มัมมี่ของเจ้าหญิง “อูก็อก”(Ukok)
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเผยการค้นพบอันน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับรอยสักบนร่างของมัมมี่เจ้าหญิงไซบีเรีย อายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งอาจช่วยในการค้นคว้าด้านอารยธรรม และความเป็นมาของชนเผ่า “ปาซิริก” ตามประวัติศาสตร์นิพนธ์ของ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ที่บันทึกเรื่องนี้ไว้เมื่อช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศกราช
น.ส. นาตาเลีย โปโลสแม็ก หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งค้นพบมัมมี่ของเจ้าหญิง “อูก็อก” ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในเทือกเขาอัลไต กล่าวว่า
น่าประหลาดใจมาก ที่รอยสักบนร่างของมัมมี่ยังคงสภาพสมบูรณ์เกือบ 100% แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 2,000 ปี
โดยจากผลการศึกษา และรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นทางประวัติศาสตร์พบว่า เจ้าหญิงอูก๊อก ผู้สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง 25 ปี ทรงได้รับการเทิดทูนเสมือนสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น มัมมี่ของพระองค์ทรงถูกฝังอยู่ แวดล้อมด้วยมัมมี่ราชองครักษ์ 2 นาย และม้าอีก 6ตัวเสมือนตัวแทนนำทางพระองค์เดินทางไปยังโลกหน้าได้อย่างสงบสุข นอกจากนี้ ยังมีข้างของเครื่องใช้จากทั้งขนสัตว์ ไม้ ทองแดง และทองคำ ถูกฝังอยู่รายรอบเช่นกัน
ทั้งนี้ รอยสักตามพระวรกายของเจ้าหญิงนั้น ส่วนใหญ่เป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย อาทิ กริฟฟอน ( สัตว์คล้ายสิงโต ที่มีศีรษะ และปีกเหมือนนกอินทรี ) และมังกร โดยอยู่ตามพระอังสา ( ไหล่ ) ทั้งสองข้าง และพระเพลา ( ขา ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนปัจจุบันนิยมสักมากที่สุด
ดร.โปโลสแม็ก คาดว่า ชาวปาริซิก อาจมีความเชื่อว่า รอยสักบนร่างกายจะติดตัวไป และเป็นสัญลักษณ์ช่วยให้คนในครอบครัว หรือเชื้อสายเดียวกัน สามารถจำกันได้ เมื่อเดินทางไปเกิดใหม่ยังโลกหน้าแล้ว และยังอาจสื่อถึงการแบ่งวรรณะทางสังคมด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอและทีมงานจะศึกษา และวิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดต่อไป ว่ามีความสัมพันธ์กับแนวคิดการสักตามร่างกายในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด
ปัจจุบัน มัมมี่ของเจ้าหญิงอูก๊อก ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และนำออกแสดงต่อสาธารณชนแล้วที่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในกรุงกอร์โน-อัลไตสค์ สาธารณรัฐปกครองตนเองอัลไต.
Cr.
https://starsmanman.blogspot.com/2016/04/ By menmen
รอยสักมัมมี่ Gebelein Man A
ทีมงานที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดค้นพบรอยสักจากมัมมีอียิปต์เก่าแก่อายุ 5,000 ปีจำนวน 2 ร่าง ร่างมัมมี่ผู้ชายพบรอยสักรูปวัวป่าและแกะ อีกร่างเป็นมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสักรูปตัว S เป็นการค้นพบรอยสักที่มีลวดลายเป็นรูปร่างเก่าแก่ที่สุดในโลก หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการพบรอยสักจากมัมมี่ที่เก่าแก่กว่านี้แต่ลักษณะรอยสักเป็นเพียงเส้นตรงหลายๆเส้น
มัมมี่ 2 ร่างที่ค้นพบรอยสักนั้นมีอายุย้อนหลังกลับไปยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ราว 3351 – 3017 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือกว่า 5,000 ปีมาแล้ว มัมมี่ดังกล่าวเรียกกันว่า Gebelein mummies ขุดพบที่เมือง Gebelein ในอียิปต์ระหว่างทศวรรษ 1890 และพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้เก็บรักษาไว้หลายร่างตั้งแต่ทศวรรษ 1990 มัมมี่เหล่านี้มีสภาพดีมากและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษมานานมากกว่า 100 ปีแล้ว
บนร่างมัมมี่ผู้ชายที่มีชื่อเรียกว่า Gebelein Man A เป็นวัยรุ่นอายุ 18 – 21 ปี ซึ่งตายเพราะถูกแทงข้างหลัง แต่เดิมเห็นเป็นเพียงรอยดำๆปรากฏที่ท่อนแขนด้านบน แต่เมื่อใช้การถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดจึงพบว่ารอยดำที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วมันคือรอยสักรูปสัตว์มีเขา 2 ตัวคือวัวป่าและแกะบาร์บารี
ส่วนบนร่างมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสัก 4 รอยมีรูปร่างคล้ายตัว S อยู่บนหัวไหล่ข้างขวา รอยสักบนมัมมี่ทั้งสองร่างถูกทำขึ้นที่ชั้นผิวหนังแท้โดยใช้หมึกชนิดคาร์บอน ลวดลายที่พบเป็นศิลปะในยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ รูปกระทิงและแกะถูกพบบนก้อนหิน ลวดลายรูปตัว S ถูกพบบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาจากยุคเดียวกัน
รอยสักที่ค้นพบนี้เป็นรอยสักรูปสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เก่าแก่กว่าที่เคยพบก่อนหน้านี้ในทวีปแอฟริกาเป็นพันปี แต่มันยังไม่ใช่รอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งเป็นของมัมมี่ที่ชื่อ Ötzi the Iceman ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปในช่วงราว 3400 – 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถูกค้นพบในปี 1991 มันมีรอยสักลักษณะเป็นเส้นสั้นๆอยู่ทั่วร่างกายรวม 61 เส้น โดยนักวิจัยได้ตั้งสมมุติฐานว่ารอยสักบนมันมี่ Ötzi น่าจะเป็นรอยจากการรักษาโรค
รอยสักบนมัมมี่ Gebelein Man A ยังเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีทำรอยสักในผู้ชายชาวอียิปต์โบราณด้วย ไม่ได้มีเฉพาะในผู้หญิงชาวอียิปต์เท่านั้นอย่างที่เข้าใจกันแต่แรก
ข้อมูลและภาพจาก sciencealert, newatlas ,
https://newsmanman.blogspot.com/
Cr.
https://www.takieng.com/stories/8673
รอยสักของ Otzi
ร่างของมัมมี่ “เอิตซี” มนุษย์น้ำแข็งที่มีอายุมากถึง 5,250 ปี ที่นักไต่เขาพบบริเวณเทือกเขาแอลป์ ในประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ.1991 และถูกพบว่ามีรอยสักอยู่ตามร่างกาย และกลายเป็นรอยสักที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกตอนนี้ และได้ใช้เทคนิคในการถ่ายภาพแบบหลากหลายสเปคตรัมของแสงจากอินฟราเรดไปจนถึงอัลตร้าไวโอเลตเพื่อตรวจสอบผิวหนังของมัมมี่โดยพบรอยสักอยู่บนร่างมัมมี่ของเอิตซีอยู่ถึง 61 รอยสักด้วยกัน
รอยสักที่พบในร่างมัมมี่ตนนี้พบเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามข้อมือซ้าย น่องทั้งสองข้าง หลัง และบริเวณซี่โครง เป็นรอยสักที่เกิดขึ้นจากการนำถ่านมาถูไว้บนผิวหนังที่ถูกผ่าออก ซึ่งรอยสักเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการรักษาบำบัดความเจ็บปวดคล้ายกับการฝังเข็ม
อารอน ดีเทอร์ โวล์ฟ จากสำนักงานโบราณคดีเทนเนสซี และเพื่อนร่วมงาน ระบุว่า ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเชื่อว่ามัมมี่ชินคอร์โร ที่พบในประเทศชิลี ช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งพบว่ามีรอยสักอยู่ที่ข้างจมูกทั้งสองด้าน เป็นรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีการวิเคราะห์พบว่ามัมมี่จากชิลีนี้อาจจะมีอายุมากถึง 6,000-8,000 ปี ทำให้รอยสักที่พบบนร่างมัมมี่ชิลีนี้เป็นรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่จากการวิเคราะห์หาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีมัมมี่ชินคอร์โรล่าสุด ทำให้พบว่ามัมมี่ชินคอร์โรมีอายุอยู่ที่กว่า 4,563 ปีเท่านั้น
โดยการวิเคราะห์ล่าสุดทำให้รอยสักของเอิตซีจากอิตาลีกลายเป็นรอยสักที่มีอายุมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีอายุเก่าแก่กว่า อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ในวารสารวิทยาศาสตร์โบราณคดี ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ว่าเอิตซีมีอายุมากกว่ามนุษย์โบราณจากอเมริกาใต้อย่างน้อย 500 ปี
Cr.
https://www.sanook.com/men/11933/
“ท่านหญิงแห่งเกา”
ดร.จอห์น เวราโน (JOHN VERANO) นักมานุษยวิทยาด้านกายภาพกับคณะ ได้ขุดค้นโบราณสถานบนเทือกเขาทางตอนเหนือของเปรู และพบมัมมี่ของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมื่อพันกว่าปีก่อนโน้น ศพมัมมี่นี้ฝังอยู่ใต้ทะเลทรายอันแห้งแล้ง ดังนั้น ซากของเธอจึงไม่เน่าเปื่อย ที่แขนขวาของเธอยังปรากฏรอยสักบนผิวหนังยาวตลอดลงไปจนถึงปลายนิ้ว นับว่าธรรมชาติได้เก็บรักษาซากศพนี้ไว้อย่างน่าทึ่ง เพราะถ้าเหลือแต่โครงกระดูกก็จะไม่มีทางที่รอยสักจะลึกลงไปถึงได้
“ท่านหญิงแห่งเกา”ถูกค้นพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อปี 2005 ทีมนักโบราณคดีเชื่อว่าสตรีรายนี้เสียชีวิตขณะอายุได้ประมาณ 20 กว่าปี สภาพของมัมมี่บางส่วนยังคงสมบูรณ์ ผิวหนังที่แขนของเธอยังคงอยู่และแสดงให้เห็นรอยสักรูปงู และแมงมุม
รอยสักมัมมี่สตรีเปรูนี้มีสภาพรางเลือน ถ้าดูด้วยตาเปล่าจะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าลักษณะรอยสักนั้นเป็นรูปอะไร ดังนั้น ดร.เวราโนจึงต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจสอบโดยจุลทรรศน์ที่ ดร.เวราโนใช้เป็นแบบพิเศษ นั่นคือกล้องที่ส่องและถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรด (infrared photo graphy) แสงอินฟราเรดจะส่องทะลุลงไปได้ลึกกว่า และสามารถเห็นสีที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นร่องรอยที่บอกถึงรูปร่างได้ชัดเจนกว่า
ดร.เวราโน กล่าวว่า เมื่อเอาภาพที่ถ่ายได้ป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผลที่ออกมาระบุว่า เป็นมัมมี่สตรีเผ่าแลมบาเยค (LAM BAYEQUE) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในเปรู ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ริมทะเล และนับถือบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
Cr.ภาพ
https://www.globalxplorer.org/expedition/chapter/5/article/8
Cr.
https://www.facebook.com/769691669742222/photos/a.770509502993772.1073741828.769691669742222/961666570544730
ซากมัมมี่ส่วนมือของชาว Chimu ซึ่งเต็มไปด้วยรอยสักที่ถูกออกแบบมาจากวัฒนธรรมโบราณ
รอยสักบนใบหน้าของชนเผ่า Maor ที่เรียกกันว่า "Ta moko" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมของเด็กหนุ่มในชนเผ่าที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยพวกเขาจะใช้รอยสักเป็นตัวบ่งบอกสถานะทางสังคม และดึงดูดเพศตรงข้าม
มัมมี่ชนเผ่า Ibaloi ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ภูเขา Kabayan โดยร่างกายของพวกเขามีรอยสักทั่วบริเวณหน้าอก และหลัง เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อนมาก
ซากมัมมี่ที่ถูกรมควันเหล่านี้ยังคงอยู่ในประเทศฟิลิปินส์ ในสภาพที่ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสัก ซึ่งบ่งบอกได้ว่า ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่นั้นคงมีสถานะทางสังคมสูง
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
ที่มา:
http://www.clipmass.com/story/99627
บอร์ด ดูดวง เรื่องลึกลับ โพสท์โดย AdamS JaideE
Cr.
https://board.postjung.com/891361
(ขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
รอยสักมัมมี่ที่อายุเก่าแก่กว่าพันปี
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเผยการค้นพบอันน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับรอยสักบนร่างของมัมมี่เจ้าหญิงไซบีเรีย อายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งอาจช่วยในการค้นคว้าด้านอารยธรรม และความเป็นมาของชนเผ่า “ปาซิริก” ตามประวัติศาสตร์นิพนธ์ของ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ที่บันทึกเรื่องนี้ไว้เมื่อช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศกราช
น.ส. นาตาเลีย โปโลสแม็ก หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งค้นพบมัมมี่ของเจ้าหญิง “อูก็อก” ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในเทือกเขาอัลไต กล่าวว่า
น่าประหลาดใจมาก ที่รอยสักบนร่างของมัมมี่ยังคงสภาพสมบูรณ์เกือบ 100% แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 2,000 ปี
โดยจากผลการศึกษา และรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นทางประวัติศาสตร์พบว่า เจ้าหญิงอูก๊อก ผู้สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง 25 ปี ทรงได้รับการเทิดทูนเสมือนสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น มัมมี่ของพระองค์ทรงถูกฝังอยู่ แวดล้อมด้วยมัมมี่ราชองครักษ์ 2 นาย และม้าอีก 6ตัวเสมือนตัวแทนนำทางพระองค์เดินทางไปยังโลกหน้าได้อย่างสงบสุข นอกจากนี้ ยังมีข้างของเครื่องใช้จากทั้งขนสัตว์ ไม้ ทองแดง และทองคำ ถูกฝังอยู่รายรอบเช่นกัน
ทั้งนี้ รอยสักตามพระวรกายของเจ้าหญิงนั้น ส่วนใหญ่เป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย อาทิ กริฟฟอน ( สัตว์คล้ายสิงโต ที่มีศีรษะ และปีกเหมือนนกอินทรี ) และมังกร โดยอยู่ตามพระอังสา ( ไหล่ ) ทั้งสองข้าง และพระเพลา ( ขา ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนปัจจุบันนิยมสักมากที่สุด
ดร.โปโลสแม็ก คาดว่า ชาวปาริซิก อาจมีความเชื่อว่า รอยสักบนร่างกายจะติดตัวไป และเป็นสัญลักษณ์ช่วยให้คนในครอบครัว หรือเชื้อสายเดียวกัน สามารถจำกันได้ เมื่อเดินทางไปเกิดใหม่ยังโลกหน้าแล้ว และยังอาจสื่อถึงการแบ่งวรรณะทางสังคมด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอและทีมงานจะศึกษา และวิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดต่อไป ว่ามีความสัมพันธ์กับแนวคิดการสักตามร่างกายในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด
ปัจจุบัน มัมมี่ของเจ้าหญิงอูก๊อก ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และนำออกแสดงต่อสาธารณชนแล้วที่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในกรุงกอร์โน-อัลไตสค์ สาธารณรัฐปกครองตนเองอัลไต.
Cr.https://starsmanman.blogspot.com/2016/04/ By menmen
ทีมงานที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้ใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดค้นพบรอยสักจากมัมมีอียิปต์เก่าแก่อายุ 5,000 ปีจำนวน 2 ร่าง ร่างมัมมี่ผู้ชายพบรอยสักรูปวัวป่าและแกะ อีกร่างเป็นมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสักรูปตัว S เป็นการค้นพบรอยสักที่มีลวดลายเป็นรูปร่างเก่าแก่ที่สุดในโลก หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการพบรอยสักจากมัมมี่ที่เก่าแก่กว่านี้แต่ลักษณะรอยสักเป็นเพียงเส้นตรงหลายๆเส้น
มัมมี่ 2 ร่างที่ค้นพบรอยสักนั้นมีอายุย้อนหลังกลับไปยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ราว 3351 – 3017 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือกว่า 5,000 ปีมาแล้ว มัมมี่ดังกล่าวเรียกกันว่า Gebelein mummies ขุดพบที่เมือง Gebelein ในอียิปต์ระหว่างทศวรรษ 1890 และพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้เก็บรักษาไว้หลายร่างตั้งแต่ทศวรรษ 1990 มัมมี่เหล่านี้มีสภาพดีมากและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษมานานมากกว่า 100 ปีแล้ว
บนร่างมัมมี่ผู้ชายที่มีชื่อเรียกว่า Gebelein Man A เป็นวัยรุ่นอายุ 18 – 21 ปี ซึ่งตายเพราะถูกแทงข้างหลัง แต่เดิมเห็นเป็นเพียงรอยดำๆปรากฏที่ท่อนแขนด้านบน แต่เมื่อใช้การถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรดจึงพบว่ารอยดำที่เห็นนั้นแท้จริงแล้วมันคือรอยสักรูปสัตว์มีเขา 2 ตัวคือวัวป่าและแกะบาร์บารี
ส่วนบนร่างมัมมี่ผู้หญิงพบรอยสัก 4 รอยมีรูปร่างคล้ายตัว S อยู่บนหัวไหล่ข้างขวา รอยสักบนมัมมี่ทั้งสองร่างถูกทำขึ้นที่ชั้นผิวหนังแท้โดยใช้หมึกชนิดคาร์บอน ลวดลายที่พบเป็นศิลปะในยุคก่อนราชวงศ์อียิปต์ รูปกระทิงและแกะถูกพบบนก้อนหิน ลวดลายรูปตัว S ถูกพบบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาจากยุคเดียวกัน
รอยสักที่ค้นพบนี้เป็นรอยสักรูปสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เก่าแก่กว่าที่เคยพบก่อนหน้านี้ในทวีปแอฟริกาเป็นพันปี แต่มันยังไม่ใช่รอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งเป็นของมัมมี่ที่ชื่อ Ötzi the Iceman ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปในช่วงราว 3400 – 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถูกค้นพบในปี 1991 มันมีรอยสักลักษณะเป็นเส้นสั้นๆอยู่ทั่วร่างกายรวม 61 เส้น โดยนักวิจัยได้ตั้งสมมุติฐานว่ารอยสักบนมันมี่ Ötzi น่าจะเป็นรอยจากการรักษาโรค
รอยสักบนมัมมี่ Gebelein Man A ยังเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีทำรอยสักในผู้ชายชาวอียิปต์โบราณด้วย ไม่ได้มีเฉพาะในผู้หญิงชาวอียิปต์เท่านั้นอย่างที่เข้าใจกันแต่แรก
ข้อมูลและภาพจาก sciencealert, newatlas , https://newsmanman.blogspot.com/
Cr. https://www.takieng.com/stories/8673
ร่างของมัมมี่ “เอิตซี” มนุษย์น้ำแข็งที่มีอายุมากถึง 5,250 ปี ที่นักไต่เขาพบบริเวณเทือกเขาแอลป์ ในประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ.1991 และถูกพบว่ามีรอยสักอยู่ตามร่างกาย และกลายเป็นรอยสักที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกตอนนี้ และได้ใช้เทคนิคในการถ่ายภาพแบบหลากหลายสเปคตรัมของแสงจากอินฟราเรดไปจนถึงอัลตร้าไวโอเลตเพื่อตรวจสอบผิวหนังของมัมมี่โดยพบรอยสักอยู่บนร่างมัมมี่ของเอิตซีอยู่ถึง 61 รอยสักด้วยกัน
รอยสักที่พบในร่างมัมมี่ตนนี้พบเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามข้อมือซ้าย น่องทั้งสองข้าง หลัง และบริเวณซี่โครง เป็นรอยสักที่เกิดขึ้นจากการนำถ่านมาถูไว้บนผิวหนังที่ถูกผ่าออก ซึ่งรอยสักเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการรักษาบำบัดความเจ็บปวดคล้ายกับการฝังเข็ม
อารอน ดีเทอร์ โวล์ฟ จากสำนักงานโบราณคดีเทนเนสซี และเพื่อนร่วมงาน ระบุว่า ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเชื่อว่ามัมมี่ชินคอร์โร ที่พบในประเทศชิลี ช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งพบว่ามีรอยสักอยู่ที่ข้างจมูกทั้งสองด้าน เป็นรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีการวิเคราะห์พบว่ามัมมี่จากชิลีนี้อาจจะมีอายุมากถึง 6,000-8,000 ปี ทำให้รอยสักที่พบบนร่างมัมมี่ชิลีนี้เป็นรอยสักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่จากการวิเคราะห์หาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีมัมมี่ชินคอร์โรล่าสุด ทำให้พบว่ามัมมี่ชินคอร์โรมีอายุอยู่ที่กว่า 4,563 ปีเท่านั้น
โดยการวิเคราะห์ล่าสุดทำให้รอยสักของเอิตซีจากอิตาลีกลายเป็นรอยสักที่มีอายุมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีอายุเก่าแก่กว่า อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปไว้ในวารสารวิทยาศาสตร์โบราณคดี ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ว่าเอิตซีมีอายุมากกว่ามนุษย์โบราณจากอเมริกาใต้อย่างน้อย 500 ปี
Cr.https://www.sanook.com/men/11933/
ดร.จอห์น เวราโน (JOHN VERANO) นักมานุษยวิทยาด้านกายภาพกับคณะ ได้ขุดค้นโบราณสถานบนเทือกเขาทางตอนเหนือของเปรู และพบมัมมี่ของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตเมื่อพันกว่าปีก่อนโน้น ศพมัมมี่นี้ฝังอยู่ใต้ทะเลทรายอันแห้งแล้ง ดังนั้น ซากของเธอจึงไม่เน่าเปื่อย ที่แขนขวาของเธอยังปรากฏรอยสักบนผิวหนังยาวตลอดลงไปจนถึงปลายนิ้ว นับว่าธรรมชาติได้เก็บรักษาซากศพนี้ไว้อย่างน่าทึ่ง เพราะถ้าเหลือแต่โครงกระดูกก็จะไม่มีทางที่รอยสักจะลึกลงไปถึงได้
“ท่านหญิงแห่งเกา”ถูกค้นพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อปี 2005 ทีมนักโบราณคดีเชื่อว่าสตรีรายนี้เสียชีวิตขณะอายุได้ประมาณ 20 กว่าปี สภาพของมัมมี่บางส่วนยังคงสมบูรณ์ ผิวหนังที่แขนของเธอยังคงอยู่และแสดงให้เห็นรอยสักรูปงู และแมงมุม
รอยสักมัมมี่สตรีเปรูนี้มีสภาพรางเลือน ถ้าดูด้วยตาเปล่าจะไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าลักษณะรอยสักนั้นเป็นรูปอะไร ดังนั้น ดร.เวราโนจึงต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจสอบโดยจุลทรรศน์ที่ ดร.เวราโนใช้เป็นแบบพิเศษ นั่นคือกล้องที่ส่องและถ่ายภาพด้วยรังสีอินฟราเรด (infrared photo graphy) แสงอินฟราเรดจะส่องทะลุลงไปได้ลึกกว่า และสามารถเห็นสีที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นร่องรอยที่บอกถึงรูปร่างได้ชัดเจนกว่า
ดร.เวราโน กล่าวว่า เมื่อเอาภาพที่ถ่ายได้ป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผลที่ออกมาระบุว่า เป็นมัมมี่สตรีเผ่าแลมบาเยค (LAM BAYEQUE) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในเปรู ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ริมทะเล และนับถือบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
Cr.ภาพ https://www.globalxplorer.org/expedition/chapter/5/article/8
Cr.https://www.facebook.com/769691669742222/photos/a.770509502993772.1073741828.769691669742222/961666570544730
ที่มา: http://www.clipmass.com/story/99627
บอร์ด ดูดวง เรื่องลึกลับ โพสท์โดย AdamS JaideE
Cr.https://board.postjung.com/891361
(ขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)