ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๒ เงาตะเคียน
http://ppantip.com/topic/31779780
“พี่จองบ้านพักไว้สองหลัง แต่ละหลังนอนได้สี่ถึงห้าคน” แสงพงษ์หันมาบอกกับทั้งคณะ หลังเดินนำหน้ามาตามทางเดินเล็กๆ ห่างจากที่ทำการอุทยานไปไม่ไกล กานต์กับยงยุทธ์ยืนดูทั้งกลุ่มพักหนึ่งก่อนเดินกลับเข้าที่ทำการ
“ไหนว่าจะเราจะกางเต้นท์กันไงคะ แล้วก็นอนดูดาวกันที่ผาเวิ้งเหว” สายแพรบุ้ยปากว่า กิ่งแก้วที่ไม่เต็มใจจะเดินทางมายังที่นี่นักถอนหายใจน้อยๆ ก่อนบอก
“เราเอาสัมภาระมาเก็บไว้ที่ห้องพักก่อนจ้ะ เย็นๆ ถึงจะไปกางเต้นท์ที่ผากัน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยก่อน ต้องเดินไปอีกไกลมั้ยคะพงษ์ถึงจะถึงหน้าผา” กิ่งแก้วลากเสียงสูง แสงพงษ์หยุดเดิน เขาหันมามองหน้าหญิงสาวพร้อมกับคลายยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ไกลหรอกครับ นี่กุญแจนะภูชิต” ชายหนุ่มยื่นกุญแจบ้านให้กับภูชิต อีกฝ่ายรับมาก่อนเดินแยกจากไปบ้านพักหลังเคียงกัน พอเข้ามาถึงบ้านพัก สายแพรก็รีบแทรกกายเข้าไปยังห้องที่อยู่ฝั่งซ้าย หูได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ของกิ่งแก้วตามหลัง
“เอ... นี่มันดอกอะไร” หลังจากวางเป้ใบใหญ่ลงข้างเตียง สายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้สีเหลืองอ่อนหล่นอยู่ที่ข้างหมอน หน้าต่างเหนือหัวนอนเปิดอ้ารับลมเย็น กิ่งไม้บนต้นสูงยื่นล้ำเข้ามาใกล้ สายแพรเดินไปหยิบมันขึ้นมาอย่างพินิจพิเคราะห์...
“อร๊าย.... กรี๊ด !!!!” สายแพรสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นโครมครามทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องข้างๆ ดอกจำปีป่าหล่นฮวบลงพื้น ก่อนที่ร่างบางจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องพักของแสงพงษ์
“โถ่กิ่ง มันก็แค่ตุ๊กแก ดูสิ...ตัวเล็กนิดเดียวเอง” แสงพงษ์เอามือลูบแผ่นหลังกิ่งแก้วที่กอดเขาแน่นเบาๆ สายแพรมองไปยังประตูห้องที่เปิดอ้าก็เห็นตุ๊กแกตัวยาวขนาดสามนิ้วเกาะผนังแน่น
“เอามันออกไปเดี๋ยวนี้นะพงษ์ กิ่งเกลียดมัน...เอามันออกไปเดี๋ยวนี้” กิ่งแก้วทุบอกชายหนุ่มรัวๆ แสงพงษ์จึงผละจากร่างคนรัก เดินเนิบนาบไปหยิบเอาไม้กวาดก่อนยื่นไปเขี่ยร่างเจ้าตุ๊กแกนั่น
ตะ ตะ ตะ ตุ๊กแก... เสียงมันร้องขู่ เหมือนประกาศว่าไม่ยอมไปไหน กิ่งแก้วที่ยืนทำหน้าขยะแขยงอยู่ข้างหลังเหมือนจะยิ่งทวีความเกลียดชัง
“แพรว่า เดี๋ยวมันก็ไปเองแหละค่ะ พี่กิ่งมาใช้ห้องน้ำที่ห้องแพรก่อนก็ได้” สายแพรเอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา กิ่งแก้วหันไปมองเธออย่างไม่สบอารมณ์นัก เธอไม่อยากมาที่นี่อยู่แล้ว แถมยังต้องมาอารมณ์เสียแบบนี้เสียอีก พอกระทุ้งส้นเท้าเดินไปคว้าเอากระเป๋าใบเขื่องออกไป สายแพรเลยเดินมาฉวยเอาไม้กวาดจากมือแสงพงษ์
“เราเป็นแค่ผู้อาศัยนะคะ... เขาเป็นเจ้าถิ่น” คำพูดของเธอทำให้ผู้เป็นพี่ชายจุดยิ้ม ก่อนที่ตุ๊กแกตัวนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนกายอย่างเชื่องช้าจากประตูสู่ผนังห้องน้ำ และหายไปทางช่องระบายอากาศเล็กๆ
ฝนทิพย์ย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวระหว่างเดินทางกลับที่ทำการ “ในป่าในเขา ใครเขาให้ร้องโหวกเหวกโวยวาย ช่างไม่รู้กาลเทศะเสียบ้างเลย” หญิงสาวว่าอย่างระอาใจกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึง
“อ้าวฝน...หายไปไหนมาจ๊ะ ?” สมใจเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินหน้าบึ้งเข้ามา ฝนทิพย์ยิ้มบางๆ ก่อนตรงไปยังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของข้าราชการรุ่นพี่
“ออกไปเดินเล่นน่ะค่ะพี่ใจ เมื่อกี้มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเหรอคะ ?”
“จ้ะ... เอ้อ เมื่อกี้คุยกันถึงเรื่องคุณทัดดาวใช่มั้ย นี่ไงผลงานของเธอ คุณทัดดาวเธอเป็นคนชอบถ่ายภาพมาก ฝนเอาไปทำสื่อประชาสัมพันธ์สิ ดูซิ มีแต่ภาพสวยๆ ทั้งนั้นเลย” สมใจลุกจากเก้าอี้ หอบภาพถ่ายหลายใบมาวางลงบนโต๊ะ
ฝนทิพย์เบิกตากว้างอย่างสนใจ หยิบภาพถ่ายธรรมชาติแต่ละใบขึ้นมาชื่นชม ก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพถ่ายใบหนึ่ง เป็นหญิงสาวเห็นแต่ท่อนบนด้านซ้าย เธอแหงนใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ด้านหลังคือทิวหมอกขาวโพลน ลอยเหนือภูผาน้อยใหญ่ที่ทอดตัวยาวเรียงร้ายสลับซับซ้อน จากสีหน้าของบุคคลในภาพ เผยชัดถึงความสุขกับการได้สัมผัสธรรมชาติ
“นี่แหละคุณทัดดาว...” สมใจเอ่ยเสียงกระซิบ ฝนทิพย์พลันได้หลุดออกมาจากภวังค์นั้น
“ถ้างั้นเดี๋ยวฝนขออนุญาตเก็บไว้เลือกที่ห้องอีกทีนะคะ”
เวลาย่างเข้าบ่ายสามโมงคณะของดนัยกับทอฝันก็เดินทางมาถึงอุทยาน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อทั้งหมดมาประชุมกันที่หน้าบ้านพักของแสงพงษ์ก่อนเดินทางขึ้นไปยังผาเวิ้งเหว ก็ทำให้กิ่งแก้วที่ได้ทราบเรื่องยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
“ยายป้อมกับพี่ต้นน่ะค่ะ บอกว่าจะขอตามมาหลังจากที่ไปเยี่ยมญาติที่กบินทร์บุรี แต่ฝันเพิ่งได้รับโทรศัพท์ก่อนจะมาถึงอุทยานไม่กี่นาทีนี้เองว่าทั้งคู่รถคว่ำ ตอนขับขึ้นเขาปักฯ” ทอฝันเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สองตารื้นด้วยม่านน้ำตา ขณะที่ทั้งกลุ่มซึ่งจับฟังคำพูดของเธอต่างมีอาการช็อคไปตามๆ กัน หลังจากทราบเรื่องไม่คาดคิด
“พาลูกไปเดินเล่นทีนะศศิ...” ภูชิตหันมาบีบแขนภรรยาเบาๆ เธอพยักหน้ารับ ก่อนจูงมือแขนน้องภูมิ ลูกชายวัยห้าขวบเดินไปทางด้านหน้าที่ทำการอุทยาน
“แล้วเป็นยังไง ?... พวกเขา...เป็นยังไงบ้าง?” ชายหนุ่มเค้นถามเสียงสั่น ป้อมกับต้นเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน อดที่แสงพงษ์จะใจเสียไม่ได้ที่ยินข่าวนี้
ทอฝันหรุบตาลงต่ำ ก่อนที่ดนัยผู้เป็นคนรักจะตอบแทน “ไม่รอดครับ เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ผมคุยด้วยบอกว่าทั้งคู่คอหัก...” สิ้นคำพูดของดนัย กิ่งแก้วก็น้ำตาร่วงเผาะ แม้จะไม่สนิทกันมากแต่ก็รู้สึกผูกพันประสาเพื่อนที่เคยดีต่อกัน และไม่คิดว่าทั้งคู่จะมาจบชีวิตลงในเวลารวดเร็วเช่นนี้
“กิ่งว่าเรากลับกันเถอะค่ะ กิ่งรู้สึกไม่ดีเลย...” กิ่งแก้วเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุม สายแพรเบิกตากว้างหันขวับไปมองเธอ ขณะที่แสงพงษ์ขบกรามแน่นขณะครุ่นคิดตัดสินใจ
“แต่เรามาถึงที่นี่กันแล้วนะคะ นี่ก็จะเย็นแล้วด้วย ไหนๆ ก็มาแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้นี่คะ” สายแพรแย้ง
กิ่งแก้วจ้องหญิงสาวตาขวางทันที มองอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้ประสาและกาลเทศะ จะให้เธอมานอนดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนร่วมงานอีกสองคนนอนนิ่งอยู่ในโลง...
“เอาไงไอ้พงษ์ ?” ภูชิตเอ่ยถามผู้เป็นเพื่อน ด้วยที่เขาเป็นหัวหน้าทริปนี้ ทอฝันที่เป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วจึงเอ่ยสมทบกับคำของสายแพรหลังเห็นชายทั้งสามเอาแต่นิ่งคิด
“เดี๋ยวฝันโทร.ไปบอกกับทางญาติของทั้งสองคนนั้นเองค่ะว่าพวกเราคงไปงานคืนนี้ไม่ได้ นี่ก็จะเย็นแล้ว กว่าจะถึงนู้นก็คงมืด เหมือนกับคำของน้องแพร ไหนๆ ก็มาแล้ว ค้างก่อนสักคืนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเถอะค่ะ”
สายแพรยิ้มเรียบ พลางกวาดสายตามองชายทั้งสามคนที่กำลังมองหน้ากัน จนในที่สุดดนัยก็ตามใจแฟนสาว ภูชิตกับแสงพงษ์เองก็ไม่เอ่ยค้าน มีเพียงกิ่งแก้วคนเดียวเท่านั้นที่อยากจะออกไปจากป่านี้ให้พ้นๆ
ระยะทางจากที่ทำการอุทยานไปถึงผาเวิ้งเหวไกลร่วมกิโลเมตร การเดินขึ้นหน้าผาไม่ใช่สิ่งที่สายแพรหวั่นใจเลยแม้แต่น้อย ผิดแค่วันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลยนอกจากกลุ่มของพวกเธอ หลังจากตกลงกันเสร็จก็เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งราวยี่สิบคนเดินแบกเป้กันลงมาจากหน้าผา และผ่านมาจนถึงเวลานี้ก็ไร้วี่แววของผู้มาเยือนรายใหม่ นั่นแหละที่ทำให้เธอรู้สึกใจหายแปลกๆ รู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ยัยศิกับน้องภูมิก็ไม่ขอตามขึ้นไปที่ผา งั้นกิ่งเองก็ขอนอนที่บ้านพักอีกคนแล้วกันนะคะ” กิ่งแก้วเอ่ยขึ้นหลังจากที่แสงพงษ์เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวคาดเอวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มตรงไปยังกระเป๋าเดินทาง หยิบเอาเสื้อผ้าออกมาผลัดเปลี่ยน ขณะที่กิ่งแก้วนั่งหันหลังให้ พร้อมทอดสายตามองออกไปด้านนอกกระจกใสของบ้านพัก
“แก้ว... ยัยศศิก็มีนายภูอยู่เป็นเพื่อนแล้ว แก้วนอนที่นี่คนเดียวผมเป็นห่วงนะ ขึ้นไปนอนกันบนผาเถอะ”
“พงษ์ก็รู้ว่าแก้วไม่อยากมาอยู่แล้ว แล้วก็ยังจะมาเกิดเรื่องไม่ดีกับเพื่อนเราอีก แก้วไม่มีอารมณ์จะมานั่งสุนทรีย์นอนดูดาวหรือนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนน้องสาวพงษ์หรอกค่ะ”
แสงพงษ์ระบายลมหายใจออกเบาๆ หลังแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาทรุดนั่งลงข้างกายคนรัก “ยัยแพรแกยังเด็ก แก้วอย่าถือสาเลยนะ แต่ผมมีน้องสาวอยู่แค่คนเดียว สายแพรตั้งใจว่าจะไปที่ผาเวิ้งเหวให้ได้ ผมต้องขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนเธอ ถ้าแก้วยืนยันว่าจะค้างอยู่ที่บ้านพัก ผมก็ไม่ขัด”
สายแพรล่วงหน้าขึ้นผาไปพร้อมกับดนัยและทอฝันก่อนหน้าแสงพงษ์ ทั้งสองได้จุดกางเต้นท์ที่พอเหมาะ เป็นลานหินห่างจากหน้าผาราวห้าสิบเมตร เจ้าหน้าที่สองคนเข้ามาทักทาย ก่อนกลับลงที่ทำการอุทยาน พอสายแพรกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยก็หยิบเอาช็อกโกแลตในเป้มากัดก่อนนอนหราลงบนพื้น
“อากาศดีจังเลยนะคะ... พรุ่งนี้เช้าวิวที่ผาเวิ้งเหวตอนพระอาทิตย์ขึ้นต้องสวยมากแน่ๆ” สายแพรสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดพร้อมลุกขึ้นนั่ง ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้ายามเย็น เหนือยอดเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายสลับซับซ้อนคือทิวหมอกขาวโพลน ฝูงนกจับกลุ่มกันบินกลับรัง ดวงดาวน้อยใหญ่เริ่มเจิดจรัสแสง
แสงพงษ์แบกเป้ใบเล็กที่นำติดมาด้วย เดินขึ้นหน้าผามาอย่างเงียบๆ ชั่วแวบนั้นเขาก็ผุดนึกถึงเหตุการณ์ตอนมาที่ผาเวิ้งเหวในครั้งแรก ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อม ก่อนเขาจะแว่วเสียงกังวานใสของใครบางคนที่ครุ่นคิดถึง
“คุณแสงพงษ์...ฉันมาแล้วค่ะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น แสงพงษ์ก็รีบหันขวับไปตามเสียงทันที ทัดดาวยืนผายยิ้มกว้างอยู่ใต้เงาไม้ แสงตะเกียงไฟอันใหญ่พอจะสาดให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้านวลเนียนของเธอ
“เชิญทางนี้ครับคุณทัดดาว” แสงพงษ์หยัดกายลุกขึ้นจากหินก้อนหนึ่งที่หยิบมาใช้รองนั่ง หลังจากนั้นบรรยากาศในวงสนทนาก็ดูรื่นเริงมีสีสันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพื่อนรอบกายต่างดูออกว่าแสงพงษ์คิดเช่นไรกับนักวิชาการป่าไม้สาวคนนี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ได้พูดคุยนั่งเคียงกัน ก็กลับทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่ง ทัดดาวขอตัวกลับบ้านพัก
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณนะครับ” แสงพงษ์บอกด้วยความเต็มใจ เมื่อหญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นขอตัวกลับ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเดินขึ้นลงผาหลายรอบจะเหนื่อยเสียเปล่า” ทัดดาวว่า ก่อนหันหลังเดินจากไป แสงพงษ์ยืนนิ่งมองแผ่นหลังแบบบางเดินหายลับไปกับเงาไม้อย่างใจหาย จนเมื่อเขาขจัดความลังเลออกไปได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจออกเดินตามหลังหญิงสาวไป
แสงพงษ์นึกโทษตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าหลังผ่านเหตุการณ์คืนนั้น เขาเดินมาได้ค่อนทาง ก่อนได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งไล่กันขึ้นไปตามแนวผา จนเมื่อร่างที่วิ่งนำหน้ากรีดร้องขอความช่วยเหลือชายหนุ่มจึงนิ่วหน้าคล้ายถูกอาวุธทิ่มแทง
เป็นเสียงของทัดดาว...
“คุณดาว...” แสงพงษ์รำพันชื่อนั้นแผ่วเบา จับจ้องไปยังเงาดำที่วิ่งติดตามร่างหญิงสาวขึ้นผาไปยังอีกทาง ชายหนุ่มออกวิ่งสุดกำลัง แค่ไม่กี่สิบก้าวเขาก็จะถึงร่างนั้นแล้ว แต่เหมือนฟ้าเล่นตลกเท้าของเขาไปสะดุดโขดหินเหมือนมีใครมาผลัก แสงพงษ์ล้มฟาดลงบนพื้นอย่างแรง ศอกและเข่ากระทบกับคมหินจนเลือดไหล
ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืน พยายามพาร่างขึ้นไปยังหน้าผา โชคร้ายที่ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากจุดตั้งแคมป์ของกลุ่มเพื่อนมาก และหากจะข้ามไปถึงฝั่งนั้นก็จะต้องฝ่าดงไม้หนาทึบไปหรือไม่ก็ต้องไปถึงหน้าผาและเดินอ้อมไป
แสงพงษ์กระ
กระสนขึ้นมาจนถึงหน้าผาในที่สุด สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้าใส่ร่างที่ยืนโอบต้นชิงชันเป็นหลักยึด แสงจันทร์คืนสิบสี่ค่ำสาดกระทบลงยังใบหน้านวลเนียนของทัดดาวที่อัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด เงาดำตะคุ่มคล้ายบุรุษนั้นอยู่ห่างจากเธอเกือบสิบเมตรและค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาทัดดาวอย่างช้าๆ
แสงพงษ์เกือบจะขาดใจลงตรงนั้น เมื่อเห็นร่างหญิงสาวเอี้ยวตัวหันหน้าไปยังผาเวิ้งเหว ก่อนยืนนิ่งและกระโดดลงหน้าผาไปต่อหน้าเขา...
“ทัดดาว...” ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อเธอสุดเสียง กระโจนร่างออกจากเงาไม้ตรงไปยังหน้าผาในขณะที่เงาตะคุ่มสีดำนั้นได้หายไปแล้ว...
ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๓ ลางร้าย
http://ppantip.com/topic/31779780
“พี่จองบ้านพักไว้สองหลัง แต่ละหลังนอนได้สี่ถึงห้าคน” แสงพงษ์หันมาบอกกับทั้งคณะ หลังเดินนำหน้ามาตามทางเดินเล็กๆ ห่างจากที่ทำการอุทยานไปไม่ไกล กานต์กับยงยุทธ์ยืนดูทั้งกลุ่มพักหนึ่งก่อนเดินกลับเข้าที่ทำการ
“ไหนว่าจะเราจะกางเต้นท์กันไงคะ แล้วก็นอนดูดาวกันที่ผาเวิ้งเหว” สายแพรบุ้ยปากว่า กิ่งแก้วที่ไม่เต็มใจจะเดินทางมายังที่นี่นักถอนหายใจน้อยๆ ก่อนบอก
“เราเอาสัมภาระมาเก็บไว้ที่ห้องพักก่อนจ้ะ เย็นๆ ถึงจะไปกางเต้นท์ที่ผากัน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยก่อน ต้องเดินไปอีกไกลมั้ยคะพงษ์ถึงจะถึงหน้าผา” กิ่งแก้วลากเสียงสูง แสงพงษ์หยุดเดิน เขาหันมามองหน้าหญิงสาวพร้อมกับคลายยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ไกลหรอกครับ นี่กุญแจนะภูชิต” ชายหนุ่มยื่นกุญแจบ้านให้กับภูชิต อีกฝ่ายรับมาก่อนเดินแยกจากไปบ้านพักหลังเคียงกัน พอเข้ามาถึงบ้านพัก สายแพรก็รีบแทรกกายเข้าไปยังห้องที่อยู่ฝั่งซ้าย หูได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ของกิ่งแก้วตามหลัง
“เอ... นี่มันดอกอะไร” หลังจากวางเป้ใบใหญ่ลงข้างเตียง สายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้สีเหลืองอ่อนหล่นอยู่ที่ข้างหมอน หน้าต่างเหนือหัวนอนเปิดอ้ารับลมเย็น กิ่งไม้บนต้นสูงยื่นล้ำเข้ามาใกล้ สายแพรเดินไปหยิบมันขึ้นมาอย่างพินิจพิเคราะห์...
“อร๊าย.... กรี๊ด !!!!” สายแพรสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นโครมครามทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องข้างๆ ดอกจำปีป่าหล่นฮวบลงพื้น ก่อนที่ร่างบางจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องพักของแสงพงษ์
“โถ่กิ่ง มันก็แค่ตุ๊กแก ดูสิ...ตัวเล็กนิดเดียวเอง” แสงพงษ์เอามือลูบแผ่นหลังกิ่งแก้วที่กอดเขาแน่นเบาๆ สายแพรมองไปยังประตูห้องที่เปิดอ้าก็เห็นตุ๊กแกตัวยาวขนาดสามนิ้วเกาะผนังแน่น
“เอามันออกไปเดี๋ยวนี้นะพงษ์ กิ่งเกลียดมัน...เอามันออกไปเดี๋ยวนี้” กิ่งแก้วทุบอกชายหนุ่มรัวๆ แสงพงษ์จึงผละจากร่างคนรัก เดินเนิบนาบไปหยิบเอาไม้กวาดก่อนยื่นไปเขี่ยร่างเจ้าตุ๊กแกนั่น
ตะ ตะ ตะ ตุ๊กแก... เสียงมันร้องขู่ เหมือนประกาศว่าไม่ยอมไปไหน กิ่งแก้วที่ยืนทำหน้าขยะแขยงอยู่ข้างหลังเหมือนจะยิ่งทวีความเกลียดชัง
“แพรว่า เดี๋ยวมันก็ไปเองแหละค่ะ พี่กิ่งมาใช้ห้องน้ำที่ห้องแพรก่อนก็ได้” สายแพรเอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา กิ่งแก้วหันไปมองเธออย่างไม่สบอารมณ์นัก เธอไม่อยากมาที่นี่อยู่แล้ว แถมยังต้องมาอารมณ์เสียแบบนี้เสียอีก พอกระทุ้งส้นเท้าเดินไปคว้าเอากระเป๋าใบเขื่องออกไป สายแพรเลยเดินมาฉวยเอาไม้กวาดจากมือแสงพงษ์
“เราเป็นแค่ผู้อาศัยนะคะ... เขาเป็นเจ้าถิ่น” คำพูดของเธอทำให้ผู้เป็นพี่ชายจุดยิ้ม ก่อนที่ตุ๊กแกตัวนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนกายอย่างเชื่องช้าจากประตูสู่ผนังห้องน้ำ และหายไปทางช่องระบายอากาศเล็กๆ
ฝนทิพย์ย่นคิ้วเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวระหว่างเดินทางกลับที่ทำการ “ในป่าในเขา ใครเขาให้ร้องโหวกเหวกโวยวาย ช่างไม่รู้กาลเทศะเสียบ้างเลย” หญิงสาวว่าอย่างระอาใจกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึง
“อ้าวฝน...หายไปไหนมาจ๊ะ ?” สมใจเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินหน้าบึ้งเข้ามา ฝนทิพย์ยิ้มบางๆ ก่อนตรงไปยังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของข้าราชการรุ่นพี่
“ออกไปเดินเล่นน่ะค่ะพี่ใจ เมื่อกี้มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเหรอคะ ?”
“จ้ะ... เอ้อ เมื่อกี้คุยกันถึงเรื่องคุณทัดดาวใช่มั้ย นี่ไงผลงานของเธอ คุณทัดดาวเธอเป็นคนชอบถ่ายภาพมาก ฝนเอาไปทำสื่อประชาสัมพันธ์สิ ดูซิ มีแต่ภาพสวยๆ ทั้งนั้นเลย” สมใจลุกจากเก้าอี้ หอบภาพถ่ายหลายใบมาวางลงบนโต๊ะ
ฝนทิพย์เบิกตากว้างอย่างสนใจ หยิบภาพถ่ายธรรมชาติแต่ละใบขึ้นมาชื่นชม ก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพถ่ายใบหนึ่ง เป็นหญิงสาวเห็นแต่ท่อนบนด้านซ้าย เธอแหงนใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ด้านหลังคือทิวหมอกขาวโพลน ลอยเหนือภูผาน้อยใหญ่ที่ทอดตัวยาวเรียงร้ายสลับซับซ้อน จากสีหน้าของบุคคลในภาพ เผยชัดถึงความสุขกับการได้สัมผัสธรรมชาติ
“นี่แหละคุณทัดดาว...” สมใจเอ่ยเสียงกระซิบ ฝนทิพย์พลันได้หลุดออกมาจากภวังค์นั้น
“ถ้างั้นเดี๋ยวฝนขออนุญาตเก็บไว้เลือกที่ห้องอีกทีนะคะ”
เวลาย่างเข้าบ่ายสามโมงคณะของดนัยกับทอฝันก็เดินทางมาถึงอุทยาน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อทั้งหมดมาประชุมกันที่หน้าบ้านพักของแสงพงษ์ก่อนเดินทางขึ้นไปยังผาเวิ้งเหว ก็ทำให้กิ่งแก้วที่ได้ทราบเรื่องยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
“ยายป้อมกับพี่ต้นน่ะค่ะ บอกว่าจะขอตามมาหลังจากที่ไปเยี่ยมญาติที่กบินทร์บุรี แต่ฝันเพิ่งได้รับโทรศัพท์ก่อนจะมาถึงอุทยานไม่กี่นาทีนี้เองว่าทั้งคู่รถคว่ำ ตอนขับขึ้นเขาปักฯ” ทอฝันเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สองตารื้นด้วยม่านน้ำตา ขณะที่ทั้งกลุ่มซึ่งจับฟังคำพูดของเธอต่างมีอาการช็อคไปตามๆ กัน หลังจากทราบเรื่องไม่คาดคิด
“พาลูกไปเดินเล่นทีนะศศิ...” ภูชิตหันมาบีบแขนภรรยาเบาๆ เธอพยักหน้ารับ ก่อนจูงมือแขนน้องภูมิ ลูกชายวัยห้าขวบเดินไปทางด้านหน้าที่ทำการอุทยาน
“แล้วเป็นยังไง ?... พวกเขา...เป็นยังไงบ้าง?” ชายหนุ่มเค้นถามเสียงสั่น ป้อมกับต้นเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน อดที่แสงพงษ์จะใจเสียไม่ได้ที่ยินข่าวนี้
ทอฝันหรุบตาลงต่ำ ก่อนที่ดนัยผู้เป็นคนรักจะตอบแทน “ไม่รอดครับ เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ผมคุยด้วยบอกว่าทั้งคู่คอหัก...” สิ้นคำพูดของดนัย กิ่งแก้วก็น้ำตาร่วงเผาะ แม้จะไม่สนิทกันมากแต่ก็รู้สึกผูกพันประสาเพื่อนที่เคยดีต่อกัน และไม่คิดว่าทั้งคู่จะมาจบชีวิตลงในเวลารวดเร็วเช่นนี้
“กิ่งว่าเรากลับกันเถอะค่ะ กิ่งรู้สึกไม่ดีเลย...” กิ่งแก้วเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุม สายแพรเบิกตากว้างหันขวับไปมองเธอ ขณะที่แสงพงษ์ขบกรามแน่นขณะครุ่นคิดตัดสินใจ
“แต่เรามาถึงที่นี่กันแล้วนะคะ นี่ก็จะเย็นแล้วด้วย ไหนๆ ก็มาแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้นี่คะ” สายแพรแย้ง
กิ่งแก้วจ้องหญิงสาวตาขวางทันที มองอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้ประสาและกาลเทศะ จะให้เธอมานอนดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนร่วมงานอีกสองคนนอนนิ่งอยู่ในโลง...
“เอาไงไอ้พงษ์ ?” ภูชิตเอ่ยถามผู้เป็นเพื่อน ด้วยที่เขาเป็นหัวหน้าทริปนี้ ทอฝันที่เป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วจึงเอ่ยสมทบกับคำของสายแพรหลังเห็นชายทั้งสามเอาแต่นิ่งคิด
“เดี๋ยวฝันโทร.ไปบอกกับทางญาติของทั้งสองคนนั้นเองค่ะว่าพวกเราคงไปงานคืนนี้ไม่ได้ นี่ก็จะเย็นแล้ว กว่าจะถึงนู้นก็คงมืด เหมือนกับคำของน้องแพร ไหนๆ ก็มาแล้ว ค้างก่อนสักคืนแล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเถอะค่ะ”
สายแพรยิ้มเรียบ พลางกวาดสายตามองชายทั้งสามคนที่กำลังมองหน้ากัน จนในที่สุดดนัยก็ตามใจแฟนสาว ภูชิตกับแสงพงษ์เองก็ไม่เอ่ยค้าน มีเพียงกิ่งแก้วคนเดียวเท่านั้นที่อยากจะออกไปจากป่านี้ให้พ้นๆ
ระยะทางจากที่ทำการอุทยานไปถึงผาเวิ้งเหวไกลร่วมกิโลเมตร การเดินขึ้นหน้าผาไม่ใช่สิ่งที่สายแพรหวั่นใจเลยแม้แต่น้อย ผิดแค่วันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลยนอกจากกลุ่มของพวกเธอ หลังจากตกลงกันเสร็จก็เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งราวยี่สิบคนเดินแบกเป้กันลงมาจากหน้าผา และผ่านมาจนถึงเวลานี้ก็ไร้วี่แววของผู้มาเยือนรายใหม่ นั่นแหละที่ทำให้เธอรู้สึกใจหายแปลกๆ รู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ยัยศิกับน้องภูมิก็ไม่ขอตามขึ้นไปที่ผา งั้นกิ่งเองก็ขอนอนที่บ้านพักอีกคนแล้วกันนะคะ” กิ่งแก้วเอ่ยขึ้นหลังจากที่แสงพงษ์เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวคาดเอวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มตรงไปยังกระเป๋าเดินทาง หยิบเอาเสื้อผ้าออกมาผลัดเปลี่ยน ขณะที่กิ่งแก้วนั่งหันหลังให้ พร้อมทอดสายตามองออกไปด้านนอกกระจกใสของบ้านพัก
“แก้ว... ยัยศศิก็มีนายภูอยู่เป็นเพื่อนแล้ว แก้วนอนที่นี่คนเดียวผมเป็นห่วงนะ ขึ้นไปนอนกันบนผาเถอะ”
“พงษ์ก็รู้ว่าแก้วไม่อยากมาอยู่แล้ว แล้วก็ยังจะมาเกิดเรื่องไม่ดีกับเพื่อนเราอีก แก้วไม่มีอารมณ์จะมานั่งสุนทรีย์นอนดูดาวหรือนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนน้องสาวพงษ์หรอกค่ะ”
แสงพงษ์ระบายลมหายใจออกเบาๆ หลังแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาทรุดนั่งลงข้างกายคนรัก “ยัยแพรแกยังเด็ก แก้วอย่าถือสาเลยนะ แต่ผมมีน้องสาวอยู่แค่คนเดียว สายแพรตั้งใจว่าจะไปที่ผาเวิ้งเหวให้ได้ ผมต้องขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนเธอ ถ้าแก้วยืนยันว่าจะค้างอยู่ที่บ้านพัก ผมก็ไม่ขัด”
สายแพรล่วงหน้าขึ้นผาไปพร้อมกับดนัยและทอฝันก่อนหน้าแสงพงษ์ ทั้งสองได้จุดกางเต้นท์ที่พอเหมาะ เป็นลานหินห่างจากหน้าผาราวห้าสิบเมตร เจ้าหน้าที่สองคนเข้ามาทักทาย ก่อนกลับลงที่ทำการอุทยาน พอสายแพรกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยก็หยิบเอาช็อกโกแลตในเป้มากัดก่อนนอนหราลงบนพื้น
“อากาศดีจังเลยนะคะ... พรุ่งนี้เช้าวิวที่ผาเวิ้งเหวตอนพระอาทิตย์ขึ้นต้องสวยมากแน่ๆ” สายแพรสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดพร้อมลุกขึ้นนั่ง ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้ายามเย็น เหนือยอดเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายสลับซับซ้อนคือทิวหมอกขาวโพลน ฝูงนกจับกลุ่มกันบินกลับรัง ดวงดาวน้อยใหญ่เริ่มเจิดจรัสแสง
แสงพงษ์แบกเป้ใบเล็กที่นำติดมาด้วย เดินขึ้นหน้าผามาอย่างเงียบๆ ชั่วแวบนั้นเขาก็ผุดนึกถึงเหตุการณ์ตอนมาที่ผาเวิ้งเหวในครั้งแรก ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อม ก่อนเขาจะแว่วเสียงกังวานใสของใครบางคนที่ครุ่นคิดถึง
“คุณแสงพงษ์...ฉันมาแล้วค่ะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น แสงพงษ์ก็รีบหันขวับไปตามเสียงทันที ทัดดาวยืนผายยิ้มกว้างอยู่ใต้เงาไม้ แสงตะเกียงไฟอันใหญ่พอจะสาดให้ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้านวลเนียนของเธอ
“เชิญทางนี้ครับคุณทัดดาว” แสงพงษ์หยัดกายลุกขึ้นจากหินก้อนหนึ่งที่หยิบมาใช้รองนั่ง หลังจากนั้นบรรยากาศในวงสนทนาก็ดูรื่นเริงมีสีสันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพื่อนรอบกายต่างดูออกว่าแสงพงษ์คิดเช่นไรกับนักวิชาการป่าไม้สาวคนนี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ได้พูดคุยนั่งเคียงกัน ก็กลับทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่ง ทัดดาวขอตัวกลับบ้านพัก
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณนะครับ” แสงพงษ์บอกด้วยความเต็มใจ เมื่อหญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นขอตัวกลับ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเดินขึ้นลงผาหลายรอบจะเหนื่อยเสียเปล่า” ทัดดาวว่า ก่อนหันหลังเดินจากไป แสงพงษ์ยืนนิ่งมองแผ่นหลังแบบบางเดินหายลับไปกับเงาไม้อย่างใจหาย จนเมื่อเขาขจัดความลังเลออกไปได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจออกเดินตามหลังหญิงสาวไป
แสงพงษ์นึกโทษตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าหลังผ่านเหตุการณ์คืนนั้น เขาเดินมาได้ค่อนทาง ก่อนได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งไล่กันขึ้นไปตามแนวผา จนเมื่อร่างที่วิ่งนำหน้ากรีดร้องขอความช่วยเหลือชายหนุ่มจึงนิ่วหน้าคล้ายถูกอาวุธทิ่มแทง
เป็นเสียงของทัดดาว...
“คุณดาว...” แสงพงษ์รำพันชื่อนั้นแผ่วเบา จับจ้องไปยังเงาดำที่วิ่งติดตามร่างหญิงสาวขึ้นผาไปยังอีกทาง ชายหนุ่มออกวิ่งสุดกำลัง แค่ไม่กี่สิบก้าวเขาก็จะถึงร่างนั้นแล้ว แต่เหมือนฟ้าเล่นตลกเท้าของเขาไปสะดุดโขดหินเหมือนมีใครมาผลัก แสงพงษ์ล้มฟาดลงบนพื้นอย่างแรง ศอกและเข่ากระทบกับคมหินจนเลือดไหล
ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืน พยายามพาร่างขึ้นไปยังหน้าผา โชคร้ายที่ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากจุดตั้งแคมป์ของกลุ่มเพื่อนมาก และหากจะข้ามไปถึงฝั่งนั้นก็จะต้องฝ่าดงไม้หนาทึบไปหรือไม่ก็ต้องไปถึงหน้าผาและเดินอ้อมไป
แสงพงษ์กระกระสนขึ้นมาจนถึงหน้าผาในที่สุด สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้าใส่ร่างที่ยืนโอบต้นชิงชันเป็นหลักยึด แสงจันทร์คืนสิบสี่ค่ำสาดกระทบลงยังใบหน้านวลเนียนของทัดดาวที่อัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด เงาดำตะคุ่มคล้ายบุรุษนั้นอยู่ห่างจากเธอเกือบสิบเมตรและค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาทัดดาวอย่างช้าๆ
แสงพงษ์เกือบจะขาดใจลงตรงนั้น เมื่อเห็นร่างหญิงสาวเอี้ยวตัวหันหน้าไปยังผาเวิ้งเหว ก่อนยืนนิ่งและกระโดดลงหน้าผาไปต่อหน้าเขา...
“ทัดดาว...” ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อเธอสุดเสียง กระโจนร่างออกจากเงาไม้ตรงไปยังหน้าผาในขณะที่เงาตะคุ่มสีดำนั้นได้หายไปแล้ว...