ผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน ดาวอังคาร ดาวนาเม็ก จักรวาลคู่ขนาน หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น เด้อครับ
.....................
บุญสมกับมนัส สองเกลอเพื่อนรักนักศึกษา ใช้เวลาช่วงปิดเทอม ไปพักอาศัยอยู่บ้าน ‘ปู่กัน’ กับ ‘ย่าจัน’ ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของบุญสม มนัสเป็นชาวกรุง หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว แต่หลงใหลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบชนบท อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
โดยเฉพาะขนบธรรมเนียม ของภาคอีสาน ซึ่งนับว่าแปลก แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ มีใครบ้างเป็นคนกรุง แต่มาหลงใหลประเพณีอีสานอย่างดื่มด่ำเข้าถึง ไม่เพียงวัฒนธรรมอีสานเท่านั้น เป็นแรงจูงใจ สาวอีสานคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ดึงดูดใจหนุ่มกรุง เข้าทำนอง นางกลางไพร หรือช้างเผือกกลางไพร ไม่ต้องแต่งตัวหวือหวา ไม่ต้องอ้อนคำหวาน เพียงสาวน้อยบ้านนา นุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อยืดราคาถูก ไม่แต่งหน้าทาปาก เข้าวัดเข้าวา เท่านี้ก็พอจะกระชากหัวใจหนุ่มกรุงทั้งหลายแล้ว
จึงไม่แปลก ที่มนัส หนุ่มกรุง จะกล้าประกาศ ต่อหน้าเพื่อน ทุกคนว่า ข้าจะมีเมียเป็นสาวอีสาน เขาจึงพยายามวิ่งตามความฝัน ฝึกฝนตนเอง ให้กินส้มตำ ปลาร้าบอง ข้าวเหนียว ลาบ ก้อย ซกเล็ก อ่อมหอย หมกปลาซิว ลงท้องทุ่งนา อย่างเอาเป็นเอาตาย จะรักสาวอีสานก็ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตของสาวอีสาน สาวในฝัน ของมนัส หนุ่มกรุงผู้ต้องการหลบลี้แสงสีหลากหลาย และสาวงามในกรุง มุ่งหน้าสู่ธรรมชาติแห่งท้องทุ่งนา และความรัก ที่ตั้งใจไว้ เพื่อเข้าถึง แก่นแท้ ของคำว่า ความรัก และคนรัก ที่แท้จริง
อีหล้าเอ้ย....คำแพง คือเสียงเรียกร้องในหัวใจ อยากฟังคำจริงใจของสาวอีสาน อ้ายเอ้ย...น้องฮักอ้ายหลาย เด้อ จ้า.....แค่คิด จิตใจของมนัส หนุ่มกรุง ก็แทบล่องลอย มลายไปกับความฝันเพริศแพร้วพิสดาร สาวอีสานน่ารักที่สุดในจักรวาล
เพียงความฝัน ยังไม่เป็นจริง
มนัสต้องค้นหาตัวเอง หาหัวใจ หาคนรัก หาจิตวิญญาณ ของตัวเอง ต่อไป
ข่าวว่าช่วงนี้ในตัวอำเภอมีงานวัด จัดกันเจ็ดวันเจ็ดคืน ทำให้มนัส หนุ่มกรุง สนใจเป็นพิเศษ ต่างจากบุญสม ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น เขาไม่ค่อยสนใจมากนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของสหาย ที่พร่ำว่าจะเจอนางในฝัน สาวอีสานรอรัก จึงตกลงรับปากว่าจะพาไปเที่ยว เพราะงานที่จัด เป็นงานใหญ่ประจำปีของอำเภอ มีทั้ง ชิงช้าสวรรค์ รถไต่ถัง ม้าหมุน เมียงู สาวน้อยตกน้ำ บ้านผี บ้านกระสือผีกระหัง ยิงปืนลม หุ่นหยอดเหรียญ มายากล หนังกลางแปลง ของเล่นเด็ก อาหารการกิน สารพัดแห่งความสนุก ความบันเทิงราคาชาวบ้าน ไม่แพง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างพากันรอคอย
บ้านปู่ย่าของบุญสม อยู่ห่างจากตัวอำเภอสิบกว่ากิโลเมตร รถประจำทางระหว่างตำบลวิ่งไม่ถึง เพราะเส้นทางเข้าหมู่บ้าน มีช่วงหนึ่งเป็นทางเกวียนเล็ก ๆ ต้องเดินด้วยเท้าลัดเลาะไปตามไร่นาป่าโปร่ง แต่ไม่ใช่ปัญหา บุญสมพอที่จะคุ้นเคยกับเส้นทางดังกล่าว ทั้งคืนนี้ ยังมีหนุ่ม ๆ วัยใกล้เคียงกันในหมู่บ้านอีกหลายคน รวมตัวเดินทางไปเที่ยวงานด้วยกัน ทั้งหมดจึงตกลง นัดแนะกันว่า จะเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายแก่ๆ กะว่าไปถึงงานวัดก็ค่ำพอดี เพราะการเที่ยวงานวัดในสนุกได้บรรยากาศจริง ๆ ต้องเที่ยวเวลากลางคืน
บ่ายแก่ ๆ ของวันนั้น สองเกลอกับกลุ่มชาวบ้านซึ่งเป็นหนุ่มรุ่นอีกสี่ห้าคน พากันเดินลัดเลาะผ่านเทือกสวนไร่นาป่าโปร่ง ไปยืนรอรถสองแถวประจำทาง ระหว่างตำบล แล้วโหนรถเข้าไปในตัวอำเภอ ไปถึงวัดจัดงานก็เย็นย่ำค่ำพอดี บรรยากาศงานวัดสนุกสนานกำลังจะเริ่มขึ้น พอถึงบริเวณงาน หนุ่ม ๆ ชาวบ้านที่ร่วมเดินทางมาด้วย ก็แยกย้ายกันไปเที่ยว ตามอัชฌาสัยของแต่ละกลุ่มแต่ละคน นัดหมายเวลาขึ้นรถสองแถว หลังจากเที่ยวงานให้เรียบร้อย เพื่อจะไม่ได้ตกรถ จนต้องนอนตามศาลาวัด หรือบ้านญาติพี่น้อง
งานวัด เป็นศูนย์รวมแห่งความบันเทิงกลางแจ้ง จัดกันยาวต่อเนื่องหลายวัน บรรยากาศรื่นเริง เต็มไปด้วยแสงสีความคึกคักของกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ชิงช้าสวรรค์ พระเอกของงาน ที่บุญสมและมนัส เสียเงินพากันขึ้นไปนั่งรับลมเย็นด้านบนชมบรรยากาศ ตั้งหลายรอบ ส่วน ม้าหมุน สองหนุ่มก็ได้แต่ได้ยืนดูเด็ก ๆ เล่นกัน ที่ไม่พลาดเลยคือ ซุ้มยิงปืนอัดลม ประลองความแม่น ยิงโดนจะได้ดูลิงตีฉิ่ง มีวงดนตรี และ หนังกลางแปลง ที่ฉายกันโต้รุ่ง หิวก็มีร้านอาหารบริการเพียบ
มนัส ท่าทางสนใจ 'ซุ้มเมียงู' เป็นพิเศษ ถามบุญสมว่า ทำไมคนถึงเป็นเมียงูได้ มันอยู่ด้วยกันได้เหรอ บุญสมได้แต่อมยิ้ม แล้วบอกให้มนัสเข้าไปดูเอง มันอธิบายยาก ส่วนเขาเห็นหลายครั้งแล้ว ขอรอข้างนอก หลังจากเข้าไปดูเมียงู มนัสก็เดินออกมาจากซุ้ม พร้อมกับผู้ชายคนอื่น ๆ มนัสเกาหัวแกรก ๆ ใบหน้าแสดงความพิศวงสงสัยว่า มันเมียงูตรงไหนวะ...ไม่เห็นมีงูสักตัว บุญสมได้แต่หัวเราะ แล้วบอกว่า ก็งูบนหัวคนดูนั่นยังไง ถ้ายังไม่พอใจ ยังมี นางในดอกบัว มีแต่หัวตัวไม่มี นางเงือกขาเป็นปลา นางกองกอยป่า ให้ดูอีก แน่นอนว่า มนัสย่อมสนใจของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไหน ๆ เมียงู ก็ดูมาแล้ว ควรจะดูอย่างอื่นต่ออีกสักนิด แล้วขอตัวเข้าไปดู นางในดอกบัว และนางเงือก หลังจากนั้น บุญสมที่รออยู่ข้างนอกซุ้ม ก็หัวเราะเพื่อน ที่คราวนี้เดินออกมาแบบหน้ามุ่ย พึมพำ อยู่แต่คำว่า คุณหลอกดาว... คุณหลอกดาว..
บุญสมเสนอว่า ยังมี คนสองหัว กับบ้านกระสือ อยู่อีกฟาก ดูอีกไหม มนัสโบกมือปฏิเสธ บอกว่าแค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ไปเล่น สาวน้อยตกน้ำ ยังจะดีเสียกว่า
สองเกลอพากันเที่ยวงานวัดอย่างเพลิดเพลิน จนแทบลืมเวลาที่นัดหมายกันไว้เลยทีเดียว
แต่เมื่อมายังที่นัดหมาย ก็พบว่าพวกหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านที่ร่วมทางมาด้วย เหลือกันอยู่เพียงสองคน แถมยังบอกว่า จะไม่กลับด้วยเพราะเจอเพื่อนเก่า จะพากันไปดื่มกินบ้านเพื่อนต่อและนอนค้างบ้านเพื่อน ที่มารอก็เพื่อจะบอกสองหนุ่มว่า ไม่ต้องรอไม่ต้องห่วง พากันขึ้นรถกลับกันได้ พรุ่งนี้เช้าให้ช่วยไปส่งข่าวบอกทางบ้านให้ด้วย
เป็นอันว่า นอกจากจะกลับกันเอง เพียงสองคนแล้ว ยังต้องเป็นภาระ ไปส่งข่าวให้เพื่อนบ้านอีกต่างหาก
ขากลับ สองหนุ่มโหนรถสองแถวตามเคย ผู้โดยสารแน่นขนัด แวะลงทางแยกที่จะมุ่งหน้าเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน โดยหวังว่าจะมีคนหมู่บ้านใกล้เคียง ลงรถมาเป็นเพื่อน แต่ไม่มีใครเลยจะลงมาเป็นเพื่อนร่วมทาง รถโดยสารเที่ยวสุดท้ายของคืนนั้น พาผู้โดยสารที่เหลือ เดินทางต่อไปยังตำบลข้างหน้า
ไม่มีทางเลือก สองหนุ่มต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในระยะทางสองสามกิโลเมตร ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง คืนนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง มองเห็นเส้นทางชัดเจน มากันสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวล มนัสพกไฟฉายขนาดเล็กติดกระเป๋ากางเกงมาด้วย แต่เห็นว่าแสงจันทร์สว่างพอ จึงไม่ใช้ไฟฉายให้เปลืองถ่าน ทั้งสองเดินคู่กันไป เพราะไม่มีใครอยากเดินตามหลัง และก็ไม่มีใครอยากเดินนำหน้าเช่นกัน
เส้นทางเกวียนขรุขระ ลัดเลาะไปตามแนวไม้ป่าโปร่ง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน สำหรับบุญสมแล้วคุ้นเคยพอสมควร เพราะไปมาหาสู่บ้านปู่บ้านย่าบ่อย แต่นั่นเป็นเวลากลางวัน พอตกกลางคืน บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิม ข้างทางเงียบและวังเวง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่าเส้นทางมันค่อย ๆ แปลกหูแปลกตา มากขึ้นทีละน้อย
บุญสมเริ่มคิดถึงคำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เคยเล่าให้ฟังว่าเวลากลางคืน บางทีมี ‘ทางผีผ่าน’ มันอาจจะมาซ้อนทับ กับเส้นทางของมนุษย์ บุญสมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อต้องมาเดินอยู่ในเส้นทางปล่าวเปลี่ยวเงียบเหงาวังเวง ทำให้อดคิดถึงเรื่องเล่าปรำปราไม่ได้
ทางเกวียน ดูเหมือนจะแคบเข้า สองข้างทางสภาพป่าหญ้าดูรกร้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ป่าโปร่งข้างทาง ดูเหมือนจะเริ่มรกครึ้มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ในที่สุดทางเกวียนก็กลายเป็นทางเดินเล็ก ๆ พอให้คนเดินเรียงแถวได้ทีละคน แสงจันทร์เริ่มถูกบดบังด้วยใบไม้กิ่งไม้ ไม่ต่างจากทางเดินเข้าไปในป่าลึก
มนัส สังเกตเห็นความผิดปกติระยะหนึ่งแล้ว จึงบอกให้เพื่อนหยุดเดิน เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเดินถูกทาง บุญสมเองก็ถึงกับยืนงง เพราะมั่นใจว่า ไม่ได้เดินหลงออกนอกเส้นทางแน่นอน แต่ทำไมเส้นทางไม่เหมือนเดิม มันไม่น่าเป็นไปได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจ พากันเดินย้อนกลับไปทางเดิม กะว่าไปตั้งหลักใหม่ตรงจุดลงรถ ยอมเสียเวลาเดินกลับใหม่อีกรอบ คราวนี้จะสังเกตเส้นทางใหม่ให้ถี่ถ้วนว่า พลาดตรงไหน
แต่เมื่อทั้งสองเดินย้อนกลับ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาหยกๆ สภาพแปลกหูแปลกตา ไม่เหมือนเดิม อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็แค่เดินย้อนกลับ ไม่น่ามีปัญหา ต้นไม้ข้างทางดูเหมือนจะยืนต้นเรียงถี่มากขึ้น กิ่งไม้ใบไม้เริ่มบดบังแสงจันทร์เป็นระยะๆ จนมนัสต้องดึงไฟฉายออกมาใช้งาน พลางตั้งข้อสงสัยว่า หรือพวกเราจะพลาด เดินข้าม เครือเถาหลง หรือผ่านดงบังบด เข้าให้แล้ว
ทั้งบุญสมและมนัส เคยฟังเรื่องราวของ 'เครือเถาหลง' มาก่อน ย่าจันเคยเล่าให้ฟังว่า เครือเถาหลง หรือเครือเขาหลง เป็นเถาวัลย์ไม้ชนิดหนึ่ง มักพบเจออยู่ในป่าลึก สาเหตุที่ได้ชื่ออย่างนี้ ก็เพราะเชื่อกันว่า ถ้าหากคนหรือสัตว์ เผลอไปเดินข้าม ก็จะเกิดอาการหลงป่า แม้กระทั่ง นก ที่บินผ่านต้นเครือเถาหลง ก็จะหลงอยู่ที่ต้นไม้นั่นเอง ไปไหนไม่ได้ และตกลงมาตาย ว่ากันว่า ใต้ร่มเงาต้นเครือเขาหลง เต็มไปด้วยซากสัตว์
บุญสม ฟังเพื่อนพูดถึง เครือเถาหลง ก็อดใจหายไม่ได้ แต่ยังค้านว่า เครือเถาหลง ดงบังบด อยู่ในป่าลึก ไม่ใช่ป่าหญ้าป่าเบญจพรรณแบบแถวบ้านเรา เลยถูกมนัสย้อนเอาว่าถ้าไม่ใช่ เครือเถาหลงดงบังบด จะเป็นอะไร บุญสมได้แต่ อึ้ง ไปสักครู่แล้วพูดเหมือนนึกขึ้นได้ว่า ยุ่งละ วันนี้วันพระ ลืมไปเลย... ไม่น่ามาเที่ยวคืนนี้เลย รอวันพรุ่งนี้ก็ได้
มนัสฟังแล้วบ่นอุบว่ามาพูดตอนนี้ทำไม คนยิ่งกลัว ๆ อยู่ เพราะเขาก็เคยฟังมาว่า วันพระ เป็นวันปล่อยของ ปล่อยผี ของผู้ศึกษาไสยศาสตร์มนต์ดำ ภูตผีปีศาจจะมีพลังแก่กล้ามากขึ้นกว่าปกติ
ขณะพากันเดินแบบวิตกกังวลใจอยู่นั้น บุญสมก็ดึงมือเพื่อนให้หยุดเดิน เมื่อเห็นแสงไฟวับแวมอยู่ข้างทางด้านหน้า บริเวณทางเลี้ยวผ่านดงไผ่ ลักษณะของแสงไฟไม่ได้กวัดแกว่งเหมือนแสงไฟคนถือตะเกียง เพราะมันค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากข้างทางเป็นแนวตรง
มนัสรีบดับไฟฉาย บอกเพื่อนว่า ไม่ไว้ใจแสงไฟที่กำลังเคลื่อนออกมาจากแนวป่าข้างทาง มันดูแปลก ๆ ถ้าเป็นผีโพงผีป่า มันจะได้มองไม่เห็นเรา จะได้อาศัยความมืดหลบซ่อนตัว ซึ่งบุญสมก็เห็นด้วย ทั้งสองค่อย ๆ เดินไปอย่างระมัดระวัง พยายามหลบอยู่ในเงามืดของกิ่งไม้ใบไม้ ด้วยอาการหัวใจเต้นระทึก
กระทั่งเข้าไปใกล้ตำแหน่งของแสงไฟ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกมาจากข้างทาง จึงเห็นว่า เป็นแสงจากตะเกียงดวงหนึ่ง วางอยู่บนเกวียนเทียมควายสองตัว มุ่งหน้าออกมาจากสามแยกทางเกวียน สองหนุ่มแน่ใจว่า ไม่เคยเห็นว่ามีทางเกวียนสามแพร่งแยกไปไหนเลย แม้จะแปลกใจปานใด แต่สองหนุ่มก็สะกดใจ ยืนซุ่มอยู่ด้านข้างต้นรังข้างทาง เห็นเกวียนเล่มนั้นเลี้ยวซ้ายไปทางตรง ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่สองเกลอจะต้องเดินผ่านไปพอดี
เสียงมนัสพูดเบา ๆ ว่า มันไปทางเดียวกับเราด้วย
บุญสมไม่พูดอะไร แต่ลากแขนมนัส เดินตามเกวียนเล่มนั้นไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง รักษาระยะห่างไว้พอประมาณ เพราะไม่มีทางเส้นทางอื่นให้หลบเลี่ยงได้
.
ผี......เรียกศพ 1/2
ผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน ดาวอังคาร ดาวนาเม็ก จักรวาลคู่ขนาน หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น เด้อครับ
.....................
บุญสมกับมนัส สองเกลอเพื่อนรักนักศึกษา ใช้เวลาช่วงปิดเทอม ไปพักอาศัยอยู่บ้าน ‘ปู่กัน’ กับ ‘ย่าจัน’ ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของบุญสม มนัสเป็นชาวกรุง หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว แต่หลงใหลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบชนบท อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
โดยเฉพาะขนบธรรมเนียม ของภาคอีสาน ซึ่งนับว่าแปลก แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ มีใครบ้างเป็นคนกรุง แต่มาหลงใหลประเพณีอีสานอย่างดื่มด่ำเข้าถึง ไม่เพียงวัฒนธรรมอีสานเท่านั้น เป็นแรงจูงใจ สาวอีสานคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ดึงดูดใจหนุ่มกรุง เข้าทำนอง นางกลางไพร หรือช้างเผือกกลางไพร ไม่ต้องแต่งตัวหวือหวา ไม่ต้องอ้อนคำหวาน เพียงสาวน้อยบ้านนา นุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อยืดราคาถูก ไม่แต่งหน้าทาปาก เข้าวัดเข้าวา เท่านี้ก็พอจะกระชากหัวใจหนุ่มกรุงทั้งหลายแล้ว
จึงไม่แปลก ที่มนัส หนุ่มกรุง จะกล้าประกาศ ต่อหน้าเพื่อน ทุกคนว่า ข้าจะมีเมียเป็นสาวอีสาน เขาจึงพยายามวิ่งตามความฝัน ฝึกฝนตนเอง ให้กินส้มตำ ปลาร้าบอง ข้าวเหนียว ลาบ ก้อย ซกเล็ก อ่อมหอย หมกปลาซิว ลงท้องทุ่งนา อย่างเอาเป็นเอาตาย จะรักสาวอีสานก็ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตของสาวอีสาน สาวในฝัน ของมนัส หนุ่มกรุงผู้ต้องการหลบลี้แสงสีหลากหลาย และสาวงามในกรุง มุ่งหน้าสู่ธรรมชาติแห่งท้องทุ่งนา และความรัก ที่ตั้งใจไว้ เพื่อเข้าถึง แก่นแท้ ของคำว่า ความรัก และคนรัก ที่แท้จริง
อีหล้าเอ้ย....คำแพง คือเสียงเรียกร้องในหัวใจ อยากฟังคำจริงใจของสาวอีสาน อ้ายเอ้ย...น้องฮักอ้ายหลาย เด้อ จ้า.....แค่คิด จิตใจของมนัส หนุ่มกรุง ก็แทบล่องลอย มลายไปกับความฝันเพริศแพร้วพิสดาร สาวอีสานน่ารักที่สุดในจักรวาล
เพียงความฝัน ยังไม่เป็นจริง
มนัสต้องค้นหาตัวเอง หาหัวใจ หาคนรัก หาจิตวิญญาณ ของตัวเอง ต่อไป
ข่าวว่าช่วงนี้ในตัวอำเภอมีงานวัด จัดกันเจ็ดวันเจ็ดคืน ทำให้มนัส หนุ่มกรุง สนใจเป็นพิเศษ ต่างจากบุญสม ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น เขาไม่ค่อยสนใจมากนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของสหาย ที่พร่ำว่าจะเจอนางในฝัน สาวอีสานรอรัก จึงตกลงรับปากว่าจะพาไปเที่ยว เพราะงานที่จัด เป็นงานใหญ่ประจำปีของอำเภอ มีทั้ง ชิงช้าสวรรค์ รถไต่ถัง ม้าหมุน เมียงู สาวน้อยตกน้ำ บ้านผี บ้านกระสือผีกระหัง ยิงปืนลม หุ่นหยอดเหรียญ มายากล หนังกลางแปลง ของเล่นเด็ก อาหารการกิน สารพัดแห่งความสนุก ความบันเทิงราคาชาวบ้าน ไม่แพง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างพากันรอคอย
บ้านปู่ย่าของบุญสม อยู่ห่างจากตัวอำเภอสิบกว่ากิโลเมตร รถประจำทางระหว่างตำบลวิ่งไม่ถึง เพราะเส้นทางเข้าหมู่บ้าน มีช่วงหนึ่งเป็นทางเกวียนเล็ก ๆ ต้องเดินด้วยเท้าลัดเลาะไปตามไร่นาป่าโปร่ง แต่ไม่ใช่ปัญหา บุญสมพอที่จะคุ้นเคยกับเส้นทางดังกล่าว ทั้งคืนนี้ ยังมีหนุ่ม ๆ วัยใกล้เคียงกันในหมู่บ้านอีกหลายคน รวมตัวเดินทางไปเที่ยวงานด้วยกัน ทั้งหมดจึงตกลง นัดแนะกันว่า จะเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายแก่ๆ กะว่าไปถึงงานวัดก็ค่ำพอดี เพราะการเที่ยวงานวัดในสนุกได้บรรยากาศจริง ๆ ต้องเที่ยวเวลากลางคืน
บ่ายแก่ ๆ ของวันนั้น สองเกลอกับกลุ่มชาวบ้านซึ่งเป็นหนุ่มรุ่นอีกสี่ห้าคน พากันเดินลัดเลาะผ่านเทือกสวนไร่นาป่าโปร่ง ไปยืนรอรถสองแถวประจำทาง ระหว่างตำบล แล้วโหนรถเข้าไปในตัวอำเภอ ไปถึงวัดจัดงานก็เย็นย่ำค่ำพอดี บรรยากาศงานวัดสนุกสนานกำลังจะเริ่มขึ้น พอถึงบริเวณงาน หนุ่ม ๆ ชาวบ้านที่ร่วมเดินทางมาด้วย ก็แยกย้ายกันไปเที่ยว ตามอัชฌาสัยของแต่ละกลุ่มแต่ละคน นัดหมายเวลาขึ้นรถสองแถว หลังจากเที่ยวงานให้เรียบร้อย เพื่อจะไม่ได้ตกรถ จนต้องนอนตามศาลาวัด หรือบ้านญาติพี่น้อง
งานวัด เป็นศูนย์รวมแห่งความบันเทิงกลางแจ้ง จัดกันยาวต่อเนื่องหลายวัน บรรยากาศรื่นเริง เต็มไปด้วยแสงสีความคึกคักของกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ชิงช้าสวรรค์ พระเอกของงาน ที่บุญสมและมนัส เสียเงินพากันขึ้นไปนั่งรับลมเย็นด้านบนชมบรรยากาศ ตั้งหลายรอบ ส่วน ม้าหมุน สองหนุ่มก็ได้แต่ได้ยืนดูเด็ก ๆ เล่นกัน ที่ไม่พลาดเลยคือ ซุ้มยิงปืนอัดลม ประลองความแม่น ยิงโดนจะได้ดูลิงตีฉิ่ง มีวงดนตรี และ หนังกลางแปลง ที่ฉายกันโต้รุ่ง หิวก็มีร้านอาหารบริการเพียบ
มนัส ท่าทางสนใจ 'ซุ้มเมียงู' เป็นพิเศษ ถามบุญสมว่า ทำไมคนถึงเป็นเมียงูได้ มันอยู่ด้วยกันได้เหรอ บุญสมได้แต่อมยิ้ม แล้วบอกให้มนัสเข้าไปดูเอง มันอธิบายยาก ส่วนเขาเห็นหลายครั้งแล้ว ขอรอข้างนอก หลังจากเข้าไปดูเมียงู มนัสก็เดินออกมาจากซุ้ม พร้อมกับผู้ชายคนอื่น ๆ มนัสเกาหัวแกรก ๆ ใบหน้าแสดงความพิศวงสงสัยว่า มันเมียงูตรงไหนวะ...ไม่เห็นมีงูสักตัว บุญสมได้แต่หัวเราะ แล้วบอกว่า ก็งูบนหัวคนดูนั่นยังไง ถ้ายังไม่พอใจ ยังมี นางในดอกบัว มีแต่หัวตัวไม่มี นางเงือกขาเป็นปลา นางกองกอยป่า ให้ดูอีก แน่นอนว่า มนัสย่อมสนใจของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไหน ๆ เมียงู ก็ดูมาแล้ว ควรจะดูอย่างอื่นต่ออีกสักนิด แล้วขอตัวเข้าไปดู นางในดอกบัว และนางเงือก หลังจากนั้น บุญสมที่รออยู่ข้างนอกซุ้ม ก็หัวเราะเพื่อน ที่คราวนี้เดินออกมาแบบหน้ามุ่ย พึมพำ อยู่แต่คำว่า คุณหลอกดาว... คุณหลอกดาว..
บุญสมเสนอว่า ยังมี คนสองหัว กับบ้านกระสือ อยู่อีกฟาก ดูอีกไหม มนัสโบกมือปฏิเสธ บอกว่าแค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ไปเล่น สาวน้อยตกน้ำ ยังจะดีเสียกว่า
สองเกลอพากันเที่ยวงานวัดอย่างเพลิดเพลิน จนแทบลืมเวลาที่นัดหมายกันไว้เลยทีเดียว
แต่เมื่อมายังที่นัดหมาย ก็พบว่าพวกหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านที่ร่วมทางมาด้วย เหลือกันอยู่เพียงสองคน แถมยังบอกว่า จะไม่กลับด้วยเพราะเจอเพื่อนเก่า จะพากันไปดื่มกินบ้านเพื่อนต่อและนอนค้างบ้านเพื่อน ที่มารอก็เพื่อจะบอกสองหนุ่มว่า ไม่ต้องรอไม่ต้องห่วง พากันขึ้นรถกลับกันได้ พรุ่งนี้เช้าให้ช่วยไปส่งข่าวบอกทางบ้านให้ด้วย
เป็นอันว่า นอกจากจะกลับกันเอง เพียงสองคนแล้ว ยังต้องเป็นภาระ ไปส่งข่าวให้เพื่อนบ้านอีกต่างหาก
ขากลับ สองหนุ่มโหนรถสองแถวตามเคย ผู้โดยสารแน่นขนัด แวะลงทางแยกที่จะมุ่งหน้าเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน โดยหวังว่าจะมีคนหมู่บ้านใกล้เคียง ลงรถมาเป็นเพื่อน แต่ไม่มีใครเลยจะลงมาเป็นเพื่อนร่วมทาง รถโดยสารเที่ยวสุดท้ายของคืนนั้น พาผู้โดยสารที่เหลือ เดินทางต่อไปยังตำบลข้างหน้า
ไม่มีทางเลือก สองหนุ่มต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในระยะทางสองสามกิโลเมตร ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง คืนนี้แสงจันทร์ส่องสว่าง มองเห็นเส้นทางชัดเจน มากันสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวล มนัสพกไฟฉายขนาดเล็กติดกระเป๋ากางเกงมาด้วย แต่เห็นว่าแสงจันทร์สว่างพอ จึงไม่ใช้ไฟฉายให้เปลืองถ่าน ทั้งสองเดินคู่กันไป เพราะไม่มีใครอยากเดินตามหลัง และก็ไม่มีใครอยากเดินนำหน้าเช่นกัน
เส้นทางเกวียนขรุขระ ลัดเลาะไปตามแนวไม้ป่าโปร่ง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน สำหรับบุญสมแล้วคุ้นเคยพอสมควร เพราะไปมาหาสู่บ้านปู่บ้านย่าบ่อย แต่นั่นเป็นเวลากลางวัน พอตกกลางคืน บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิม ข้างทางเงียบและวังเวง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่าเส้นทางมันค่อย ๆ แปลกหูแปลกตา มากขึ้นทีละน้อย
บุญสมเริ่มคิดถึงคำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เคยเล่าให้ฟังว่าเวลากลางคืน บางทีมี ‘ทางผีผ่าน’ มันอาจจะมาซ้อนทับ กับเส้นทางของมนุษย์ บุญสมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อต้องมาเดินอยู่ในเส้นทางปล่าวเปลี่ยวเงียบเหงาวังเวง ทำให้อดคิดถึงเรื่องเล่าปรำปราไม่ได้
ทางเกวียน ดูเหมือนจะแคบเข้า สองข้างทางสภาพป่าหญ้าดูรกร้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ป่าโปร่งข้างทาง ดูเหมือนจะเริ่มรกครึ้มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ในที่สุดทางเกวียนก็กลายเป็นทางเดินเล็ก ๆ พอให้คนเดินเรียงแถวได้ทีละคน แสงจันทร์เริ่มถูกบดบังด้วยใบไม้กิ่งไม้ ไม่ต่างจากทางเดินเข้าไปในป่าลึก
มนัส สังเกตเห็นความผิดปกติระยะหนึ่งแล้ว จึงบอกให้เพื่อนหยุดเดิน เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเดินถูกทาง บุญสมเองก็ถึงกับยืนงง เพราะมั่นใจว่า ไม่ได้เดินหลงออกนอกเส้นทางแน่นอน แต่ทำไมเส้นทางไม่เหมือนเดิม มันไม่น่าเป็นไปได้ ในที่สุดก็ตัดสินใจ พากันเดินย้อนกลับไปทางเดิม กะว่าไปตั้งหลักใหม่ตรงจุดลงรถ ยอมเสียเวลาเดินกลับใหม่อีกรอบ คราวนี้จะสังเกตเส้นทางใหม่ให้ถี่ถ้วนว่า พลาดตรงไหน
แต่เมื่อทั้งสองเดินย้อนกลับ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาหยกๆ สภาพแปลกหูแปลกตา ไม่เหมือนเดิม อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็แค่เดินย้อนกลับ ไม่น่ามีปัญหา ต้นไม้ข้างทางดูเหมือนจะยืนต้นเรียงถี่มากขึ้น กิ่งไม้ใบไม้เริ่มบดบังแสงจันทร์เป็นระยะๆ จนมนัสต้องดึงไฟฉายออกมาใช้งาน พลางตั้งข้อสงสัยว่า หรือพวกเราจะพลาด เดินข้าม เครือเถาหลง หรือผ่านดงบังบด เข้าให้แล้ว
ทั้งบุญสมและมนัส เคยฟังเรื่องราวของ 'เครือเถาหลง' มาก่อน ย่าจันเคยเล่าให้ฟังว่า เครือเถาหลง หรือเครือเขาหลง เป็นเถาวัลย์ไม้ชนิดหนึ่ง มักพบเจออยู่ในป่าลึก สาเหตุที่ได้ชื่ออย่างนี้ ก็เพราะเชื่อกันว่า ถ้าหากคนหรือสัตว์ เผลอไปเดินข้าม ก็จะเกิดอาการหลงป่า แม้กระทั่ง นก ที่บินผ่านต้นเครือเถาหลง ก็จะหลงอยู่ที่ต้นไม้นั่นเอง ไปไหนไม่ได้ และตกลงมาตาย ว่ากันว่า ใต้ร่มเงาต้นเครือเขาหลง เต็มไปด้วยซากสัตว์
บุญสม ฟังเพื่อนพูดถึง เครือเถาหลง ก็อดใจหายไม่ได้ แต่ยังค้านว่า เครือเถาหลง ดงบังบด อยู่ในป่าลึก ไม่ใช่ป่าหญ้าป่าเบญจพรรณแบบแถวบ้านเรา เลยถูกมนัสย้อนเอาว่าถ้าไม่ใช่ เครือเถาหลงดงบังบด จะเป็นอะไร บุญสมได้แต่ อึ้ง ไปสักครู่แล้วพูดเหมือนนึกขึ้นได้ว่า ยุ่งละ วันนี้วันพระ ลืมไปเลย... ไม่น่ามาเที่ยวคืนนี้เลย รอวันพรุ่งนี้ก็ได้
มนัสฟังแล้วบ่นอุบว่ามาพูดตอนนี้ทำไม คนยิ่งกลัว ๆ อยู่ เพราะเขาก็เคยฟังมาว่า วันพระ เป็นวันปล่อยของ ปล่อยผี ของผู้ศึกษาไสยศาสตร์มนต์ดำ ภูตผีปีศาจจะมีพลังแก่กล้ามากขึ้นกว่าปกติ
ขณะพากันเดินแบบวิตกกังวลใจอยู่นั้น บุญสมก็ดึงมือเพื่อนให้หยุดเดิน เมื่อเห็นแสงไฟวับแวมอยู่ข้างทางด้านหน้า บริเวณทางเลี้ยวผ่านดงไผ่ ลักษณะของแสงไฟไม่ได้กวัดแกว่งเหมือนแสงไฟคนถือตะเกียง เพราะมันค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากข้างทางเป็นแนวตรง
มนัสรีบดับไฟฉาย บอกเพื่อนว่า ไม่ไว้ใจแสงไฟที่กำลังเคลื่อนออกมาจากแนวป่าข้างทาง มันดูแปลก ๆ ถ้าเป็นผีโพงผีป่า มันจะได้มองไม่เห็นเรา จะได้อาศัยความมืดหลบซ่อนตัว ซึ่งบุญสมก็เห็นด้วย ทั้งสองค่อย ๆ เดินไปอย่างระมัดระวัง พยายามหลบอยู่ในเงามืดของกิ่งไม้ใบไม้ ด้วยอาการหัวใจเต้นระทึก
กระทั่งเข้าไปใกล้ตำแหน่งของแสงไฟ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกมาจากข้างทาง จึงเห็นว่า เป็นแสงจากตะเกียงดวงหนึ่ง วางอยู่บนเกวียนเทียมควายสองตัว มุ่งหน้าออกมาจากสามแยกทางเกวียน สองหนุ่มแน่ใจว่า ไม่เคยเห็นว่ามีทางเกวียนสามแพร่งแยกไปไหนเลย แม้จะแปลกใจปานใด แต่สองหนุ่มก็สะกดใจ ยืนซุ่มอยู่ด้านข้างต้นรังข้างทาง เห็นเกวียนเล่มนั้นเลี้ยวซ้ายไปทางตรง ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่สองเกลอจะต้องเดินผ่านไปพอดี
เสียงมนัสพูดเบา ๆ ว่า มันไปทางเดียวกับเราด้วย
บุญสมไม่พูดอะไร แต่ลากแขนมนัส เดินตามเกวียนเล่มนั้นไปช้า ๆ อย่างระมัดระวัง รักษาระยะห่างไว้พอประมาณ เพราะไม่มีทางเส้นทางอื่นให้หลบเลี่ยงได้
.