(Djedkhonsiu-ef-ankh ภายใต้การเคลือบสารสีดำในโลงศพปิดทอง)
เมื่อปี 2019 นักวิจัยต่างตกตะลึงกับโลงศพมัมมี่โบราณ อายุกว่า 3,000 ปี ที่ไม่เคยถูกเปิดออกตั้งแต่สมัยราชวงศ์อียิปต์ที่ 19 (1,300 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งพบว่าภายในมีหีบมันมี่ถูกเคลือบด้วยสารสีดำปริศนา โดยหนึ่งในนั้นคือโลงศพของ " Djedkhonsiu-ef-ankh " ที่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นนักบวชชื่อดัง เพราะโลงศพมัมมี่ของเขามีความแตกต่างจากมัมมี่ทั่วไป
โลงศพนี้ถูกค้นพบที่มหาวิหารคาร์นัค (Karnak) ซึ่งมัมมี่นักบวชร่างนี้ถูกตกแต่งด้วยแผ่นทองคำตรงบริเวณใบหน้า และลงลวดลายสีสันบริเวณลำตัว จากนั้นจะถูกเทของเหลวสีดำเหนียวข้นทับหีบมัมมี่ ก่อนจะนำไปใส่โลงศพเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อหาคำตอบว่าสารสีดำที่เคลือบหีบศพนั้นคืออะไร
ดร.เคท ฟัลเชอร์ (Dr. Kate Falcher ) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British museum) ได้เก็บตัวอย่างของสารสีดำปริศนามาวิเคราะห์ ด้วยวิธีการแยกโมเลกุลด้วยเครื่อง GC-MS
ผู้เชี่ยวชาญของ British museum ได้วิเคราะห์ตัวอย่างสารหนาสีดำมากกว่า 100 ตัวอย่างจากโลงศพและมัมมี่สิบสองชิ้น ซึ่งทั้งหมดมีอายุตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 22 ในยุคกลางที่สาม (ค. 900–750 ปีก่อนคริสตกาล) โดยนำตัวอย่างขนาดเล็กและทำการวิเคราะห์ทางเคมีรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า
'Gas Chromatography - Mass Spectrometry (GC-MS)' คือทำให้ตัวอย่างแต่ละตัวอย่างเป็นไอและดันผ่านท่อยาวซึ่งจะแยกโมเลกุลจากตัวอย่าง
ที่ปลายท่อโมเลกุลจะต่อเข้ากับเครื่องสเปกโตรมิเตอร์มวลซึ่งแยกออกตามอัตราส่วนมวลต่อประจุ จากสิ่งนี้เราสามารถบอกได้ว่ามีโมเลกุลใดบ้างและมีปริมาณเท่าใด
อธิบายเป็นกระบวนการวิเคราะห์ดังนี้
- ขั้นแรกเปลี่ยนสถานะของสารตัวอย่างจากของเหลวให้กลายเป็นแก๊สด้วยเครื่อง GC (ซึ่งแก๊สที่ได้จะประกอบไปด้วยโมเลกุลขนาดเล็กจำนวนมากปะปนกัน)
– จากนั้นนำแก๊สที่ได้ส่งเข้าสู่เครื่อง MS เพื่อแยกโมเลกุล
– จนได้ส่วนประกอบของสารต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของ น้ำมันพืช, ไขมันสัตว์, ยางไม้, ขี้ผึ้ง และ น้ำมันดิบ และอาจเป็นไปได้ว่ามีส่วนผสมอย่างอื่นมากกว่าที่พบ แต่อาจจะระเหยหรือเสื่อมสลายหายไปแล้วตามกาลเวลา
เรื่องที่นักบวชร่างนี้ต้องถูกเคลือบด้วยสารสีดำ นักวิจัยสันนิษฐานความเป็นไปได้ว่า “อาจเชื่อมโยงกับความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณที่นับถือ เทพโอซิริส (Osiris) เทพแห่งความตายและการเกิดใหม่ หรืออีกชื่อที่เรียกกันคือ “The Black One” โดยตำราเทพอียิปต์โบราณกล่าวว่า เทพโอซิริสนั้นมีร่างกายสีดำและสวมหน้ากากลักษณะเดียวกันกับโลงศพมัมมี่ ดังนั้นการเทสารสีดำเคลือบโลงในลักษณะนี้ เชื่อว่าจะถือเป็นการนำทางให้ผู้ตายได้พบกับเทพโอซิริสที่เป็นสัญลักษณ์ของการกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง
นอกจากนั้น สีดำยังเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับตะกอนดินที่ทับถมบนฝั่งแม่น้ำไนล์หลังจากน้ำท่วมประจำปีลดลง เนื่องจากดินที่สดใหม่และอุดมสมบูรณ์นี้มีสภาพแวดล้อมในอุดมคติที่เมล็ดพืชสามารถงอกและเติบโตได้จึงถูกมองว่าเป็นดินที่มีมนต์ขลังและเกิดใหม่ได้ ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่เชื่อมโยงกันของสีดำ,โอซิริส และการเกิดใหม่
(ภาพระยะใกล้ของสารที่หนาที่รวมอยู่ที่ด้านล่างของโลงศพของ Djedkhonsiu-ef-ankh)
สารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบางอย่างที่ระบุได้บ่งชี้ว่าบางอย่างถูกนำเข้ามาในอียิปต์ และมีเรซินของต้นไม้สองชนิดที่พบในสารหนาสีดำคือ เรซินต้นพิสตาเซียและเรซินต้นสน Tree resin เป็นของเหลวที่ต้นไม้ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการบาดเจ็บซึ่งจะแข็งตัวเป็นของแข็งแบบเปราะ
รวมทั้ง Bitumen (น้ำมันดิน) ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบ มีหลายแหล่งที่ทราบว่าของเหลวและของแข็งบางชนิดถูกนำมาใช้ในสมัยโบราณ น้ำมันดินทำมาจากสิ่งมีชีวิต (เช่นพืชสัตว์และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว) ที่ตายและถูกบีบอัดเป็นเวลาหลายล้านปี เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แตกต่างกันไปเนื่องจากสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นน้ำมันดินจึงแตกต่างกันไปในแต่ละที่
การตรวจสอบซากของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เรียกว่า 'ไบโอมาร์คเกอร์' ( Biomarkers) เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาแหล่งที่มาของน้ำมันดิน จากการเปรียบเทียบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในตัวอย่างสารที่หนากับสารที่มาจากแหล่งที่รู้จัก จะเห็นว่าน้ำมันดินนั้นมาจากทะเลเดดซี สิ่งนี้สมเหตุสมผลเมื่อตำราภาษากรีกโบราณกล่าวถึงก้อนน้ำมันดินที่เป็นของแข็งที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำของทะเลเดดซี และผู้คนก็พายเรือไปหาสิ่งเหล่านี้เพื่อตัดชิ้นส่วนและขายในอียิปต์
ทั้งนี้ มัมมี่ทุกร่างไม่ได้ถูกเคลือบสารสีดำ เพราะมีหลักฐานบอกเล่าว่ามีเพียงชนชั้นสูง หรือผู้ที่ได้รับการเคารพนับถืออยากให้กลับมาเกิดเท่านั้นจึงจะได้รับการเคลือบสารสีดำนี้ โดยโลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุนก็ได้รับการเคลือบลักษณะนี้เช่นกัน
(ที่น่าสนใจคือมัมมี่ตัวแรกไม่ได้เกิดขึ้นที่อียิปต์ แต่เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี คือ มัมมี่แห่งชินคอร์โร (Chinchorro) ซึ่งรักษาผู้เสียชีวิตโดยการบรรจุศพด้วยเส้นใยและฟาง เป็นชนเผ่าในประเทศชีลีที่มีตัวตนอยู่ในช่วงราว 9,000 ถึง 3,500 ปีมาแล้ว ซึ่งจากการขุดพบสุสานมัมมี่ในปี 1983 นักโบราณคดีระบุว่ามัมมี่ชินคอร์โรมีอายุประมาณ 7,000 ปี ซึ่งเก่าแก่กว่ามัมมี่แห่งอียิปต์ถึง 2 พันปี )
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิงอับดุลลา (King Abdullah University) ยังได้ผลิตสารเคลือบปกปิดสีดำชื่อ “MXene” ที่ได้ไอเดียมาจากสารสีดำในโลงศพมัมมี่ Black Goo ซึ่งมีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้มากถึง 35 เท่าจากขนาดเดิม ใช้สำหรับเคลือบพื้นผิวของสิ่งของที่ต้องการการเก็บรักษาและยืดอายุมากกว่าที่ใช้อยู่ทั่วไป
สารสีดำถูกใช้ในอียิปต์ตั้งแต่ 1,300 ถึง 750 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับการเกิดใหม่
(โลงศพของเด็กสาว Tjayasetimu)
รูปแกะสลักไม้นั่ง (Seated wooden) ที่มีหัวเป็นรูปเต่าจากหลุมฝังศพของ Ramesses I หรือ Seti I
สารสีดำได้รับการวิเคราะห์เมื่อ 20 ปีก่อนและพบว่าทำจากเรซินต้นพิสตาเซีย
อียิปต์ราชวงศ์ที่ 19 (1292 ปีก่อนคริสตกาล - 1189 ปีก่อนคริสตกาล)
รูปแกะสลักลิงบาบูนไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสารสีดำ อียิปต์ราชวงศ์ที่ 18 (1549 / 1550–1292 ปีก่อนคริสตกาล)
จากการสแกนโลงที่ปิดผนึกของ Djedkhonsiu-ef-ankh เผยให้เห็นว่าศพยังอยู่ข้างในและไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ British museum
กล่าวว่าไม่มีกระดูกหักที่ชัดเจนและปากยังปิดอยู่ หน้าท้องของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของทรายขี้เลื่อยและเรซินในระหว่างขั้นตอนการทำมัมมี่และมือของเขาวางไว้เหนือบริเวณอวัยวะเพศและขาก็ไม่มีรอยแตกหัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องรางอัญมณีขนาดเล็กและรูปปั้นแมลงปีกแข็งวางไว้บนหน้าอก และวงแหวนที่มีแมลงปีกแข็งอยู่ระหว่างต้นขา
เป็นไปได้ว่า นักบวชอาจเจ็บปวดอย่างมากจากอาการทางกระดูกสันหลังและอาการข้อเข่าเสื่อมขั้นต้นก่อนที่จะเสียชีวิต
Cr.
https://www.flagfrog.com/mysterious-mummy-coffin-black-goo/ โดย Benzsubb
Cr.
https://worldhistorylab.britishmuseum.org/black-goo-egyptian-funerary-ritual-residues/
By Kate Fulcher (นักวิทยาศาสตร์พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษ)
Cr.
https://blog.britishmuseum.org/ancient-egyptian-coffins-and-mystery-of-black-goo/
Cr.
https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-8343145/Mysterious-black-goo-used-Ancient-Egyptians-cover-coffins-identified-British-Museum.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ความลับของ “Black Goo” มัมมี่สีดำ
โลงศพนี้ถูกค้นพบที่มหาวิหารคาร์นัค (Karnak) ซึ่งมัมมี่นักบวชร่างนี้ถูกตกแต่งด้วยแผ่นทองคำตรงบริเวณใบหน้า และลงลวดลายสีสันบริเวณลำตัว จากนั้นจะถูกเทของเหลวสีดำเหนียวข้นทับหีบมัมมี่ ก่อนจะนำไปใส่โลงศพเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อหาคำตอบว่าสารสีดำที่เคลือบหีบศพนั้นคืออะไร
ดร.เคท ฟัลเชอร์ (Dr. Kate Falcher ) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British museum) ได้เก็บตัวอย่างของสารสีดำปริศนามาวิเคราะห์ ด้วยวิธีการแยกโมเลกุลด้วยเครื่อง GC-MS
ผู้เชี่ยวชาญของ British museum ได้วิเคราะห์ตัวอย่างสารหนาสีดำมากกว่า 100 ตัวอย่างจากโลงศพและมัมมี่สิบสองชิ้น ซึ่งทั้งหมดมีอายุตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 22 ในยุคกลางที่สาม (ค. 900–750 ปีก่อนคริสตกาล) โดยนำตัวอย่างขนาดเล็กและทำการวิเคราะห์ทางเคมีรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า
'Gas Chromatography - Mass Spectrometry (GC-MS)' คือทำให้ตัวอย่างแต่ละตัวอย่างเป็นไอและดันผ่านท่อยาวซึ่งจะแยกโมเลกุลจากตัวอย่าง
ที่ปลายท่อโมเลกุลจะต่อเข้ากับเครื่องสเปกโตรมิเตอร์มวลซึ่งแยกออกตามอัตราส่วนมวลต่อประจุ จากสิ่งนี้เราสามารถบอกได้ว่ามีโมเลกุลใดบ้างและมีปริมาณเท่าใด
อธิบายเป็นกระบวนการวิเคราะห์ดังนี้
- ขั้นแรกเปลี่ยนสถานะของสารตัวอย่างจากของเหลวให้กลายเป็นแก๊สด้วยเครื่อง GC (ซึ่งแก๊สที่ได้จะประกอบไปด้วยโมเลกุลขนาดเล็กจำนวนมากปะปนกัน)
– จากนั้นนำแก๊สที่ได้ส่งเข้าสู่เครื่อง MS เพื่อแยกโมเลกุล
– จนได้ส่วนประกอบของสารต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของ น้ำมันพืช, ไขมันสัตว์, ยางไม้, ขี้ผึ้ง และ น้ำมันดิบ และอาจเป็นไปได้ว่ามีส่วนผสมอย่างอื่นมากกว่าที่พบ แต่อาจจะระเหยหรือเสื่อมสลายหายไปแล้วตามกาลเวลา
เรื่องที่นักบวชร่างนี้ต้องถูกเคลือบด้วยสารสีดำ นักวิจัยสันนิษฐานความเป็นไปได้ว่า “อาจเชื่อมโยงกับความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณที่นับถือ เทพโอซิริส (Osiris) เทพแห่งความตายและการเกิดใหม่ หรืออีกชื่อที่เรียกกันคือ “The Black One” โดยตำราเทพอียิปต์โบราณกล่าวว่า เทพโอซิริสนั้นมีร่างกายสีดำและสวมหน้ากากลักษณะเดียวกันกับโลงศพมัมมี่ ดังนั้นการเทสารสีดำเคลือบโลงในลักษณะนี้ เชื่อว่าจะถือเป็นการนำทางให้ผู้ตายได้พบกับเทพโอซิริสที่เป็นสัญลักษณ์ของการกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง
นอกจากนั้น สีดำยังเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับตะกอนดินที่ทับถมบนฝั่งแม่น้ำไนล์หลังจากน้ำท่วมประจำปีลดลง เนื่องจากดินที่สดใหม่และอุดมสมบูรณ์นี้มีสภาพแวดล้อมในอุดมคติที่เมล็ดพืชสามารถงอกและเติบโตได้จึงถูกมองว่าเป็นดินที่มีมนต์ขลังและเกิดใหม่ได้ ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่เชื่อมโยงกันของสีดำ,โอซิริส และการเกิดใหม่
รวมทั้ง Bitumen (น้ำมันดิน) ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบ มีหลายแหล่งที่ทราบว่าของเหลวและของแข็งบางชนิดถูกนำมาใช้ในสมัยโบราณ น้ำมันดินทำมาจากสิ่งมีชีวิต (เช่นพืชสัตว์และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว) ที่ตายและถูกบีบอัดเป็นเวลาหลายล้านปี เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แตกต่างกันไปเนื่องจากสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นน้ำมันดินจึงแตกต่างกันไปในแต่ละที่
การตรวจสอบซากของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เรียกว่า 'ไบโอมาร์คเกอร์' ( Biomarkers) เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาแหล่งที่มาของน้ำมันดิน จากการเปรียบเทียบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในตัวอย่างสารที่หนากับสารที่มาจากแหล่งที่รู้จัก จะเห็นว่าน้ำมันดินนั้นมาจากทะเลเดดซี สิ่งนี้สมเหตุสมผลเมื่อตำราภาษากรีกโบราณกล่าวถึงก้อนน้ำมันดินที่เป็นของแข็งที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำของทะเลเดดซี และผู้คนก็พายเรือไปหาสิ่งเหล่านี้เพื่อตัดชิ้นส่วนและขายในอียิปต์
ทั้งนี้ มัมมี่ทุกร่างไม่ได้ถูกเคลือบสารสีดำ เพราะมีหลักฐานบอกเล่าว่ามีเพียงชนชั้นสูง หรือผู้ที่ได้รับการเคารพนับถืออยากให้กลับมาเกิดเท่านั้นจึงจะได้รับการเคลือบสารสีดำนี้ โดยโลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุนก็ได้รับการเคลือบลักษณะนี้เช่นกัน
(ที่น่าสนใจคือมัมมี่ตัวแรกไม่ได้เกิดขึ้นที่อียิปต์ แต่เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี คือ มัมมี่แห่งชินคอร์โร (Chinchorro) ซึ่งรักษาผู้เสียชีวิตโดยการบรรจุศพด้วยเส้นใยและฟาง เป็นชนเผ่าในประเทศชีลีที่มีตัวตนอยู่ในช่วงราว 9,000 ถึง 3,500 ปีมาแล้ว ซึ่งจากการขุดพบสุสานมัมมี่ในปี 1983 นักโบราณคดีระบุว่ามัมมี่ชินคอร์โรมีอายุประมาณ 7,000 ปี ซึ่งเก่าแก่กว่ามัมมี่แห่งอียิปต์ถึง 2 พันปี )
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิงอับดุลลา (King Abdullah University) ยังได้ผลิตสารเคลือบปกปิดสีดำชื่อ “MXene” ที่ได้ไอเดียมาจากสารสีดำในโลงศพมัมมี่ Black Goo ซึ่งมีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้มากถึง 35 เท่าจากขนาดเดิม ใช้สำหรับเคลือบพื้นผิวของสิ่งของที่ต้องการการเก็บรักษาและยืดอายุมากกว่าที่ใช้อยู่ทั่วไป
กล่าวว่าไม่มีกระดูกหักที่ชัดเจนและปากยังปิดอยู่ หน้าท้องของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของทรายขี้เลื่อยและเรซินในระหว่างขั้นตอนการทำมัมมี่และมือของเขาวางไว้เหนือบริเวณอวัยวะเพศและขาก็ไม่มีรอยแตกหัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องรางอัญมณีขนาดเล็กและรูปปั้นแมลงปีกแข็งวางไว้บนหน้าอก และวงแหวนที่มีแมลงปีกแข็งอยู่ระหว่างต้นขา
เป็นไปได้ว่า นักบวชอาจเจ็บปวดอย่างมากจากอาการทางกระดูกสันหลังและอาการข้อเข่าเสื่อมขั้นต้นก่อนที่จะเสียชีวิต
Cr.https://www.flagfrog.com/mysterious-mummy-coffin-black-goo/ โดย Benzsubb
Cr.https://worldhistorylab.britishmuseum.org/black-goo-egyptian-funerary-ritual-residues/
By Kate Fulcher (นักวิทยาศาสตร์พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษ)
Cr.https://blog.britishmuseum.org/ancient-egyptian-coffins-and-mystery-of-black-goo/
Cr.https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-8343145/Mysterious-black-goo-used-Ancient-Egyptians-cover-coffins-identified-British-Museum.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)