ผู้หญิงสองมิติ
ก่อนที่หมอและพยาบาลจะมาจับผมฉีดยาระงับอาการทางประสาท (ตามที่พวกเขาคิดว่าผมมีอาการตามนั้น) ผมยังมีเวลาบันทึก ‘ความจริง’ บางอย่าง ที่ฟังแล้วเหลือเชื่อ (แน่นอนว่าผมไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อ เพราะมันหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่ว่าใครก็ทำใจยาก ที่จะให้เชื่อ) แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องจริง
ผมมีโอกาสเจอ ผู้หญิง สองมิติ
ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้เหมือนผู้หญิงในนิยายเก่าแก่ เรื่อง Flatland ซึ่งจัดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นเก่า เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1884 ว่าด้วยอาณาจักรแบนราบสองมิติ คือกว้างและยาว ไม่มีความสูงหรือความหนา สิ่งมีชีวิตในอาณาจักร จะมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมทรงต่าง ๆ พวกเขามีพฤติกรรมสติปัญญาและรูปแบบสังคม ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตในจักรวาลสามมิติอย่าง จนเป็นที่ถกเถียงกันว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จะแยกแยะรูปร่างต่าง ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงเส้นตรง และจุดเท่านั้น
ถ้าคุณหมอจะงง ก็งง ต่อไป เพราะคุณหมอคงไม่เคยอ่าน คนเขียนก็ไม่ได้ออกมาอธิบาย เนื่องจากยุคนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่จะบอกให้พวกคุณสบายใจอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงสองมิติ ที่ผมเจอ ไม่ได้มีอะไรน่าเวียนหัวจนขัดแย้ง และยากต่อการเข้าใจอย่างนิยายเรื่องนี้
มันง่ายกว่ากันเยอะ.....
ครั้งแรก ผมเจอเธอบริเวณผนังห้องนอน ในวันที่ผมกำลังพยายามจัดการให้ร่างกายและจิตใจอยู่ด้วยกันให้ได้ หลังจากแฟนสาวคนดีที่หนึ่ง หิ้วกระเป๋าก้าวลงบันได ทำนองกระเป๋าแบนแฟนทิ้ง เงินจางนางจร เธอสวมกางเกงขายาวสีดำเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมขำเรือนผมยาวสลวย เรียกว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ทีเดียวเชียวละ ความสูงของเธอประมาณหนึ่งฟุต ไม่ผิดหรอก เธอมีความสูงขนาดนั้นจริง ๆ
ผมคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่า ไม่ใช่ความฝัน มันชัดเจนราวกับเป็นภาพฉากโปรเจคเตอร์โดยมีผนังห้องเป็นฉากรับภาพ เพียงแต่ไม่มีภาพอย่างอื่นมาปะปน หญิงสาวประหลาดเดินไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหายวูบไป เมื่อผมเดินไปเปิดไฟให้สว่างขึ้น
ผีหลอกวิญญาณหลอน...ความคิดวูบแรก แต่ผมไม่ใช่คนกลัวผี โดยเฉพาะถ้าเป็นผีผู้หญิง มาหลอกแบบสวยงาม ยอมเต็มใจให้หลอก ตายก็ยอม เพราะมีความน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว
บางทีอาจเพราะประสาทฟั่นเฟือนไปเอง ก็เป็นได้
คืนต่อมา เมื่อดับไฟเตรียมเข้านอน เธอปรากฏตัวอีก ครั้งนี้เธอเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ด้วยสีหน้าท่าทางค่อนข้างหวาดกลัว สอดส่ายสายตา มองหน้ามองหลังอย่างหวาดระแวง ผมลุกขึ้นจ้องมองอย่างประหลาดใจ แต่ไม่คิดจะลุกขึ้นไปเปิดไฟ หลายครั้งเธอขยับริมฝีปาก เหมือนกำลังพูด แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองยื่นมือไปแตะตัวเธอ สิ่งที่สัมผัสก็คือผิวแข็งกระด้างของผนัง เป็นอันว่าประสาทสัมผัสอย่างอื่นไม่อาจสื่อถึงเธอได้ นอกจากการมองเห็นเท่านั้น
จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน แต่ใจก็เริ่มเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเธอกำลังหนีอะไร รูปแบบไหน เพราะบนผนังมีเพียงภาพของเธอเท่านั้น ก็อย่างที่คุณหมอรู้นั่นละครับ ถึงผมจะบ้ากลุ่มเสี่ยง แต่จิตใจของผมอ่อนโยน ล้นเอ่อไปด้วยคุณความดี ไม่มีพิษภัยกับใคร ทำให้ผมต้องนั่งลุ้นใจสั่นเอาใจช่วย จนเธอวิ่งหายลับกลายเป็นจุดและหายไป
นั่นเองทำให้ผมคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถ้าไม่บ้าก็เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เมา เพราะผมไม่เคยดื่มของมึนเมา อม้ว่าเพื่อนฝูงจะสรรเสริญความดีงามของแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม แค่เอามาเช็ดแผล ก็ขวัญหนีดีฝ่อ ดังนั้นตัดปัญหาเมาไปได้เลย ผู้หญิงคนนั้นจะต้องมาจากจักรวาลคู่ขนานพิเศษ หรือไม่ก็มาจากรูหนอน หรือสะพานไอน์สไตน์-โรเซน อย่างแน่นอน
อย่าดูถูกกันเชียวนะหมอ ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ไอนสไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง เอ็ดวิน ฮับเบิล และใครต่อใครอีกหลายคน ว่าง ๆ คุณหมอจะมานั่งอภิปรายกันเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ หรือจักรวาลวิทยา ก็ได้นะครับ เผลอ ๆ เราอาจเจอทฤษฎีสรรพสิ่งก็ได้ ใครจะไปรู้ หลังจากนั้น ผมก็จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คอยคิดถึงผู้หญิงสองมิติจนแทบไม่มีเวลาทำอะไร เวลากลางวันเธอจะไม่ปรากฏตัว จนกว่าจะถึงเวลากลางคืน และเป็นอย่างคิดเอาไว้
สามทุ่มกว่า หลังจากปิดไฟนอนกระสับกระส่ายพักหนึ่ง เธอก็ปรากฏบนผนัง
คืนนี้เธอใส่เดรสสีน้ำเงิน สวยไปอีกแบบหนึ่ง ท่าทางยังเหมือนกำลังพยายามหลบหนีอะไรบางอย่างเช่นเคย ผมลุกขึ้นจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ระทึกยิ่งกว่าดูหนังสยองขวัญ ความรู้สึกผูกพัน กังวลห่วงใยปะทุอยู่ในความรู้สึก อยากจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากอันตรายร้ายกาจภูตผีปีศาจ หรืออะไรก็ตามที่คอยรังควาน
และแล้ว มันก็ปรากฏตัวให้เห็นจนได้
ห่างจากเธอประมาณสองฟุต เจ้าปีศาจร้ายตัวหนึ่งสวมชุดคลุม เลอะเทอะ กระดํากระด่าง. บนศีรษะสวมหมวกใบใหญ่ ในมือถือมีดเล่มยาว ใบหน้าแสยะยิ้มชั่วร้ายน่าชิงชังรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางของมันไม่ต่างจากฆาตกรโรคจิตกำลังออกล่าเหยื่อ ทั้งสองเฉียดกันไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเจอเหยื่อสาว
ผมใช้กำปั้นต่อยอัดไปยังร่างของเจ้าปีศาจจนเจ็บมือ แม้จะรับรู้ว่าตัวเองกำลังต่อยฝาผนังไม่ผิดจากคนบ้า เจ้าปีศาจไม่ได้รับรู้อะไรแม้แต่น้อย ยังคงเดินตามหาเหยื่อของมันต่อไป ความคิดวูบขึ้นมา ผมกระโดดลงจากเตียง วิ่งเข้าไปห้องครัว จำได้ว่าเก็บค้อนตอกตะปูเอาไว้สำหรับงานซ่อมแซมเล็ก ๆ หยิบติดมือ วิ่งกลับมาห้องนอน เห็นกับตาว่า เจ้าปีศาจร้ายลอยห่างจากศีรษะของเธอไม่ถึงหนึ่งฟุต มันกำลังจะจับตัวเธอได้
โดยไม่รีรอ ค้อนในมือฟาดกระหน่ำใส่ร่างของเจ้าปีศาจเต็มแรงชนิดไม่นับ ความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง เพราะใช้ซ่อมแซมสิ่งของจนคุ้นมือ เจ้าปีศาจร้ายส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สีหน้าท่าทางตกใจ ล้มลงนอนดิ้นไปมา ก่อนลุกขึ้นวิ่งหายลับไปในความมืดด้านหลัง ผมร้องด้วยความสะใจ ค้อนตอกกะปูสามารถทะลุทลวงผ่ามิติเข้าไปเล่นงานมันได้ สนุกละคราวนี้...ผมร้องออกมาอย่างลืมตัว ด้วยความรู้สึกของนักรบ ผู้เพิ่งช่วยเจ้าหญิงให้พ้นเงื้อมมือปีศาจ
หญิงสาวนั่งลงหายใจหอบ มองรอบตัวด้วยสีหน้าท่าทางยังไม่หายตกใจกลัว
หลังจากนั้น ก็เป็นอย่างที่ผมเคยเล่าให้พวกคุณหมอฟัง ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบละครับ ทุกคืนผมต้องคอยปกป้องเธอให้รอดพ้นจากปีศาจ ราวกับกลายเป็นหน้าที่ พวกปีศาจมีหลายตัว จนบางคืนผมต้องพกสิ่วเจาะพื้นไปด้วย ฆ่าพวกมันไปหลายตัว ผู้หญิงคนนั้นเธอเริ่มรับรู้ถึงการดูแลปกป้องมากขึ้นทุกที ถึงเราจะไม่สามารถสัมผัสกันได้โดยตรง แต่ความรู้สึกสามารถส่งผ่านทะลุมิติไปได้ เธอเริ่มรับรู้ว่า มีใครบางคนคอยปกป้อง
นั่นอาจจะเป็นความฝันของเธอก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
การรบกวนของพวกปีศาจค่อยเบาบางลง หลายคืนเธอมีเวลามานั่งจ้องมองออกมาจากผนัง ทำท่าพูดบางอย่างพร้อมรอยยิ้ม ความน่ารักทำให้หัวใจละลาย เราเริ่มคุยกันทาง ‘ความรู้สึกพิเศษ’ ที่ไร้พรมแดน
ผมหลงรักข้ามมิติเข้าให้เสียแล้วสิครับ
จะแลกด้วยอะไรก็ยอม ชีวิตที่เหลือก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีเท่าไร
จิตแพทย์หนุ่มวางบันทึกของคนไข้ทางจิตระดับพิเศษลงบนโต๊ะ คิดถึงเจ้าของบันทึก หนุ่มหน้ามนคนนั้นถูกจับมารักษาเพราะใช้ค้อนตอกตะปู เจาะผนังห้องเช่าทุกคืนราวคนบ้า จนเกิดการชำรุดเสียหาย บางคนบอกว่าเขาพยายามจะเจาะผนัง เพื่อไปหาหญิงสาวที่พักอยู่ห้องด้านข้าง แต่ความจริงห้องข้าง ๆ นั้นไม่มีคนมาพักอาศัยนานแล้ว ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คำให้การพิสดารทำให้พวกตำรวจส่งผู้ต้องหามาสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต
หมอหนุ่มจำได้ว่า เคยคุยกับคนไข้รายนี้หลายครั้ง เขาดูปกติ อารมณ์ดีเกินไปด้วยซ้ำ แต่อย่างว่า อาการ ‘บ้าหลบใน’ ก็ยังมีในรายงานวิจัยทางโรตจิต ไม่ควรไว้ใจ มองดูนาฬิกา เพิ่งบ่ายสอง ยังมีเวลาไปเยี่ยมคนไข้ที่รู้สึกว่าจะพูดคุยถูกคอกันดี
หลังผ่านการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ดูแล คุณหมอจึงมีโอกาสมาเยี่ยมคนไข้ถึงในห้อง เขาต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ในห้องไม่มีคนไข้ทั้งที่ประตูล็อกจากภายนอก เจ้าหน้าที่ก็เพิ่งยืนยันมั่นคงว่า ไม่มีใครหลบรอดสายตาออกไปได้
มีบางอย่างผิดปกติ
คุณหมอหนุ่มรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด มองดูรอบห้อง บนเพดาน กระทั่งใต้เตียง ไร้วี่แววเจ้าของห้อง หน้าต่างมีเหล็กดัด เขาหายไปได้ ราวกลายเป็นอากาศธาตุ
ทันใดนั้นเองหมอหนุ่มก็ต้องยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อ
ผนังห้องปรากฏภาพขึ้นราวมีการฉายโปรเจคเตอร์ ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง ยืนเคียงคู่ หันหน้ามองออกมา พร้อมรอยยิ้มราวทักทาย จำได้ดีว่าชายหนุ่มในภาพบนผนัง เป็นคนไข้ของคุณหมอนั่นเอง มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน
คนทั้งคู่เดินจูงมือกัน กลับหลัง เดินห่างออกไป มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกระชับดาบแน่นราวเทพผู้พิทักษ์ แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนไกลออกไปแสงไฟกะพริบวิบวับพอให้เห็น ก่อนภาพบนผนังดับลับหายไปในที่สุด
คุณหมอหนุ่มยืนนิ่ง ความรู้สึกชาค้างเนิ่นนาน
.
Tne End.
ผู้หญิงสองมิติ
ผู้หญิงสองมิติ
ก่อนที่หมอและพยาบาลจะมาจับผมฉีดยาระงับอาการทางประสาท (ตามที่พวกเขาคิดว่าผมมีอาการตามนั้น) ผมยังมีเวลาบันทึก ‘ความจริง’ บางอย่าง ที่ฟังแล้วเหลือเชื่อ (แน่นอนว่าผมไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อ เพราะมันหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่ว่าใครก็ทำใจยาก ที่จะให้เชื่อ) แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องจริง
ผมมีโอกาสเจอ ผู้หญิง สองมิติ
ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้เหมือนผู้หญิงในนิยายเก่าแก่ เรื่อง Flatland ซึ่งจัดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นเก่า เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1884 ว่าด้วยอาณาจักรแบนราบสองมิติ คือกว้างและยาว ไม่มีความสูงหรือความหนา สิ่งมีชีวิตในอาณาจักร จะมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมทรงต่าง ๆ พวกเขามีพฤติกรรมสติปัญญาและรูปแบบสังคม ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตในจักรวาลสามมิติอย่าง จนเป็นที่ถกเถียงกันว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จะแยกแยะรูปร่างต่าง ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงเส้นตรง และจุดเท่านั้น
ถ้าคุณหมอจะงง ก็งง ต่อไป เพราะคุณหมอคงไม่เคยอ่าน คนเขียนก็ไม่ได้ออกมาอธิบาย เนื่องจากยุคนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่จะบอกให้พวกคุณสบายใจอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงสองมิติ ที่ผมเจอ ไม่ได้มีอะไรน่าเวียนหัวจนขัดแย้ง และยากต่อการเข้าใจอย่างนิยายเรื่องนี้
มันง่ายกว่ากันเยอะ.....
ครั้งแรก ผมเจอเธอบริเวณผนังห้องนอน ในวันที่ผมกำลังพยายามจัดการให้ร่างกายและจิตใจอยู่ด้วยกันให้ได้ หลังจากแฟนสาวคนดีที่หนึ่ง หิ้วกระเป๋าก้าวลงบันได ทำนองกระเป๋าแบนแฟนทิ้ง เงินจางนางจร เธอสวมกางเกงขายาวสีดำเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมขำเรือนผมยาวสลวย เรียกว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ทีเดียวเชียวละ ความสูงของเธอประมาณหนึ่งฟุต ไม่ผิดหรอก เธอมีความสูงขนาดนั้นจริง ๆ
ผมคิดว่าตัวเองฝันไป แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่า ไม่ใช่ความฝัน มันชัดเจนราวกับเป็นภาพฉากโปรเจคเตอร์โดยมีผนังห้องเป็นฉากรับภาพ เพียงแต่ไม่มีภาพอย่างอื่นมาปะปน หญิงสาวประหลาดเดินไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหายวูบไป เมื่อผมเดินไปเปิดไฟให้สว่างขึ้น
ผีหลอกวิญญาณหลอน...ความคิดวูบแรก แต่ผมไม่ใช่คนกลัวผี โดยเฉพาะถ้าเป็นผีผู้หญิง มาหลอกแบบสวยงาม ยอมเต็มใจให้หลอก ตายก็ยอม เพราะมีความน่ารักมากกว่าจะน่ากลัว
บางทีอาจเพราะประสาทฟั่นเฟือนไปเอง ก็เป็นได้
คืนต่อมา เมื่อดับไฟเตรียมเข้านอน เธอปรากฏตัวอีก ครั้งนี้เธอเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ด้วยสีหน้าท่าทางค่อนข้างหวาดกลัว สอดส่ายสายตา มองหน้ามองหลังอย่างหวาดระแวง ผมลุกขึ้นจ้องมองอย่างประหลาดใจ แต่ไม่คิดจะลุกขึ้นไปเปิดไฟ หลายครั้งเธอขยับริมฝีปาก เหมือนกำลังพูด แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองยื่นมือไปแตะตัวเธอ สิ่งที่สัมผัสก็คือผิวแข็งกระด้างของผนัง เป็นอันว่าประสาทสัมผัสอย่างอื่นไม่อาจสื่อถึงเธอได้ นอกจากการมองเห็นเท่านั้น
จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกัน แต่ใจก็เริ่มเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเธอกำลังหนีอะไร รูปแบบไหน เพราะบนผนังมีเพียงภาพของเธอเท่านั้น ก็อย่างที่คุณหมอรู้นั่นละครับ ถึงผมจะบ้ากลุ่มเสี่ยง แต่จิตใจของผมอ่อนโยน ล้นเอ่อไปด้วยคุณความดี ไม่มีพิษภัยกับใคร ทำให้ผมต้องนั่งลุ้นใจสั่นเอาใจช่วย จนเธอวิ่งหายลับกลายเป็นจุดและหายไป
นั่นเองทำให้ผมคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถ้าไม่บ้าก็เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เมา เพราะผมไม่เคยดื่มของมึนเมา อม้ว่าเพื่อนฝูงจะสรรเสริญความดีงามของแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม แค่เอามาเช็ดแผล ก็ขวัญหนีดีฝ่อ ดังนั้นตัดปัญหาเมาไปได้เลย ผู้หญิงคนนั้นจะต้องมาจากจักรวาลคู่ขนานพิเศษ หรือไม่ก็มาจากรูหนอน หรือสะพานไอน์สไตน์-โรเซน อย่างแน่นอน
อย่าดูถูกกันเชียวนะหมอ ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ไอนสไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง เอ็ดวิน ฮับเบิล และใครต่อใครอีกหลายคน ว่าง ๆ คุณหมอจะมานั่งอภิปรายกันเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ หรือจักรวาลวิทยา ก็ได้นะครับ เผลอ ๆ เราอาจเจอทฤษฎีสรรพสิ่งก็ได้ ใครจะไปรู้ หลังจากนั้น ผมก็จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คอยคิดถึงผู้หญิงสองมิติจนแทบไม่มีเวลาทำอะไร เวลากลางวันเธอจะไม่ปรากฏตัว จนกว่าจะถึงเวลากลางคืน และเป็นอย่างคิดเอาไว้
สามทุ่มกว่า หลังจากปิดไฟนอนกระสับกระส่ายพักหนึ่ง เธอก็ปรากฏบนผนัง
คืนนี้เธอใส่เดรสสีน้ำเงิน สวยไปอีกแบบหนึ่ง ท่าทางยังเหมือนกำลังพยายามหลบหนีอะไรบางอย่างเช่นเคย ผมลุกขึ้นจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ระทึกยิ่งกว่าดูหนังสยองขวัญ ความรู้สึกผูกพัน กังวลห่วงใยปะทุอยู่ในความรู้สึก อยากจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากอันตรายร้ายกาจภูตผีปีศาจ หรืออะไรก็ตามที่คอยรังควาน
และแล้ว มันก็ปรากฏตัวให้เห็นจนได้
ห่างจากเธอประมาณสองฟุต เจ้าปีศาจร้ายตัวหนึ่งสวมชุดคลุม เลอะเทอะ กระดํากระด่าง. บนศีรษะสวมหมวกใบใหญ่ ในมือถือมีดเล่มยาว ใบหน้าแสยะยิ้มชั่วร้ายน่าชิงชังรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางของมันไม่ต่างจากฆาตกรโรคจิตกำลังออกล่าเหยื่อ ทั้งสองเฉียดกันไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเจอเหยื่อสาว
ผมใช้กำปั้นต่อยอัดไปยังร่างของเจ้าปีศาจจนเจ็บมือ แม้จะรับรู้ว่าตัวเองกำลังต่อยฝาผนังไม่ผิดจากคนบ้า เจ้าปีศาจไม่ได้รับรู้อะไรแม้แต่น้อย ยังคงเดินตามหาเหยื่อของมันต่อไป ความคิดวูบขึ้นมา ผมกระโดดลงจากเตียง วิ่งเข้าไปห้องครัว จำได้ว่าเก็บค้อนตอกตะปูเอาไว้สำหรับงานซ่อมแซมเล็ก ๆ หยิบติดมือ วิ่งกลับมาห้องนอน เห็นกับตาว่า เจ้าปีศาจร้ายลอยห่างจากศีรษะของเธอไม่ถึงหนึ่งฟุต มันกำลังจะจับตัวเธอได้
โดยไม่รีรอ ค้อนในมือฟาดกระหน่ำใส่ร่างของเจ้าปีศาจเต็มแรงชนิดไม่นับ ความแม่นยำไม่ต้องพูดถึง เพราะใช้ซ่อมแซมสิ่งของจนคุ้นมือ เจ้าปีศาจร้ายส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สีหน้าท่าทางตกใจ ล้มลงนอนดิ้นไปมา ก่อนลุกขึ้นวิ่งหายลับไปในความมืดด้านหลัง ผมร้องด้วยความสะใจ ค้อนตอกกะปูสามารถทะลุทลวงผ่ามิติเข้าไปเล่นงานมันได้ สนุกละคราวนี้...ผมร้องออกมาอย่างลืมตัว ด้วยความรู้สึกของนักรบ ผู้เพิ่งช่วยเจ้าหญิงให้พ้นเงื้อมมือปีศาจ
หญิงสาวนั่งลงหายใจหอบ มองรอบตัวด้วยสีหน้าท่าทางยังไม่หายตกใจกลัว
หลังจากนั้น ก็เป็นอย่างที่ผมเคยเล่าให้พวกคุณหมอฟัง ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบละครับ ทุกคืนผมต้องคอยปกป้องเธอให้รอดพ้นจากปีศาจ ราวกับกลายเป็นหน้าที่ พวกปีศาจมีหลายตัว จนบางคืนผมต้องพกสิ่วเจาะพื้นไปด้วย ฆ่าพวกมันไปหลายตัว ผู้หญิงคนนั้นเธอเริ่มรับรู้ถึงการดูแลปกป้องมากขึ้นทุกที ถึงเราจะไม่สามารถสัมผัสกันได้โดยตรง แต่ความรู้สึกสามารถส่งผ่านทะลุมิติไปได้ เธอเริ่มรับรู้ว่า มีใครบางคนคอยปกป้อง
นั่นอาจจะเป็นความฝันของเธอก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
การรบกวนของพวกปีศาจค่อยเบาบางลง หลายคืนเธอมีเวลามานั่งจ้องมองออกมาจากผนัง ทำท่าพูดบางอย่างพร้อมรอยยิ้ม ความน่ารักทำให้หัวใจละลาย เราเริ่มคุยกันทาง ‘ความรู้สึกพิเศษ’ ที่ไร้พรมแดน
ผมหลงรักข้ามมิติเข้าให้เสียแล้วสิครับ
จะแลกด้วยอะไรก็ยอม ชีวิตที่เหลือก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีเท่าไร
จิตแพทย์หนุ่มวางบันทึกของคนไข้ทางจิตระดับพิเศษลงบนโต๊ะ คิดถึงเจ้าของบันทึก หนุ่มหน้ามนคนนั้นถูกจับมารักษาเพราะใช้ค้อนตอกตะปู เจาะผนังห้องเช่าทุกคืนราวคนบ้า จนเกิดการชำรุดเสียหาย บางคนบอกว่าเขาพยายามจะเจาะผนัง เพื่อไปหาหญิงสาวที่พักอยู่ห้องด้านข้าง แต่ความจริงห้องข้าง ๆ นั้นไม่มีคนมาพักอาศัยนานแล้ว ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คำให้การพิสดารทำให้พวกตำรวจส่งผู้ต้องหามาสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต
หมอหนุ่มจำได้ว่า เคยคุยกับคนไข้รายนี้หลายครั้ง เขาดูปกติ อารมณ์ดีเกินไปด้วยซ้ำ แต่อย่างว่า อาการ ‘บ้าหลบใน’ ก็ยังมีในรายงานวิจัยทางโรตจิต ไม่ควรไว้ใจ มองดูนาฬิกา เพิ่งบ่ายสอง ยังมีเวลาไปเยี่ยมคนไข้ที่รู้สึกว่าจะพูดคุยถูกคอกันดี
หลังผ่านการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ดูแล คุณหมอจึงมีโอกาสมาเยี่ยมคนไข้ถึงในห้อง เขาต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ในห้องไม่มีคนไข้ทั้งที่ประตูล็อกจากภายนอก เจ้าหน้าที่ก็เพิ่งยืนยันมั่นคงว่า ไม่มีใครหลบรอดสายตาออกไปได้
มีบางอย่างผิดปกติ
คุณหมอหนุ่มรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด มองดูรอบห้อง บนเพดาน กระทั่งใต้เตียง ไร้วี่แววเจ้าของห้อง หน้าต่างมีเหล็กดัด เขาหายไปได้ ราวกลายเป็นอากาศธาตุ
ทันใดนั้นเองหมอหนุ่มก็ต้องยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อ
ผนังห้องปรากฏภาพขึ้นราวมีการฉายโปรเจคเตอร์ ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง ยืนเคียงคู่ หันหน้ามองออกมา พร้อมรอยยิ้มราวทักทาย จำได้ดีว่าชายหนุ่มในภาพบนผนัง เป็นคนไข้ของคุณหมอนั่นเอง มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน
คนทั้งคู่เดินจูงมือกัน กลับหลัง เดินห่างออกไป มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกระชับดาบแน่นราวเทพผู้พิทักษ์ แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนไกลออกไปแสงไฟกะพริบวิบวับพอให้เห็น ก่อนภาพบนผนังดับลับหายไปในที่สุด
คุณหมอหนุ่มยืนนิ่ง ความรู้สึกชาค้างเนิ่นนาน
.
Tne End.