แสงพงษ์หวนนึกถึงภาพทิวทัศน์อันงดงามของผาเวิ้งเหว หลังจากที่สะสางงานที่คั่งค้างบนโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้เวลาเย็นแล้ว พนักงานค่อนออฟฟิศทยอยกันกลับเกือบหมด ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างของตึกสูงอันเป็นที่ทำงาน แสงแดดสีชมพูอมส้มระบายที่โค้งฟ้า ตึกสูงมากมายที่ตั้งเบียดเสียดกันอยู่เริ่มสว่างด้วยแสงไฟ แสงพงษ์ยกกาแฟที่เริ่มเย็นชืดขึ้นจิบ ก่อนหลับตาลง
เสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้ว สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะร่างกาย พฤกษายืนต้นตระหง่านตา ทิวหมอกขาวโพลนลอยอยู่เหนือภูผาน้อยใหญ่ที่ลดหลั่นเรียงราย ทิวทัศน์บนผาเวิ้งเหวช่างงดงามเหลือเกิน...
“พงษ์ยังไม่กลับอีกเหรอคะ...” เสียงหนึ่งร้องทักขึ้น ฉุดดึงให้แสงพงษ์ออกจากภวังค์นั้น กิ่งแก้ว เพื่อนร่วมงานสาวยืนกอดอกผายยิ้มอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม
แสงพงษ์ยิ้มกริ่มหลังเปิดเปลือกตา “เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะครับ แค่นั่งพักสายตานิดหน่อย”
กิ่งแก้วพยักหน้าเนิบนาบ ก่อนผินหน้าไปยังกระถางดอกไม้อันเล็กที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะทำงานแสงพงษ์ “เมื่อไหร่จะบานซักทีคะเนี่ย กล้วยไม้ป่าของคุณ” เธอลากเสียงเป็นเชิงประชด เพราะเห็นชายหนุ่มเพียรดูแลเช้าเย็น สนใจเจ้าดอกไม้พวกนี้มากกว่าคนพิเศษอย่างเธอเสียอีก
“ต้นเดือนหน้าก็คงจะบานแล้วหละครับ ทำไงได้ มันไม่ได้อยู่ในป่า ก็อาจจะบานช้าหน่อย” ชายหนุ่มอมยิ้ม ใบหน้าสีแทนหล่อเหลายิ่งดูมีเสน่ห์ พลอยทำให้กิ่งแก้วอดยิ้มตามด้วยเวลาเห็นเขามีความสุข
“เอ้อ... แล้วเรื่องที่จะไปเที่ยวสุดสัปดาห์นี้ว่ายังไงคะพงษ์ ตกลงว่าจะมีใครไปบ้าง ยังไงแก้วก็เชียร์ภูกระดึงเหมือนเดิมนะคะ” กิ่งแก้วถามถึงทริปสุดสัปดาห์นี้ ที่เธอกับเพื่อนสนิทรวมทั้งแสงพงษ์ได้เกริ่นกันไว้นานแล้ว
“แต่ยัยแพรบอกว่าอยากไปผาเวิ้งเหวมาก พี่เองก็ไม่อยากขัดเสียด้วยสิ กิ่งเองก็ยังไม่เคยไปไม่ใช่เหรอ” เขาหมายถึงสายแพรผู้เป็นน้องสาว ซึ่งอายุห่างกันสามปี สายแพรเพิ่งเรียนจบและทำงานในบริษัทใกล้ๆ กันกับเขา ในทุกปีเขาและเพื่อนๆ จะต้องจัดทริปไปท่องเที่ยวอยู่เสมอ แต่ปีนี้สายแพรอ้อนเขาไว้แต่เนิ่นๆ ว่าอยากไปตั้งแคมป์และนอนดูดาวกัน
“กิ่งไม่เคยไปก็จริงค่ะ แต่จากที่เคยได้ยินมาผานั่นตั้งอยู่ในป่าลึกไม่ใช่เหรอคะ ต้องเดินเท้าเข้าไปหลายกิโลฯ และเหมือนว่าเมื่อสองสามปีที่แล้วมีข่าวว่ามีคนพลัดตกหน้าผาลงไปด้วย”
คำพูดสุดท้ายของกิ่งแก้วทำให้ชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลง ภาพนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในห้วงคำนึง ถึงแม้แสงพงษ์จะพยายามลบมันให้ออกจากหัวมานับร้อยครั้งก็ตาม คืนนั้น เขาเห็น เห็นผู้หญิงคนนั้น กระโดดหน้าผาลงไปต่อหน้าต่อตา...
“พงษ์... เป็นอะไรรึเปล่า” กิ่งแก้วสะกิดที่ไหล่ชายหนุ่มเบาๆ พอรู้สึกตัว แสงพงษ์ก็เสยิ้มกลบเกลื่อน ลุกจากเก้าอี้และคว้ากระเป๋าสะพายสีดำใบย่อม
“กลับกันเถอะครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“เขาว่ากันว่า ป่าดงพญาเย็นเนี่ยนะคะ สมัยก่อนเรียกว่าดงพญาไฟ ฟังดูน่ากลัวดีนะคะพี่พงษ์ เห็นว่าก่อนจะสร้างทางรถไฟ ไม่ค่อยมีใครกล้าผ่านป่าดงพญาไฟเท่าไหร่ ด้วยที่ว่าเป็นป่ารกทึบเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ ทั้งไข้ป่าและภูตผีปีศาจที่คอยรังควาน ถึงขนาดตอนที่สร้างทางรถไฟสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ก็ยังมีคนล้มตายไปไม่น้อย...” สายแพรร่ายยาวขณะเดินถือจานสลัดผลไม้มายังโต๊ะรับประทานอาหารที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง แสงพงษ์ที่อยู่ในชุดนอนถือแก้วนมอุ่นๆ ทรุดนั่งลงบนโซฟาในมุมห้องนั่งเล่น
“รู้อย่างนี้แล้วก็ยังจะอยากไปอีกนะ สมัยก่อนน่ะมีอันตรายสารพัด ทั้งจากสัตว์ร้าย ไข้ป่า ภูตผีปีศาจแล้วก็ไหนจะพวกโจรป่าที่ใช้ป่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังอีก พี่กิ่งเขาฝากมาถาม ว่าแพรจะเปลี่ยนใจไปภูกระดึงแทนผาเวิ้งเหวรึเปล่า”
“โถ่พี่พงษ์ ภูกระดึงแพรเพิ่งไปมาเมื่อปีที่แล้วเองนะคะ ที่นั่นนักท่องเที่ยวเยอะจะตายไป ก็พี่พงษ์บอกว่าที่ผาเวิ้งเหวคนน้อยกว่าที่อื่นมาก และพี่พงษ์ก็รู้นิสัยแพรดีว่ายังไงแพรก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ เด็ดขาด ไม่รู้สิคะ...ไม่รู้ว่าทำไมแพรถึงอยากไปที่นั่น แพรกับกลุ่มเพื่อนก็เคยไปค้างที่วังน้ำเขียว ที่ทับลานก็ไปมาแล้วนะคะ แต่ยังไม่เคยเข้าไปลึกกว่านั้น เพราะพี่พงษ์น่ะแหละมาพรรณนาซะแพรเห็นภาพ ว่าผาเวิ้งเหวสวยขนาดไหน ยิ่งขึ้นไปลำบากเท่าไหร่แพรก็ยิ่งอยากไป...”
แสงพงษ์สั่นศีรษะน้อยๆ ให้กับความดื้อรั้นของน้องสาว หลังจบบทสนทนาในช่วงค่ำ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน ภายในคอนโดที่อยู่ร่วมกันกลางเมืองหลวง แสงพงษ์มองดูวันที่ในปฏิทินบนโต๊ะ เหลืออีกห้าวันก่อนออกเดินทาง ด้วยนิสัยที่รอบคอบ ชายหนุ่มจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นดูกระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้าข้าวของที่จะนำไปเที่ยวในครั้งนี้ จัดเตรียมไว้เสียแต่เนิ่นๆ
แสงพงษ์หยิบเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่พับเก็บอย่างเรียบร้อยออกมาจากตู้ สีดำของมันดูซีดจางลงไปเล็กน้อย ชายหนุ่มเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหวนนึกถึงวันที่เดินทางไปยังผาเวิ้งเหวเมื่อสองปีก่อน แล้วพอคลี่กระเป๋าออกมา มือหนาก็ล้วงเข้าไปสำรวจสภาพภายใน ก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะไปถูกดอกไม้แห้งๆ ดอกหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ในนั้น
แสงพงษ์หยิบมันออกมา กลีบเรียวสวยหยิกงอและแห้งกรอบ เพียงแค่เขาขยำมือมันคงแหลกละเอียดในกำมือเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มหวนนึกถึงเหตุการณ์ครานั้น ดอกไม้นี้คงหล่นลงมาใส่กระเป๋า แต่ตอนที่เขากลับมาถึงบ้านและนำเสื้อผ้าข้าวของออกจากกระเป๋าแต่ก็กลับไม่พบมัน... และเมื่อเขายิ่งใช้ความคิด ปิดสองตาลง ปล่อยจิตให้ดิ่งฮวบลงสู่ภวังค์ขณะทอดมองทิวทัศน์บนผาเวิ้งเหว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าก็ลอยหอมอบอวลมาแตะจมูก
“ดอกจำปีป่า...” สี่คำที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มลืมเปลือกตาขึ้น ก่อนได้พบกับหญิงสาวใบหน้ากลมรี มีดวงตาสวยเด่นประดับอยู่บนหน้า ริมฝีปากเผยยิ้มอบอุ่น ผมสีดำมัดไว้ข้างหลัง ในมือถือดอกจำปีป่า
“จำปีป่าเป็นพืชที่พบในป่าดิบเขาต่ำ บนภูเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ประมาณ 1,000 เมตร จนถึง 1,900 เมตรค่ะ สภาพป่ามีเรือนยอดแน่นทึบ มีไม้พื้นล่างหนาแน่นคล้ายคลึงกับป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งบนที่ต่ำ แต่แตกต่างกันในองค์ประกอบของพรรณไม้ นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้ในระดับต่ำที่เป็นพรรณไม้เด่น ของป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งขึ้นอยู่ปะปนอยู่ด้วยนะค่ะ”
แสงพงษ์ละสายตาจากดอกไม้บนต้นสูง เผลอเบิกตากว้างอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวยื่นดอกไม้ส่งให้เขา แสงพงษ์ก้มมองดอกจำปีป่าที่รับมาสลับกับมองดูเรือนหน้าหวานละมุน หญิงสาวรูปร่างแบบบางอ่อนช้อย หากแต่มีความรู้เรื่องป่าไม้อย่างเจนจัดจนเขาต้องทึ่ง
“ดิฉันเป็นนักวิชาการป่าไม้ของที่นี่ค่ะ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อยและงานที่อุทยานพอซาลงไปบ้าง เลยมีโอกาสเดินขึ้นมาบนผา ถ้าคุณสงสัยอะไรก็สอบถามดิฉันได้เลยนะคะ ยินดีตอบคำถามทุกอย่าง” แสงพงษ์เนื้อเต้น เลยได้โอกาสถามทุกเรื่องเกี่ยวกับป่าไม้ที่เขายังไม่รู้และอยากรู้ พอคุยได้สักพัก เธอก็ชวนมานั่งยังโขดหินเตี้ยๆ ห่างจากผาราวสิบเมตร
“ผมอิจฉาคุณจัง ได้ทำงานอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ คุณคงมีความสุขมาก” แสงพงษ์เอ่ย สองตายังคงครอบครองใบหน้าหวานละมุลของหญิงสาวข้างกาย
“มันก็ไม่เสมอไปหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ มาบรรจุเป็นข้าราชการที่นี่ใหม่ๆ ก็เซ็งจะแย่เหมือนกัน ก็อย่างที่คุณเห็น มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าเขาลำเนาไพร วันๆ ก็อยู่แต่กับต้นไม้ใบหญ้า แต่พอนึกถึงตอนเรียนวนศาสตร์ ก็ทำให้คิดได้ว่าแท้จริงแล้วนี่แหละคือสิ่งที่เป็นตัวฉัน” เธอหันมายิ้มให้แสงพงษ์ พลันนั้นสายลมอ่อนๆ พัดโชยมาปะทะสองร่างที่นั่งเคียงคู่กันบนผา ภาพทิวเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันตรงหน้า ปอยเมฆขาวๆ ลอยละล่องไปตามสายลม มองเห็นละอองหมอกสีขาวเกาะกลุ่มกันอยู่ตามเรือนยอดของไม้ใหญ่ ธรรมชาติโอบกอดแสงพงษ์จนเขาสุขใจจนล้นปรี่ ยิ่งกว่านั้นยังมีสตรีรูปงามนั่งอยู่เคียงข้าง... ทอดมองทิวทัศน์อันงดงามนั้นไปพร้อมๆ กัน
“ผมชื่อแสงพงษ์... ผมยินดีมากครับที่พบคุณวันนี้ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักผู้หญิงทั้งเก่งและสวย” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เลือดแล่นสูบฉีดเข้ากายหนุ่ม ใช่ว่าเขาจะไม่เคยจีบผู้หญิง แต่ผู้หญิงตรงหน้านี้ทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
“ฉันชื่อทัดดาวค่ะ ยินดีที่ได้พบเช่นเดียวกัน”
“ถ้าคุณทัดดาวไม่รังเกียจ เย็นนี้มาทานอาหารเย็นกับเราที่แคมป์นะครับ เรามีปาร์ตี้เล็กๆ กัน” ทัดดาวอมยิ้ม ก่อนหยัดกายลุกขึ้น ยกสองแขนขึ้นบิดลำตัวแก้เมื่อย ก่อนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
“ขอบคุณสำหรับคำชวนนะคะ เอาไว้คิดดูก่อนนะ แต่ฉันว่าคืนนี้จะออกมานั่งดูดาวที่ผาเวิ้งเหวพอดี อาจจะได้แวะมา” แสงพงษ์ผายยิ้มกว้างอย่างดีใจ ทัดดาวเอื้อมสายตาลงมองดอกจำปีป่าในมือของชายหนุ่ม
“เก็บมันไว้ให้ดีนะคะ จำปีป่าดอกนั้นฉันให้คุณ เอาไว้ดูเวลาคุณคิดถึงที่นี่เมื่อกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงกังวาน แสงพงษ์ยกดอกจำปีป่าในมือขึ้นหอมเบาๆ ทอดมองแผ่นหลังแบบบางนั้นเดินจากไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*จำปีป่า
ชื่อวิยาศาสตร์ Paramichelia baillonii (Pierre) Hu
ชื่อวงศ์ MAGNOLIACEAE
ชื่อเรียกอื่น จำปาป่า จุมปี
ลักษณะ ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 40 ม. มีหมวกยอด กิ่งอ่อรมีรูระบายอากาศชัดเจน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมรี กว้าง 5.8-8 ซม. ยาว 15-22 ซม. โคนใบมนสอบ ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 2.5-3.5 ซม. ดอกสีขาวนวล กลิ่นหอมเย็น เมื่อตูมรูปรี กว้าง 0.5-0.6 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. กลีบดอกประมาณ 14-18 กลีบ รูปขอบขนาน ส่วนโคนเรียวปลายแหลม ผลเป็นผลกลุ่ม ลักษณะเป็นก้อน รูปกลมรี ผิวมีจุดระบายอากาศทั่วไป กว้าง 4.5 ซม. ยาว 7 ซม. เปลือกหนา ภายในมีแกนชูรังไข่คล้ายก้างปลา เมล็ดสีแดงสด
การกระจายพันธุ์ จากอินเดีย พม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ตามป่าดิบเขาและป่าดิบแล้ง
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่างๆ
//แหล่งข้อมูล หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden
ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๑ จำปีป่า
เสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้ว สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะร่างกาย พฤกษายืนต้นตระหง่านตา ทิวหมอกขาวโพลนลอยอยู่เหนือภูผาน้อยใหญ่ที่ลดหลั่นเรียงราย ทิวทัศน์บนผาเวิ้งเหวช่างงดงามเหลือเกิน...
“พงษ์ยังไม่กลับอีกเหรอคะ...” เสียงหนึ่งร้องทักขึ้น ฉุดดึงให้แสงพงษ์ออกจากภวังค์นั้น กิ่งแก้ว เพื่อนร่วมงานสาวยืนกอดอกผายยิ้มอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม
แสงพงษ์ยิ้มกริ่มหลังเปิดเปลือกตา “เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะครับ แค่นั่งพักสายตานิดหน่อย”
กิ่งแก้วพยักหน้าเนิบนาบ ก่อนผินหน้าไปยังกระถางดอกไม้อันเล็กที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะทำงานแสงพงษ์ “เมื่อไหร่จะบานซักทีคะเนี่ย กล้วยไม้ป่าของคุณ” เธอลากเสียงเป็นเชิงประชด เพราะเห็นชายหนุ่มเพียรดูแลเช้าเย็น สนใจเจ้าดอกไม้พวกนี้มากกว่าคนพิเศษอย่างเธอเสียอีก
“ต้นเดือนหน้าก็คงจะบานแล้วหละครับ ทำไงได้ มันไม่ได้อยู่ในป่า ก็อาจจะบานช้าหน่อย” ชายหนุ่มอมยิ้ม ใบหน้าสีแทนหล่อเหลายิ่งดูมีเสน่ห์ พลอยทำให้กิ่งแก้วอดยิ้มตามด้วยเวลาเห็นเขามีความสุข
“เอ้อ... แล้วเรื่องที่จะไปเที่ยวสุดสัปดาห์นี้ว่ายังไงคะพงษ์ ตกลงว่าจะมีใครไปบ้าง ยังไงแก้วก็เชียร์ภูกระดึงเหมือนเดิมนะคะ” กิ่งแก้วถามถึงทริปสุดสัปดาห์นี้ ที่เธอกับเพื่อนสนิทรวมทั้งแสงพงษ์ได้เกริ่นกันไว้นานแล้ว
“แต่ยัยแพรบอกว่าอยากไปผาเวิ้งเหวมาก พี่เองก็ไม่อยากขัดเสียด้วยสิ กิ่งเองก็ยังไม่เคยไปไม่ใช่เหรอ” เขาหมายถึงสายแพรผู้เป็นน้องสาว ซึ่งอายุห่างกันสามปี สายแพรเพิ่งเรียนจบและทำงานในบริษัทใกล้ๆ กันกับเขา ในทุกปีเขาและเพื่อนๆ จะต้องจัดทริปไปท่องเที่ยวอยู่เสมอ แต่ปีนี้สายแพรอ้อนเขาไว้แต่เนิ่นๆ ว่าอยากไปตั้งแคมป์และนอนดูดาวกัน
“กิ่งไม่เคยไปก็จริงค่ะ แต่จากที่เคยได้ยินมาผานั่นตั้งอยู่ในป่าลึกไม่ใช่เหรอคะ ต้องเดินเท้าเข้าไปหลายกิโลฯ และเหมือนว่าเมื่อสองสามปีที่แล้วมีข่าวว่ามีคนพลัดตกหน้าผาลงไปด้วย”
คำพูดสุดท้ายของกิ่งแก้วทำให้ชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลง ภาพนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในห้วงคำนึง ถึงแม้แสงพงษ์จะพยายามลบมันให้ออกจากหัวมานับร้อยครั้งก็ตาม คืนนั้น เขาเห็น เห็นผู้หญิงคนนั้น กระโดดหน้าผาลงไปต่อหน้าต่อตา...
“พงษ์... เป็นอะไรรึเปล่า” กิ่งแก้วสะกิดที่ไหล่ชายหนุ่มเบาๆ พอรู้สึกตัว แสงพงษ์ก็เสยิ้มกลบเกลื่อน ลุกจากเก้าอี้และคว้ากระเป๋าสะพายสีดำใบย่อม
“กลับกันเถอะครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“เขาว่ากันว่า ป่าดงพญาเย็นเนี่ยนะคะ สมัยก่อนเรียกว่าดงพญาไฟ ฟังดูน่ากลัวดีนะคะพี่พงษ์ เห็นว่าก่อนจะสร้างทางรถไฟ ไม่ค่อยมีใครกล้าผ่านป่าดงพญาไฟเท่าไหร่ ด้วยที่ว่าเป็นป่ารกทึบเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ ทั้งไข้ป่าและภูตผีปีศาจที่คอยรังควาน ถึงขนาดตอนที่สร้างทางรถไฟสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ก็ยังมีคนล้มตายไปไม่น้อย...” สายแพรร่ายยาวขณะเดินถือจานสลัดผลไม้มายังโต๊ะรับประทานอาหารที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง แสงพงษ์ที่อยู่ในชุดนอนถือแก้วนมอุ่นๆ ทรุดนั่งลงบนโซฟาในมุมห้องนั่งเล่น
“รู้อย่างนี้แล้วก็ยังจะอยากไปอีกนะ สมัยก่อนน่ะมีอันตรายสารพัด ทั้งจากสัตว์ร้าย ไข้ป่า ภูตผีปีศาจแล้วก็ไหนจะพวกโจรป่าที่ใช้ป่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังอีก พี่กิ่งเขาฝากมาถาม ว่าแพรจะเปลี่ยนใจไปภูกระดึงแทนผาเวิ้งเหวรึเปล่า”
“โถ่พี่พงษ์ ภูกระดึงแพรเพิ่งไปมาเมื่อปีที่แล้วเองนะคะ ที่นั่นนักท่องเที่ยวเยอะจะตายไป ก็พี่พงษ์บอกว่าที่ผาเวิ้งเหวคนน้อยกว่าที่อื่นมาก และพี่พงษ์ก็รู้นิสัยแพรดีว่ายังไงแพรก็จะไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ เด็ดขาด ไม่รู้สิคะ...ไม่รู้ว่าทำไมแพรถึงอยากไปที่นั่น แพรกับกลุ่มเพื่อนก็เคยไปค้างที่วังน้ำเขียว ที่ทับลานก็ไปมาแล้วนะคะ แต่ยังไม่เคยเข้าไปลึกกว่านั้น เพราะพี่พงษ์น่ะแหละมาพรรณนาซะแพรเห็นภาพ ว่าผาเวิ้งเหวสวยขนาดไหน ยิ่งขึ้นไปลำบากเท่าไหร่แพรก็ยิ่งอยากไป...”
แสงพงษ์สั่นศีรษะน้อยๆ ให้กับความดื้อรั้นของน้องสาว หลังจบบทสนทนาในช่วงค่ำ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องนอน ภายในคอนโดที่อยู่ร่วมกันกลางเมืองหลวง แสงพงษ์มองดูวันที่ในปฏิทินบนโต๊ะ เหลืออีกห้าวันก่อนออกเดินทาง ด้วยนิสัยที่รอบคอบ ชายหนุ่มจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นดูกระเป๋าเดินทางและเสื้อผ้าข้าวของที่จะนำไปเที่ยวในครั้งนี้ จัดเตรียมไว้เสียแต่เนิ่นๆ
แสงพงษ์หยิบเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่พับเก็บอย่างเรียบร้อยออกมาจากตู้ สีดำของมันดูซีดจางลงไปเล็กน้อย ชายหนุ่มเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหวนนึกถึงวันที่เดินทางไปยังผาเวิ้งเหวเมื่อสองปีก่อน แล้วพอคลี่กระเป๋าออกมา มือหนาก็ล้วงเข้าไปสำรวจสภาพภายใน ก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะไปถูกดอกไม้แห้งๆ ดอกหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ในนั้น
แสงพงษ์หยิบมันออกมา กลีบเรียวสวยหยิกงอและแห้งกรอบ เพียงแค่เขาขยำมือมันคงแหลกละเอียดในกำมือเขาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มหวนนึกถึงเหตุการณ์ครานั้น ดอกไม้นี้คงหล่นลงมาใส่กระเป๋า แต่ตอนที่เขากลับมาถึงบ้านและนำเสื้อผ้าข้าวของออกจากกระเป๋าแต่ก็กลับไม่พบมัน... และเมื่อเขายิ่งใช้ความคิด ปิดสองตาลง ปล่อยจิตให้ดิ่งฮวบลงสู่ภวังค์ขณะทอดมองทิวทัศน์บนผาเวิ้งเหว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าก็ลอยหอมอบอวลมาแตะจมูก
“ดอกจำปีป่า...” สี่คำที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มลืมเปลือกตาขึ้น ก่อนได้พบกับหญิงสาวใบหน้ากลมรี มีดวงตาสวยเด่นประดับอยู่บนหน้า ริมฝีปากเผยยิ้มอบอุ่น ผมสีดำมัดไว้ข้างหลัง ในมือถือดอกจำปีป่า
“จำปีป่าเป็นพืชที่พบในป่าดิบเขาต่ำ บนภูเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ประมาณ 1,000 เมตร จนถึง 1,900 เมตรค่ะ สภาพป่ามีเรือนยอดแน่นทึบ มีไม้พื้นล่างหนาแน่นคล้ายคลึงกับป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งบนที่ต่ำ แต่แตกต่างกันในองค์ประกอบของพรรณไม้ นอกจากนี้ยังมีพรรณไม้ในระดับต่ำที่เป็นพรรณไม้เด่น ของป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งขึ้นอยู่ปะปนอยู่ด้วยนะค่ะ”
แสงพงษ์ละสายตาจากดอกไม้บนต้นสูง เผลอเบิกตากว้างอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวยื่นดอกไม้ส่งให้เขา แสงพงษ์ก้มมองดอกจำปีป่าที่รับมาสลับกับมองดูเรือนหน้าหวานละมุน หญิงสาวรูปร่างแบบบางอ่อนช้อย หากแต่มีความรู้เรื่องป่าไม้อย่างเจนจัดจนเขาต้องทึ่ง
“ดิฉันเป็นนักวิชาการป่าไม้ของที่นี่ค่ะ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อยและงานที่อุทยานพอซาลงไปบ้าง เลยมีโอกาสเดินขึ้นมาบนผา ถ้าคุณสงสัยอะไรก็สอบถามดิฉันได้เลยนะคะ ยินดีตอบคำถามทุกอย่าง” แสงพงษ์เนื้อเต้น เลยได้โอกาสถามทุกเรื่องเกี่ยวกับป่าไม้ที่เขายังไม่รู้และอยากรู้ พอคุยได้สักพัก เธอก็ชวนมานั่งยังโขดหินเตี้ยๆ ห่างจากผาราวสิบเมตร
“ผมอิจฉาคุณจัง ได้ทำงานอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ คุณคงมีความสุขมาก” แสงพงษ์เอ่ย สองตายังคงครอบครองใบหน้าหวานละมุลของหญิงสาวข้างกาย
“มันก็ไม่เสมอไปหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ มาบรรจุเป็นข้าราชการที่นี่ใหม่ๆ ก็เซ็งจะแย่เหมือนกัน ก็อย่างที่คุณเห็น มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าเขาลำเนาไพร วันๆ ก็อยู่แต่กับต้นไม้ใบหญ้า แต่พอนึกถึงตอนเรียนวนศาสตร์ ก็ทำให้คิดได้ว่าแท้จริงแล้วนี่แหละคือสิ่งที่เป็นตัวฉัน” เธอหันมายิ้มให้แสงพงษ์ พลันนั้นสายลมอ่อนๆ พัดโชยมาปะทะสองร่างที่นั่งเคียงคู่กันบนผา ภาพทิวเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันตรงหน้า ปอยเมฆขาวๆ ลอยละล่องไปตามสายลม มองเห็นละอองหมอกสีขาวเกาะกลุ่มกันอยู่ตามเรือนยอดของไม้ใหญ่ ธรรมชาติโอบกอดแสงพงษ์จนเขาสุขใจจนล้นปรี่ ยิ่งกว่านั้นยังมีสตรีรูปงามนั่งอยู่เคียงข้าง... ทอดมองทิวทัศน์อันงดงามนั้นไปพร้อมๆ กัน
“ผมชื่อแสงพงษ์... ผมยินดีมากครับที่พบคุณวันนี้ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักผู้หญิงทั้งเก่งและสวย” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เลือดแล่นสูบฉีดเข้ากายหนุ่ม ใช่ว่าเขาจะไม่เคยจีบผู้หญิง แต่ผู้หญิงตรงหน้านี้ทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
“ฉันชื่อทัดดาวค่ะ ยินดีที่ได้พบเช่นเดียวกัน”
“ถ้าคุณทัดดาวไม่รังเกียจ เย็นนี้มาทานอาหารเย็นกับเราที่แคมป์นะครับ เรามีปาร์ตี้เล็กๆ กัน” ทัดดาวอมยิ้ม ก่อนหยัดกายลุกขึ้น ยกสองแขนขึ้นบิดลำตัวแก้เมื่อย ก่อนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
“ขอบคุณสำหรับคำชวนนะคะ เอาไว้คิดดูก่อนนะ แต่ฉันว่าคืนนี้จะออกมานั่งดูดาวที่ผาเวิ้งเหวพอดี อาจจะได้แวะมา” แสงพงษ์ผายยิ้มกว้างอย่างดีใจ ทัดดาวเอื้อมสายตาลงมองดอกจำปีป่าในมือของชายหนุ่ม
“เก็บมันไว้ให้ดีนะคะ จำปีป่าดอกนั้นฉันให้คุณ เอาไว้ดูเวลาคุณคิดถึงที่นี่เมื่อกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงกังวาน แสงพงษ์ยกดอกจำปีป่าในมือขึ้นหอมเบาๆ ทอดมองแผ่นหลังแบบบางนั้นเดินจากไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*จำปีป่า
ชื่อวิยาศาสตร์ Paramichelia baillonii (Pierre) Hu
ชื่อวงศ์ MAGNOLIACEAE
ชื่อเรียกอื่น จำปาป่า จุมปี
ลักษณะ ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 40 ม. มีหมวกยอด กิ่งอ่อรมีรูระบายอากาศชัดเจน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมรี กว้าง 5.8-8 ซม. ยาว 15-22 ซม. โคนใบมนสอบ ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 2.5-3.5 ซม. ดอกสีขาวนวล กลิ่นหอมเย็น เมื่อตูมรูปรี กว้าง 0.5-0.6 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. กลีบดอกประมาณ 14-18 กลีบ รูปขอบขนาน ส่วนโคนเรียวปลายแหลม ผลเป็นผลกลุ่ม ลักษณะเป็นก้อน รูปกลมรี ผิวมีจุดระบายอากาศทั่วไป กว้าง 4.5 ซม. ยาว 7 ซม. เปลือกหนา ภายในมีแกนชูรังไข่คล้ายก้างปลา เมล็ดสีแดงสด
การกระจายพันธุ์ จากอินเดีย พม่าจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ตามป่าดิบเขาและป่าดิบแล้ง
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่างๆ
//แหล่งข้อมูล หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden