด้วยแววตาเฉียบขาดอีกครั้งหนึ่งทำให้หล่อนจำต้องเดินออกมาจากห้องรับรองนั้นอย่างนึกเสียดายที่หล่อนไม่ได้อยู่ร่วมฟังด้วยอย่างที่ตั้งใจไว้นั่นเอง “ค่ะคุณปู่” แล้วหล่อนก็เดินหน้าตูบออกมาจากบริเวณห้องรับแขกนั้น เจอกับละเมียดที่บริเวณหน้าประตู นางละเมียดเป็นคนรับใช้เก่าแก่อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของนาง นางจึ้งรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในเวียงนาคิน นี้เป็นอย่างดีเฉกเช่นเดียวกับคนในครอบครัวแห่งนี้
“คนนี้เหรอค่ะคุณหนู ที่ว่าจับต้องน้ำตานาคราชได้” นางเอ่ยขึ้นพร้อมลอบมองเขาไปดูใบหน้าของหญิงสาวอย่างสงสัยอีกครั้งหนึ่ง
“ใช่จ๊ะ” เธอพูดออกมาอย่างเซ็ง ๆ ที่ถูกไล่ออกมาแบบนั้นทั้งที่หล่อนเองก็น่าจะมีส่วนได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกันเพราะหล่อนก็เป็นหนึ่งใน นาคอนันต์ คนหนึ่งเช่นกัน
“เธอสวยจังเลยนะค่ะ” นางกล่าวขึ้น “สวยเหมือนภาพวาด เหมือนนางในวรรณคดีนะค่ะ”
“ใช่จ๊ะ” หล่อนตอบเนื่อง ๆ
“นี่คงถูกคุณปู่ไล่ออกมาใช่ไหมค่ะ ถึงได้ทำหน้าอย่างนี้” นางเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ทันหล่อน เลยยิ่งทำให้ ศจีซึ่งหน้าเริ่มงออยู่แล้ว ก็ดูบึงตึงยิ่งขึ้นไปอีก
“ค่ะ....”