.
“คนไข้อาการหนัก คุณปล่อยให้รอดหู รอดตามาได้ยังไง”
เสียงผู้อำนวยการสถาบันโรคทางประสาท แผดขึ้นอย่างไม่พอใจ ภายในส่วนทำงานส่วนตัวของจิตแพทย์หนุ่ม เขากำลังนั่งอ่านบันทึกของคนไข้อยู่เพลิน ๆ ท่านผู้ใหญ่แห่งวงการคนบ้าประสาทก็โผล่ เข้ามาให้ห้องด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด อากาศวันนี้ร้อนเป็นพิเศษเพราะเห็นผู้อำนวยการเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อหัวล้านแตกซิก แต่เพราะความเป็น ท่านผู้นำ แห่งวงการวิปลาส เขาจึงปั้นหน้าให้ “หล่อ” มากขึ้น
ความหล่อ เป็นโรคไม่ติดต่ออย่างหนึ่ง แต่ที่ทำให้หลายคนหวาดผวา เพราะโรค และ โลก ความหล่อ ถึงจะไม่ติดต่อ แต่...ไม่เคยปรานีใคร
“ผมกำชับแล้วแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้สนใจคนไข้ให้ดี เดี๋ยวเสียชื่อสถาบันหมด พักนี้คนเรากำลังนิยมบ้า ไม่รู้เพราะอะไร แถมนิยมบ้าแบบไร้เงา คือไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้า ถ้าเราบริการไม่ดี เดี๋ยวคนไข้ก็แห่ไปบ้าที่อื่น ยื่นใบสมัคร บ้า ที่อื่นหมด เสียชื่อสถาบันหมด ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ความบ้าคือสรณะ”
เสียงขุ่นมัวนั้นยังดังต่อไปพลางเดินวนไปมาหน้าโต๊ะอย่างคนอารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ยอมนั่งระงับสติอารมณ์
“ใจเย็นๆครับ” จิตแพทย์หนุ่มในชุดกาวน์ กำลังนั่งดูท่าทาง พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “มีเรื่องอะไร คนไข้คนไหน บ้ายังไง ตึกไหน ผมจะส่งคนไปดูแล ท่านผู้อำนวยการอย่าเพิ่งประสาทแด๊กสิครับ ฮ่วย ”
“คุณคิดดู...ผมเห็นเขานั่งบ้า อยู่หน้าประตูทางเข้านานแล้ว” ท่านผู้อำนวยการโวยวาย “เขาไปนั่งทำบ้าอะไรแถวนั้น”
“อะไรนะ” จิตแพทย์หนุ่มร้องเสียงดัง พลางทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “คนไข้ทั้งคน ไปนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้า ไม่มีใครสนใจทำอะไรเลยหรือครับ ใครบ้ากันแน่”
“นี่ล่ะ ผมถึงอยากมาถามเรื่องบ้า ๆ กับคุณ คุณ”
“ตอนนี้เขาบ้าอยู่ไหนครับ มีหมอหรือพยาบาลได้ดูแลหรือยัง”
“ถ้ามี ผมคงไม่มาหาคุณหรอก” ผู้อำนวยการขึ้นเสียง ยังไม่ยอมนั่ง แต่เปลี่ยนจากเดินวนไปมา เป็นยืนเอามือเท้าเอวอย่างคนมีอารมณ์ไม่พอใจ
“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” จิตแพทย์หนุ่มถามอย่างใจเย็นอีกครั้ง
“ผมพยายามถามเขา เขาก็ไม่ตอบ ไม่พูด ไม่มอง ไม่คุย”
“เขาคงหูหนวก” จิตแพทย์หนุ่ม หนุ่มเดาทางขึ้นลอย ๆ มากกว่าจะให้ความเห็นอย่างจริงจัง แต่เสียงตอบรับจากท่านผู้อำนวยการสถาบันกลับจริงจังมากว่า
“ใช่ เขาหูหนวก”
“เอ้อ....ท่านรู้อย่างไรว่าเขาหูหนวก”
“ทำไมผมจะไม่รู้ ผมตะโกนใส่เขา จนคอแทบแตก เขายังนั่งเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือน เหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร นี่มันบ้ามาก อาการหนักขนาดนั้น ยังไม่มีคนสนใจ”
“เอ้อ...แล้วเขาไม่พูดอะไรสักคำ เลยเหรอครับ”
“พูดไม่รู้เรื่อง...ผมก็บอกคุณอยู่นี่ยังไงว่า นอกจากหูหนวกแล้ว เขายังเป็นใบ้อีก ไม่ฟังผมพูดเลยหรือนี่” ท่านผู้อำนวยการโมโหจนหนวดกระดิก
“อ้อ ครับ...แต่ที่ว่ามานี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับโรคทางจิตเลยนี่ครับ” จิตแพทย์หนุ่มแย้งอย่างสุภาพ แต่ท่านหมอใหญ่กลับหัวเราะหมิ่น ๆ แถมน้ำเสียงก็มีแววดูถูกอยู่ในที
“คุณไม่รู้อะไร คนไข้บางคนเป็นโรคทางจิตขนาดหนัก จนทำให้ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ ก็มีมากมาย อย่างทอมมี่ไง เด็กชายผู้พบสิ่งเลวร้ายในครอบครัวจนเขากลายเป็นคนหูหนวก ตาบอดเป็นใบ้ ทั้งที่ร่างกายเป็นปกติ”
จิคแพทย์หนุ่ม นั่งงงไปพักหนึ่ง ก่อนจะเพิ่งนึกออกว่า ทอมมี่เป็นชื่ออัลบั้มเพลงชุดที่ 4 ออกมาประมาณปี 1975 ของวงร็อก ชื่อก้องโลกชื่อ The who ในอดีตกับประโยคติดปากSee Me, Feel Me .. touch me, heal me..Listening To You และเรื่องราวของเด็กชายชื่อทอมมี่ ในเนื้อเพลงของอัลบั้ม มีเรื่องราวเต็มไปด้วยความบาป ตัณหาและสิ่งวิปริตเลวร้ายที่ทอมมี่ได้เผชิญ จนกลายเป็นตำนานคน หูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้
“เอ้อ..ครับ ว่าแต่คนไข้คนนี้ คงไม่ตาบอด ใช่ไหมครับ” หมอหนุ่มพูดอย่างระมัดระวัง
“ผมกำลังบอกว่าเขาตาบอดด้วย เขามองไม่เห็นอะไรเลย” ท่านผู้อำนวยการตะคอกเสียง
“มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว” จิตแพทย์หนุ่มพูด พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ จะไปดูให้รู้แน่ว่าทำไมคนไข้คนนี้ไม่ไปโรงพยาบาล ตา หู จมูก และปากมากกว่าจะอยู่ที่นี่ แต่ท่านผู้อำนวยการยกมือร้องห้ามไว้เสียก่อน พลางพูดต่อไปว่า
“ผมยังพูดไม่หมด นอกจากตาบอด หูหนวก เป็นใบ้แล้ว เขายังไม่รับรู้ต่อการสัมผัสของผม เหมือนจิตใจเขาหลุดไปอยู่อีกมิติแล้ว ผมว่าเขาอาจเจออะไรหนัก ๆ มากกว่าทอมมี่ก็เป็นไปได้”
คราวนี้ค่อยฟังเข้าเค้าหน่อย หมอหนุ่มคิดในใจ บางทีคนเราถ้าจิตใจสิ้นหวัง กดดัน ไร้ทางออก มือมนขนาดหนัก ก็สามารถส่งผลต่อจิตใจและร่างกายได้เหมือนกัน เขาเคยเห็นคนไข้บางคนจับคางคกเป็น ๆ มากัดกินอย่างอร่อยเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรครับ” จิตแพทย์หนุ่มยิ้มให้ท่านผู้อำนวยการ ทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ท่านผู้อำนวยการคว้าแขนไว้เสียก่อน พลางบอกกระซิบกระซาบด้วยเสียงเครียดหนักว่า
“เดี๋ยวก่อน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต เดี๋ยวผมจะพาเขามาหาคุณเอง ให้ผมได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในการดูแลคนไข้บ้างสิ ก่อนมาหาคุณ ผมได้โทรเรียกนักข่าวให้มาทำข่าวแล้ว คุณจะมาแย่งซีนผมได้ยังไง ผมก็อยากดังเหมือนกัน”
หมอหนุ่มถอนใจ ไม่อยากแย่งซีนของใคร หน้าที่คือรักษาคนไข้ก็ต้องรักษาคนไข้เท่านั้น นั่งรออยู่ในห้องไม่ต้องออกไปกลางแดดก็บุญหัวแล้ว
สักพักนั่งคนไข้เจ้าปัญหาก็ถูก ท่านผู้อำนวยการ นำตัวท่านผู้อำนวยการผู้เหงื่อหัวล้านแตกซิกไม่สร่างซา สีหน้าท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องบอกว่า
“นักข่าวมาเพียบ ผมต้องดังแน่งานนี้ สถาบันเราต้องดังด้วย อีกหน่อยเงินทุนจะไหลมาเทมา ผมคือฮีโร่”
จิตแพทย์หนุ่มมองแล้วส่ายหน้า ถอนใจ ไม่พูดจาอะไรกับทั้งคนไข้และท่านผู้อำนวยการ ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะกดโทรออกไปยังศูนย์เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
“ เจ้าหน้าที่..มารับคนไข้อาการหนักมากที่ห้องผมด่วนด้วยครับ มาเดี๋ยวนี้เลย” ว่าพลางชำเลืองดูท่านผู้อำนวยการซึ่งกำลังบรรจงวาง ‘คนไข้อาการหนัก’ ลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
‘ก้อนหิน’ หนักขนาดใหญ่ประมาณคงเกือบสิบกิโลกรัม คงหนักไม่เบาสำหรับท่านผู้อำนวยการ คงกลัวคนมาแย่งซีน เลยพยายามยกก้อนหิน เหงื่อท่วมตัวมาแบบนี้ ให้ตายเถอะ...คนไข้อาการหนักคือ ก้อนหิน
“นี่ไง คนไข้อาการหนัก หนักมาก...” ท่านผู้อำนวยการร้องอย่างผู้ชนะ
ไม่นาน เจ้าหน้าที่สามคน ก็เข้ามาในห้อง พาผู้อำนวยการ และก้อนหินออกไป
เออวะ...หูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไม่รู้สึกรู้สม ไม่กระดุกกระดิก ไม่เห่าไม่หอน ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ใช่...หนักไม่เบาเลย แบบนี้ใครจะไปเถียงได้ลงคอ โรคนี้มันไม่เลือกที่รักมักที่ชังจริง ๆ ใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้ จิตแพทย์หนุ่มมองออกไปทางนอกหน้าต่าง เห็นเห็นคุณหมอแจ็คสันกำลังวาดลวดลายมูนวอร์กไปมาอย่างมีความสุข คนไข้หลายสิบคนพากันมุงดูร้องเชียร์เสียงดังขรมอย่างสนุกสนาน ลีลาท่าทางของคุณหมอแทบไม่ต่างจากไมเคิล แจ็กสันตัวจริง พลิ้วไหวดั่งสายน้ำ ลีลาโยกไหล่บิดขายึกยักกึกกัก กะด้างจึกกึก ดูเพลินตาอย่างยิ่ง
จิตแพทย์หนุ่ม ไม่พูดอะไรอีก แต่ มูนวอร์ก ออกไปมาคุณหมอแจ็กสันอย่างตั้งใจ พร้อมกับฮัมเพลง .... อะ อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์....
บ้าสักวันก็ดี
ก่อนอาการจะ หนัก
โอ..... อะ อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์....
จบครับ
++++++
อาการหนัก...
.
“คนไข้อาการหนัก คุณปล่อยให้รอดหู รอดตามาได้ยังไง”
เสียงผู้อำนวยการสถาบันโรคทางประสาท แผดขึ้นอย่างไม่พอใจ ภายในส่วนทำงานส่วนตัวของจิตแพทย์หนุ่ม เขากำลังนั่งอ่านบันทึกของคนไข้อยู่เพลิน ๆ ท่านผู้ใหญ่แห่งวงการคนบ้าประสาทก็โผล่ เข้ามาให้ห้องด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด อากาศวันนี้ร้อนเป็นพิเศษเพราะเห็นผู้อำนวยการเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อหัวล้านแตกซิก แต่เพราะความเป็น ท่านผู้นำ แห่งวงการวิปลาส เขาจึงปั้นหน้าให้ “หล่อ” มากขึ้น
ความหล่อ เป็นโรคไม่ติดต่ออย่างหนึ่ง แต่ที่ทำให้หลายคนหวาดผวา เพราะโรค และ โลก ความหล่อ ถึงจะไม่ติดต่อ แต่...ไม่เคยปรานีใคร
“ผมกำชับแล้วแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้สนใจคนไข้ให้ดี เดี๋ยวเสียชื่อสถาบันหมด พักนี้คนเรากำลังนิยมบ้า ไม่รู้เพราะอะไร แถมนิยมบ้าแบบไร้เงา คือไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้า ถ้าเราบริการไม่ดี เดี๋ยวคนไข้ก็แห่ไปบ้าที่อื่น ยื่นใบสมัคร บ้า ที่อื่นหมด เสียชื่อสถาบันหมด ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ความบ้าคือสรณะ”
เสียงขุ่นมัวนั้นยังดังต่อไปพลางเดินวนไปมาหน้าโต๊ะอย่างคนอารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ยอมนั่งระงับสติอารมณ์
“ใจเย็นๆครับ” จิตแพทย์หนุ่มในชุดกาวน์ กำลังนั่งดูท่าทาง พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “มีเรื่องอะไร คนไข้คนไหน บ้ายังไง ตึกไหน ผมจะส่งคนไปดูแล ท่านผู้อำนวยการอย่าเพิ่งประสาทแด๊กสิครับ ฮ่วย ”
“คุณคิดดู...ผมเห็นเขานั่งบ้า อยู่หน้าประตูทางเข้านานแล้ว” ท่านผู้อำนวยการโวยวาย “เขาไปนั่งทำบ้าอะไรแถวนั้น”
“อะไรนะ” จิตแพทย์หนุ่มร้องเสียงดัง พลางทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “คนไข้ทั้งคน ไปนั่งอยู่หน้าประตูทางเข้า ไม่มีใครสนใจทำอะไรเลยหรือครับ ใครบ้ากันแน่”
“นี่ล่ะ ผมถึงอยากมาถามเรื่องบ้า ๆ กับคุณ คุณ”
“ตอนนี้เขาบ้าอยู่ไหนครับ มีหมอหรือพยาบาลได้ดูแลหรือยัง”
“ถ้ามี ผมคงไม่มาหาคุณหรอก” ผู้อำนวยการขึ้นเสียง ยังไม่ยอมนั่ง แต่เปลี่ยนจากเดินวนไปมา เป็นยืนเอามือเท้าเอวอย่างคนมีอารมณ์ไม่พอใจ
“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” จิตแพทย์หนุ่มถามอย่างใจเย็นอีกครั้ง
“ผมพยายามถามเขา เขาก็ไม่ตอบ ไม่พูด ไม่มอง ไม่คุย”
“เขาคงหูหนวก” จิตแพทย์หนุ่ม หนุ่มเดาทางขึ้นลอย ๆ มากกว่าจะให้ความเห็นอย่างจริงจัง แต่เสียงตอบรับจากท่านผู้อำนวยการสถาบันกลับจริงจังมากว่า
“ใช่ เขาหูหนวก”
“เอ้อ....ท่านรู้อย่างไรว่าเขาหูหนวก”
“ทำไมผมจะไม่รู้ ผมตะโกนใส่เขา จนคอแทบแตก เขายังนั่งเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือน เหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร นี่มันบ้ามาก อาการหนักขนาดนั้น ยังไม่มีคนสนใจ”
“เอ้อ...แล้วเขาไม่พูดอะไรสักคำ เลยเหรอครับ”
“พูดไม่รู้เรื่อง...ผมก็บอกคุณอยู่นี่ยังไงว่า นอกจากหูหนวกแล้ว เขายังเป็นใบ้อีก ไม่ฟังผมพูดเลยหรือนี่” ท่านผู้อำนวยการโมโหจนหนวดกระดิก
“อ้อ ครับ...แต่ที่ว่ามานี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับโรคทางจิตเลยนี่ครับ” จิตแพทย์หนุ่มแย้งอย่างสุภาพ แต่ท่านหมอใหญ่กลับหัวเราะหมิ่น ๆ แถมน้ำเสียงก็มีแววดูถูกอยู่ในที
“คุณไม่รู้อะไร คนไข้บางคนเป็นโรคทางจิตขนาดหนัก จนทำให้ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ ก็มีมากมาย อย่างทอมมี่ไง เด็กชายผู้พบสิ่งเลวร้ายในครอบครัวจนเขากลายเป็นคนหูหนวก ตาบอดเป็นใบ้ ทั้งที่ร่างกายเป็นปกติ”
จิคแพทย์หนุ่ม นั่งงงไปพักหนึ่ง ก่อนจะเพิ่งนึกออกว่า ทอมมี่เป็นชื่ออัลบั้มเพลงชุดที่ 4 ออกมาประมาณปี 1975 ของวงร็อก ชื่อก้องโลกชื่อ The who ในอดีตกับประโยคติดปากSee Me, Feel Me .. touch me, heal me..Listening To You และเรื่องราวของเด็กชายชื่อทอมมี่ ในเนื้อเพลงของอัลบั้ม มีเรื่องราวเต็มไปด้วยความบาป ตัณหาและสิ่งวิปริตเลวร้ายที่ทอมมี่ได้เผชิญ จนกลายเป็นตำนานคน หูหนวก ตาบอด และเป็นใบ้
“เอ้อ..ครับ ว่าแต่คนไข้คนนี้ คงไม่ตาบอด ใช่ไหมครับ” หมอหนุ่มพูดอย่างระมัดระวัง
“ผมกำลังบอกว่าเขาตาบอดด้วย เขามองไม่เห็นอะไรเลย” ท่านผู้อำนวยการตะคอกเสียง
“มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว” จิตแพทย์หนุ่มพูด พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ จะไปดูให้รู้แน่ว่าทำไมคนไข้คนนี้ไม่ไปโรงพยาบาล ตา หู จมูก และปากมากกว่าจะอยู่ที่นี่ แต่ท่านผู้อำนวยการยกมือร้องห้ามไว้เสียก่อน พลางพูดต่อไปว่า
“ผมยังพูดไม่หมด นอกจากตาบอด หูหนวก เป็นใบ้แล้ว เขายังไม่รับรู้ต่อการสัมผัสของผม เหมือนจิตใจเขาหลุดไปอยู่อีกมิติแล้ว ผมว่าเขาอาจเจออะไรหนัก ๆ มากกว่าทอมมี่ก็เป็นไปได้”
คราวนี้ค่อยฟังเข้าเค้าหน่อย หมอหนุ่มคิดในใจ บางทีคนเราถ้าจิตใจสิ้นหวัง กดดัน ไร้ทางออก มือมนขนาดหนัก ก็สามารถส่งผลต่อจิตใจและร่างกายได้เหมือนกัน เขาเคยเห็นคนไข้บางคนจับคางคกเป็น ๆ มากัดกินอย่างอร่อยเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรครับ” จิตแพทย์หนุ่มยิ้มให้ท่านผู้อำนวยการ ทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ท่านผู้อำนวยการคว้าแขนไว้เสียก่อน พลางบอกกระซิบกระซาบด้วยเสียงเครียดหนักว่า
“เดี๋ยวก่อน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต เดี๋ยวผมจะพาเขามาหาคุณเอง ให้ผมได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในการดูแลคนไข้บ้างสิ ก่อนมาหาคุณ ผมได้โทรเรียกนักข่าวให้มาทำข่าวแล้ว คุณจะมาแย่งซีนผมได้ยังไง ผมก็อยากดังเหมือนกัน”
หมอหนุ่มถอนใจ ไม่อยากแย่งซีนของใคร หน้าที่คือรักษาคนไข้ก็ต้องรักษาคนไข้เท่านั้น นั่งรออยู่ในห้องไม่ต้องออกไปกลางแดดก็บุญหัวแล้ว
สักพักนั่งคนไข้เจ้าปัญหาก็ถูก ท่านผู้อำนวยการ นำตัวท่านผู้อำนวยการผู้เหงื่อหัวล้านแตกซิกไม่สร่างซา สีหน้าท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องบอกว่า
“นักข่าวมาเพียบ ผมต้องดังแน่งานนี้ สถาบันเราต้องดังด้วย อีกหน่อยเงินทุนจะไหลมาเทมา ผมคือฮีโร่”
จิตแพทย์หนุ่มมองแล้วส่ายหน้า ถอนใจ ไม่พูดจาอะไรกับทั้งคนไข้และท่านผู้อำนวยการ ยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะกดโทรออกไปยังศูนย์เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
“ เจ้าหน้าที่..มารับคนไข้อาการหนักมากที่ห้องผมด่วนด้วยครับ มาเดี๋ยวนี้เลย” ว่าพลางชำเลืองดูท่านผู้อำนวยการซึ่งกำลังบรรจงวาง ‘คนไข้อาการหนัก’ ลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
‘ก้อนหิน’ หนักขนาดใหญ่ประมาณคงเกือบสิบกิโลกรัม คงหนักไม่เบาสำหรับท่านผู้อำนวยการ คงกลัวคนมาแย่งซีน เลยพยายามยกก้อนหิน เหงื่อท่วมตัวมาแบบนี้ ให้ตายเถอะ...คนไข้อาการหนักคือ ก้อนหิน
“นี่ไง คนไข้อาการหนัก หนักมาก...” ท่านผู้อำนวยการร้องอย่างผู้ชนะ
ไม่นาน เจ้าหน้าที่สามคน ก็เข้ามาในห้อง พาผู้อำนวยการ และก้อนหินออกไป
เออวะ...หูหนวกตาบอดเป็นใบ้ไม่รู้สึกรู้สม ไม่กระดุกกระดิก ไม่เห่าไม่หอน ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ใช่...หนักไม่เบาเลย แบบนี้ใครจะไปเถียงได้ลงคอ โรคนี้มันไม่เลือกที่รักมักที่ชังจริง ๆ ใหญ่แค่ไหนก็เป็นได้ จิตแพทย์หนุ่มมองออกไปทางนอกหน้าต่าง เห็นเห็นคุณหมอแจ็คสันกำลังวาดลวดลายมูนวอร์กไปมาอย่างมีความสุข คนไข้หลายสิบคนพากันมุงดูร้องเชียร์เสียงดังขรมอย่างสนุกสนาน ลีลาท่าทางของคุณหมอแทบไม่ต่างจากไมเคิล แจ็กสันตัวจริง พลิ้วไหวดั่งสายน้ำ ลีลาโยกไหล่บิดขายึกยักกึกกัก กะด้างจึกกึก ดูเพลินตาอย่างยิ่ง
จิตแพทย์หนุ่ม ไม่พูดอะไรอีก แต่ มูนวอร์ก ออกไปมาคุณหมอแจ็กสันอย่างตั้งใจ พร้อมกับฮัมเพลง .... อะ อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์....
บ้าสักวันก็ดี ก่อนอาการจะ หนัก
โอ..... อะ อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์....
จบครับ
++++++