เรื่องสยองของมัมมี่

มัมมี่รมควัน 



มัมมี่อิบาลอย หรือที่รู้จักกันในชื่อ มัมมี่รมควัน ถูกพบในถ้ำคาบายัน (Kabayan) เมืองเบนเก็ต ประเทศฟิลิปปินส์ มัมมี่เหล่านี้คือสมาชิกของชนเผ่าอิบาลอย นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าน่าจะถูกทำขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1200-1500 (ช่วงที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปน) วิธีการทำมัมมี่ของชนเผ่าอิบาลอย ค่อนข้างแตกต่างกับทุกมัมมี่ที่ถูกค้นพบบนโลก ชนเผ่าอิบาลอยจะทำมัมมี่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ 

คนในชนเผ่าแห่งนี้มีความเชื่อว่า ผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะเป็นมัมมี่เช่นนี้ได้ต้องเป็นหัวหน้าเผ่าเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ถูกทำจะรู้ตัวตั้งแต่ขั้นตอนแรก ตั้งแต่การเตรียมร่างกาย การดื่มสารพิษ การอดอยาก การถูกฆ่า โดยในช่วงที่พวกเขาใกล้จะเสียชีวิต พวกเขาเหล่านั้นจะดื่มน้ำที่ละลายเกลือเข้มข้น ซึ่งน้ำเกลือจะช่วยในการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อเสียชีวิตแล้ว ศพจะถูกชำระล้างและถูกนำเข้าสู่กระบวนการรมควัน แต่หัวใจจะถูกทิ้งไว้ในร่าง พวกเขาเชื่อว่า หัวใจเป็นสิ่งจำเป็นในการนำทางบุคคลนั้นในชีวิตหน้า

จากนั้น ศพจะถูกนำมาวางใกล้กับกองไฟเพื่อทำการรมควัน โดยศพจะไม่ได้สัมผัสกับไฟโดยตรง แต่จะสัมผัสเพียงเปลวไฟอ่อนๆ และกลุ่มควันเท่านั้น โดยในกองไฟจะมีส่วนผสมของสมุนไพรบางอย่างที่ช่วยให้ร่างกายแห้งภายในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น
กระบวนการนี้จะกินระยะเวลายาวนานหลายสัปดาห์ และอาจนานถึงขั้นหลายเดือน และเมื่อเสร็จสิ้นการรมควันจะถูกนำไปบรรจุในถ้ำเพื่อให้คงสภาพเดิมต่อไป

มัมมี่รมควันแห่งคาบายัน ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากกลุ่มนักสำรวจในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 มีการลักขโมยมัมมี่ออกไปจำหน่ายในตลาดมืด หนึ่งในมัมมี่ถูกขโมยชื่อ อาโป อันนู สันนิษฐานจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เชื่อว่าเขาคือหัวหน้าเผ่า ร่องรอยร่างกายผิวหนังที่แห้งกรังแต่ยังปรากฏรอยสัก บ่งบอกได้ว่าเขาคือยอดนักล่าสัตว์ และยังเป็นที่นับถือจากทุกคนในเผ่า

ชนเผ่าอิบาลอยที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าการสูญหายของอาโปนำมาซึ่งความหายนะและภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ความแห้งแล้งไปจนถึงโรคระบาด การค้นพบอาโปและนำกลับมาฝังยังที่ที่คู่ควรแก่เขา จึงนำมาซึ่งความสุข ความยินดีแก่ชนเผ่าอิบาลอยเป็นอย่างมาก

ที่มา : spokedark
Cr.https://www.flagfrog.com/mummy-smoke-cave/ โดย  ManoshFiz
Cr.https://www.catdumb.com/eli-mabel-333/By  อดีตเหมียว (มัมมี่รมควัน ของชนเผ่า Dani )
Cr.http://www.liekr.com/post_146975.html /  (มัมมี่รมควันของชนเผ่า Anga )

หัวใจมัมมี่ของ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 17” 



หัวใจมัมมี่ที่ถูกตรวจสอบทางพันธุศาสตร์แล้วว่า เป็นของลูกชายของมารี อ็องตัวแน็ตจริง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ไม่มีโอกาสที่จะได้นั่งบัลลังก์เลย  เพราะในตอนที่เขาอายุได้เพียง 8 ขวบครอบครัวของเขาก็ถูกทำลายโดยการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1793   ทั้งมารีและหลุยส์ที่ 16 ถูกประหารชีวิตกันไปในฐานะทรราชย์   พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ถูกจับตัวไป และไม่มีใครเห็นเขาอีกตั้งแต่วันนั้น
 
หลังจากวันนั้นหลายปี มีคนจำนวนมากออกมาอ้างตัวว่าพวกเขาคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ที่หายตัวไป  เพราะสายเลือดราชวงศ์โดยตรง จะทำให้ใครก็ตามที่ถูกเชื่อว่าเป็นหลุยส์ที่ 17 จริงๆ จะได้สิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป  แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าทางรัฐนั้น มีคนจำนวนหนึ่งที่ทราบว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เป็นเช่นไร
 
เพราะในวันที่ 8 มิถุนายน 1795 พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ได้เสียชีวิตด้วยโรควัณโรคในอ้อมแขนของผู้คุมของคุกที่ปารีส  ในตอนนั้นรัฐบาลจากคณะปฏิวัติยังเป็นผู้สั่งตรวจสอบร่างของเขาด้วย   หลังจากการชันสูตรเสร็จสิ้น ก่อนที่จะมีการนำศพของเขาไปฝังไว้ที่สุสานของคนธรรมดา  นายแพทย์นามว่า Philippe-Jean Pellatan แอบควักหัวใจของเขาเก็บไว้ เพื่อที่สักวันจะได้นำไปคืนให้กับครอบครัวที่ยังหลงเหลืออยู่

ในขณะที่เหล่าคนออกมาแอบอย่างตัวเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ตัวจริงก็ถูกนำไปทำเป็นหัวใจมัมมี่ และผ่านการเดินทางอันยาวไกลในเวลาต่อมา  จนในที่สุดก็ถูกนำมาเก็บไว้ที่แซ็ง-เดอนี สถานที่ซึ่งพ่อแม่ของเขา หลับไหลอยู่ในปี 2000 นั่นเอง 
ที่มา history
Cr. https://www.catdumb.com/louis-xvii-378/ By เหมียวศรัทธา

 มัมมี่ Screaming Mummy  


ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1886 Gaston Masperro อธิบดีกรมศิลปากรอียิปต์ ได้ทำการเปิดผ้าพันมัมมี่ของฟาโรห์และราชินีกว่า 40 มัมมี่ ออกมาดู ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นมัมมี่ที่พบจากสุสาน ในหุบเขาแดร์ เอลบาห์รี เมื่อปีค.ศ.1881 มัมมี่ที่ถูกค้นพบนี้มีทั้งของฟาโรห์รามเสส ฟาโรห์เซติที่ 1 ฟาโรห์ทัตโมสิสที่ 3
แต่มีมัมมี่เพียงหนึ่งเดียวที่แตกต่างไปจากมัมมี่อื่นๆ มันคือที่มัมมี่โลงศพไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ ไม่ได้มีการจารึกเบาะแสว่าเป็นใคร และเมื่อเปิดโลงดูทุกคนที่พบเห็นก็ต้องตกตะลึงสะพรึงตา เพราะสิ่งที่ใช้พันมัมมี่ตนนี้คือหนังแกะหรือไม่ก็หนังแพะ ถือว่าเป็นวัสดุที่ไม่บริสุทธิ์ตามความเชื่อของการทำมัมมี่ในสมัยโบราณ ที่มีแต่คนที่ไม่บริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะถูกพันด้วยหนังสัตว์

มัมมี่ตนนี้เป็นเพศชาย และมีสีหน้าที่แสดงความเจ็บปวด การที่ไม่มีจารึกใดๆ อาจจะหมายความว่า บุคคลผู้นี้จะต้องถูกสาปแช่งไปตลอดกาล เนื่องจากชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า การบ่งบอกว่ามัมมี่เป็นใครนั้น จะทำให้วิญญาณได้ก้าวเข้าไปสู่ชีวิตหลังความตาย พวกเขาจึงตั้งชื่อมัมมี่ปริศนานี้ว่า "Man E"
 
คณะนักวิทยาศาสตร์ต่างก็ใช้เทคโนโลยีล่าสุด ทั้งซีทีสแกน เอกซเรย์ เทคโนโลยีการสร้างหน้าใหม่ เพื่อสืบดูว่า "Man E" คือใคร  Bob Brier นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Long Island ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมัมมี่มามากมายเชื่อว่า "Man E" น่าจะไม่ตายโดยธรรมชาติ เขาคงจะถูกสังหารด้วยยาพิษและใบหน้าที่แสดงออก น่าจะมาจากความทุกข์ทรมานก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
 
ทั้งมีผู้เชื่อว่า "Man E" คือ เจ้าชาย Pentewere พระโอรสของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ผู้สมคบคิดกับพระมารดาของเขาเองคิดการกบฏ ด้วยการลอบสังหารของฟาโรห์รามเสส แต่ถูกจับได้เสียก่อนจึงได้รับโทษ
ทั้งยังมีผู้เชื่อว่า "Man E" คือผู้ว่าการนครอียิปต์ แต่เสียชีวิตขณะอยู่ต่างแดน มีการนำศพกลับมายังอียิปต์เพื่อทำการฝัง มีผู้เชื่อว่าลักษณะการทำมัมมี่บ่งชี้ว่า "Man E" ไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่เป็นสมาชิกราชวงศ์ฮิตทิต ศัตรูของราชวงศ์อียิปต์โบราณ
 
จากการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาศึกษา "Man E"  ผลการตรวจกรามและฟันระบุว่า เป็นชายอายุไม่เกิน 40 ปี ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจเป็นเจ้าชาย Pentewere และจากการสร้างใบหน้าขึ้นมาใหม่ ทำให้เชื่อว่า "Man E" ไม่น่าจะใช่เจ้าชายจากราชวงศ์ฮิตทิต 
Cr. https://generalmenmen.blogspot.com/2017/03/screaming-mummy.html /  เขียนโดย menmen 

การทำมัมมี่ล้ำยุค
 

เคล็ดลับในการทำมัมมี่ของอียิปต์ คือการใช้เกลือที่เรียกว่า นาตรอน (natron) โดยหลังจากที่แม่น้ำไนล์ท่วมท้นและลดลงแล้ว ก็จะมีหินเกลือตกค้างอยู่ เมื่อนำเกลือยัดใส่ไว้ภายในร่างศพ จะเป็นการเร่งให้เนื้อหนังแห้งเร็วขึ้น และเก็บรักษาไว้ได้นาน  สี่สิบวันหลังจากที่แห้งดีแล้วก็นำมาห่อหุ้มด้วยผ้าลินินยาวนับร้อยหลา ซากศพก็จะคงทนอยู่ได้นานนับพัน ๆ ปี แต่ข้อเสียของการทำมัมมี่แบบอียิปต์ คือ ต้องมีการควักเอาอวัยวะภายในออก แล้วเก็บแยกไว้ในโถที่เรียกว่า คาโนปิก (Canopic Jar)

ต่อมามีการทำมัมมี่ที่ประวัติศาสตร์จารึก ได้แก่ การรักษาศพของ วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ผู้นำรัสเซียซึ่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1924 ด้วยความที่เลนินเป็นรัฐบุรุษที่ยิ่งใหญ่ เหล่านักวิทยาศาสตร์รัสเซียจึงร่วมปรึกษาหาวิธีเก็บศพของเขาไว้ให้เป็นที่เคารพแก่คนรุ่นหลัง และด้วยวิธีการอันทันสมัย ศพของเลนินจึงยังคงสภาพประหนึ่งครั้งยังมีชีวิตอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วถึง 86 ปี ก็ตาม

ในปัจจุบัน การทำมัมมี่ได้กลับมาเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้งด้วยวิธีการที่เรียกว่า พลาสติเนชั่น (Plastination) ซึ่งผู้ที่คิดค้นวิธีนี้ คือนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนามว่า กุนเธอร์ ฟอน ฮาเกนส์ (Gunther von Hagens) โดยอาศัยหลักการใหญ่ ๆ ด้วยการขจัดน้ำและไขมันออกจากซากศพ แล้วแทนที่ด้วยพลาสติก

ปี 1965 ฮาเกนส์ เข้าศึกษาแพทย์ นอกจากผลการเรียนจะดีเด่น เขายังสนใจด้านวัฒนธรรมและการรักษาสภาพศพ ในชั้นเรียนกายวิภาค ฮาเกนส์ได้เห็นตัวอย่างเนื้อเยื่อที่เก็บไว้ในกล่องพลาสติก กระตุ้นให้เขาคิดสร้างสรรค์ที่จะใส่พลาสติกแทรกลงไปในเนื้อเยื่อโดยตรง แม้จะได้รับการทัดทานว่าเป็นไปไม่ได้   เขายังคงศึกษาค้นคว้าทำการทดลอง จนในปี 1977 เขาก็ประสบความสำเร็จในการอัดพลาสติกลงในไต นับเป็นการเริ่มต้นของการทำมัมมี่ยุคใหม่

ฮาเกนส์ ตั้งสำนักงานขึ้นที่เมืองกูบิน (Gubin), เยอรมัน ใกล้เขตแดนโปแลนด์ ชั้นล่างเป็นโกดังเก็บศพกว้างขวาง 8,200 ตารางฟุต  และสถานที่นี้เองได้แปรสภาพซากศพจำนวนมากมายให้กลายเป็นปฏิมากรรม ส่งออกไปยังพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก




ประติมากรรมที่สร้างจากศพของคนจริง ๆ
การทำมัมมี่พลาสติกของฮาเกนส์ จะเก็บรักษาสภาพศพไว้ได้นานกว่า 10,000 ปี  โดยมัมมี่ของฮาเกนส์จะวางท่าอยู่ในลักษณะเป็นธรรมชาติเหมือนรูปประติมากรรมอิตาเลียน   
ที่มา
(c) http://atcloud.com/stories/101210...
อ้างอิง  Cr.https://www.siamzone.com/board/view.php?sid=2677371

 การทำมัมมี่ตัวเอง


กระบวนการทำมัมมี่ตัวเองตั้งแต่ยังไม่ตาย หรือ Self-mummification นั้น มีอยู่จริงในญี่ปุ่นช่วง 1,000 ปีก่อนโดย “พระ”กลุ่ม Shingon
          
Shingon คือศาสนาหนึ่งที่ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งชื่อ Kukai เป็นการรวมเอาหลายๆ ศาสนาเข้าด้วยกัน ทั้งพุทธศาสนา ชินโตแบบเก่า และลัทธิเต๋า โดย Kukai เสียชีวิตลงเมื่อคริสตศักราช 835 นำไปสู่การพัฒนาของ “sokushinbutsu” หรือ การทำมัมมี่ตัวเอง เพราะมีการเล่าว่า หลังจากที่ Kukai ตายลง ศพของเขาไม่เน่าสลาย แม้แต่ผมก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีอีกหลายปี
         
การที่จะทำมัมมี่ตัวเองได้นั้น จะต้องมีกระบวนการเตรียมตัวที่เคร่งครัดก่อนตาย เป็นเวลายาวนาน 6 ปี 

ขั้นตอนแรกคือ พระรูปนั้นต้องไม่ฉันอะไรเลย นอกจาก ถั่ว เมล็ดพืช ผลไม้ และเบอร์รี่ เป็นเวลา 1,000 วัน ในระหว่างนั้นจะต้องออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งจุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้คือการรีดไขมันออกจากร่างกายให้หมด ถัดไปอีก 1,000 วัน พระรูปนั้นจะต้องกินเพียงแค่เปลือกและรากไม้เท่านั้น

ในช่วงสองนี้ พระรูปนั้นจะต้องดื่มน้ำชาที่เป็นพิษ ที่ทำให้อ้วกออกมาตลอดเวลา เพื่อขจัดของเหลวออกมาจากร่างกายให้หมด  ชาที่ว่ายังเป็นเหมือนสารกันร่างกายเน่าสลาย เพราะมันจะเข้าไปฆ่าเชื่อโรค อย่าง แบคทีเรีย ที่จะย่อยสลายร่างกายของเราเมื่อตายลง 

ขั้นตอนสุดท้าย พระรูปนั้นจะต้องขังตัวเองในที่เก็บศพหิน และนั่งสมาธิจนตาย จะมีเพียงท่อออกซิเจนที่ปล่อยอากาศเข้าไปในที่เก็บศพเท่านั้น และมีระฆังที่ส่งเสียงบอกภายนอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน
เมื่อระฆังหยุดดัง ท่อออกซิเจนจะถูกตัดออก และที่เก็บศพจะถูกปิดตาย หลังจากนั้นอีก 1,000 วัน ที่เก็บศพจะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อดูว่าพระรูปนั้นประสบความสำเร็จในการทำมัมมี่ตัวเองหรือไม่

เป็นที่เล่าขานกันว่า มีพระพยายามทำ sokushinbutsu หลายร้อยรูป จนกระบวนการเหล่านี้ถูกสั่งห้ามในศตวรรษที่ 19 แต่อย่างไรก็ตาม มีเพียง 28 รูปเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จ 
ที่มา : Horonumber
Cr.http://somdechsuk.com/content-detail.php?id=164#.Xm3FdKgzbIU

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่