The Wall

กระทู้สนทนา


 
 
             จิตแพทย์หนุ่มพลิกดูใบประวัติคนไข้ในมืออีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ  ว่าไม่ผิดตัว เพราะคนไข้ที่ผู้ช่วยพยาบาลส่งตัวมาให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลักษณะท่าทางดี จนไม่น่าจะจัดเป็น ‘กลุ่มเสี่ยงอันตราย’   สีหน้าท่าทางฉลาด เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่แสดงอาการเหม่อลอยหลุดโลกให้เห็น ชุดคนไข้สีขาว ทำให้ดูดีขึ้นไปอีก

             “คุณบอกว่า คุณพยายามปกป้องโลกให้พ้นจากพวกต่างดาว”  คุณหมอเอ่ยแบบกึ่งทักทาย  กึ่งถาม กึ่งหยั่งเชิง รักษาน้ำเสียงให้สุภาพ ตามกฏข้อที่สามสิบสอง ระบุว่า “เวลาคุยกับคนไข้ทางจิต อย่าแสดงให้คนไข้ รู้ว่ามีช่องว่าง ระหว่างหมอกับคนไข้” คนไข้สาวยิ้มเล็กน้อย เหมือนรู้สึกขบขันบางอย่าง
 
             “นั่นเป็นเรื่องที่ฉันทำ ฉันต้องปกป้องมนุษย์”  เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติเช่นกัน แววตาสีหน้าไม่แสดงถึงอาการล้อเล่น  สีหน้าแววตาแบบนี้ละ เคยทำให้คุณหมอหนักใจมานักต่อนัก  แต่ในฐานะจิตแพทย์มือหนึ่ง จะต้อง เอาชนะ เคส นี้ให้ได้
 
             “รายงานบอกว่า คุณมักจะลุกขึ้นมากลางดึก ใช้ค้อน ใช้สิ่ว หรือสว่าน เจาะผนังบ้าน ส่งเสียงรบกวนชาวบ้าน  เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พอเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ”
 
             "ก็อย่างที่ฉันบอกกับตำรวจนั่นละค่ะ หมอไม่เคยอ่านรายงานของตำรวจละซิ  จะสรุปย่อให้ฟังก็ได้นะคะ อาณาจักรสองมิติแห่งหนึ่งกำลังพยายามบุกรุกเข้ามาในโลกสามมิติของเรา อ้อ นี่ไม่ได้รวมเอามิติเวลาเข้าไปด้วยนะคะ”

             “แล้ว...ผนังห้อง มันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยครับ”   จิตแพทย์มือหนึ่งถามต่อไป เริ่มแน่ใจแล้วว่าคนไข้รายนี้มีอาการทางจิต เด็กประถมก็ยังรู้ว่าจักรวาลเป็นแบบสามมิติ รวมกับมิติของเวลาเป็นสี่มิติ 
 
             “มันต้องเกี่ยวสิคะ  เพราะผนังเป็นทางทะลุมิติของพวกเขา  เราต้องทำลายประตูมิติ ก่อนที่พวกเขาจะเปิดทางออกได้สำเร็จ”
 
             “ทำไมพวกนั้นถึงเลือกคุณ ไม่เลือกคนอื่น ชาวโลกมีเยอะแยะ กี่หมื่นกี่พันล้านก็ไม่รู้ พวกเขามาเลือกบ้านคุณคนเดียว อธิบายได้ไหมครับ”
 
             "คุณหมอรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเลือกฉันคนเดียว” คนไข้สาวยิ้มเยือกเย็นให้กับคำถาม เอาข้อศอกวางบนโต๊ะอย่างแช่มช้า ชะโงกหน้าเข้ามา พูดเน้นเสียงทีละคำ
 
             “แสดงว่าคุณหมอไม่เคยรู้เรื่องเลยสินะคะ น่าสงสารเสียจริง ฉันไม่ใช่คนแรกและคนเดียวหรอกค่ะ ที่รู้สึกถึงพวกสองมิติ  พวกเรามีจำนวนมากพอสมควร กำลังรวมกลุ่มกัน โดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นตัวกลาง ทำงานกันเป็นระบบ มีหน่วยตรวจสอบ หน่วยป้องกันวางแผน หน่วยปฏิบัติการ พวกเราจัดตั้งขึ้นมาเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนนอกหรือรัฐบาลหรอกค่ะ”

             “ถ้าหน่วยงานที่ว่ามีจริง ผมก็ต้องรู้สิครับ ผมมีทั้งไลน์ ไอซีคิว อีเมล เฟซบุ๊ก ทวิสเต็ดซิสเตอร์สเตย์ฮังกรี  มีหมดละครับ คุยทั้งวันทั้งคืน  แต่ไม่เคยเห็นอะไร เกี่ยวกับการคุกคามของพวกสองมิติเลยสักนิด”   น้ำเสียงของคุณหมอเริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของคนไข้สาวดูถูกดูแคลนอย่างไรชอบกล ซึ่งเป็นเรื่องทนทานไม่ได้ เพราะถือว่าตัวเองก็เป็น ‘แชตเตอร์มือหนึ่ง’  ในวงการเหมือนกัน คนไข้สาวยังคงยิ้มเล็กน้อยประดับใบหน้า ใช้สายตาจ้องมองคุณหมอ เหมือนผู้ใหญ่มองเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง มีแววเห็นใจ เข้าใจ และเวทนา อยู่ในที
 
             “คิดว่าอีกไม่นาน คุณหมอก็จะรู้เองละค่ะ”  
 
             “รู้เหรอครับ ผมจะรู้อะไร”
 
             “ก็รู้ถึงการมาเยือนของพวกโลกสองมิติยังไงคะ อ้อ มีอีกอย่างจะบอกหมอนะคะ  ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ความจริงก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพวกเรา คิดหรือคะว่าฉันจะโง่ ขนาดทำเสียงดังให้ชาวบ้านได้ยิน จนถูกตำรวจจับ ส่งตัวมาที่นี่  คนดีบางทีก็ต้องแกล้งบ้ากันบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่แปลกอะไร ว่าง ๆ ก็หัดทำบ้า เป็นผีบ้าผีบอ ดูบ้างนะคะคุณหมอ รับรองจะติดใจ ไม่เคยได้ยินหรือคะ ที่ว่ากันว่า บ้าวันละนิดจิตแจ่มใส วันนี้คุณหมอบ้าแล้วหรือยัง”
 
             “ผมไม่ได้อยากจะบ้าเหมือนคุณ...”   หมอหนุ่มลุกพรวดพราดขึ้นจนเก้าอี้ล้มโครมคราม อย่างระงับสติอารมณ์ไม่อยู่  กำมือแน่น  สายตาแข็งกร้าว น้ำเสียงสั่นระริก  เพราะการถูกพาดพิงไปในทางบ้า เป็นจุดอ่อนของเขา ที่พักหลังรู้สึกตัวว่ากำลังมีอาการของโรค ‘คนบ้าพารานอยด์’  มากขึ้นทุกที
 
             “ผมมันจิตแพทย์ชั้นหนึ่ง แพทย์แผนอนาคตชั้นหนึ่ง  ขนาดห้องเช่ายังพักอยู่ชั้นหนึ่ง ห้องทำงานนี่ก็อยู่ชั้นหนึ่ง   คุณอย่ามาชักใบให้เรือเสีย ยังไงผมก็ไม่ยอมทำบ้าเด็ดขาด คนอย่างผมบ้าไม่เป็น แค่มาทำงานอยู่กับพวกคนบ้านี่ผมก็จะบ้า เอ้ย  ไม่สิ ผมก็เก็บกดเต็มทีแล้วครับ เข้าใจไหม มันเก็บกด มันเก็บกด เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวานของเรียม”
 
             “คุณหมอกำลังจะสติแตกเกินกว่าเหตุนะคะ ดูหลุดชอบกล”  คนไข้สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง จิตแพทย์หนุ่มสะดุ้งเฮือก  รู้ตัวว่าออกอาการบ้าจนเกินกว่าเหตุ ผิดกฎข้อที่สามสิบที่บอกว่า “อย่าทำตัวเป็นผีบ้าสติแตกติตหลุดให้คนไข้เห็นเป็นอันขาด อยากทำบ้าแค่ไหน ก็ต้องรักษาความนิ่งเข้าไว้”   รีบสูดลมหายใจลึกยาวเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ตามแบบฉบับจิตแพทย์มือหนึ่ง พึมพำขอโทษในลำคอ พอให้ได้ยิน ลากเก้าอี้ล้มเค้เก้ มานั่งตัวตรงหลังโต๊ะ ตั้งสติ ทำงานอีกครั้ง
 
             “สงสัยโรคประสาท มันระบาดมาทางอากาศ วันนี้ลืมใส่มาสก์มาด้วยครับ” เขารีบออกตัวแบ่งปันความผิดพลาดกับอาการสติแตกของตัวเอง

             “เอ้อ...เรามาว่าเรื่องทีคุยกันต่อดีกว่านะครับ แล้วทำไมคุณถึงต้องลงทุนถึงขนาด หาเรื่องให้ตัวเองถูกจับเข้ามาในสถาบันโรคจิตด้วยล่ะครับ มันจำเป็นขนาดไหนเชียว”
 
             “จำเป็นสิคะคุณหมอ เพราะคนของเรา รายงานมาว่า รายต่อไปจะเป็นคุณหมอนี่เอง ถ้าพวกนั้นครอบงำคุณหมอได้ การยึดครองสถาบันโรคทางจิต ก็จะง่ายขึ้น จะได้เอาเป็นฐานทัพหลักเพื่อบุกชาวโลกต่อไป คนเราพากันบ้ามากขึ้นทุกที การครอบงำก็ง่ายขึ้น แถวนี้จะมีที่ไหน เหมาะสมกับการสร้างฐานทัพลับได้ดีเท่าที่นี่ละคะ”
 
             “นี่คุณ...”   คุณหมอเริ่มมีอาการเหงื่อซึมโดยไม่มีสาเหตุ “สมมุติว่ามันเป็นจริง จะให้ผมทำยังไง”

             “คุณหมอต้องเตรียมค้อน สิ่ว หรืออะไรก็ได้ ไว้เจาะผนังให้พร้อม พอพวกมันปรากฏตัวตามผนัง หมอต้องตอกทำลายทางออกของพวกมัน ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกมันจะปรากฏตัวให้เห็นเสียก่อน เพื่อให้เกิดการสัมพัทธภาพทางจิตทั้งสองฝ่ายถึงจะเชื่อมเส้นทางได้ อย่าคิดว่าเป็นอาการประสาทหลอนธรรมดา ไม่งั้นจะสายเกินไป”
 
             “ผมไม่ทำล่ะ”
 
             “พวกมันจะครอบงำร่างของคุณหมอ ดำเนินแผนการขั้นต่อไป”

             จบคำพูดที่ฟังดูน่ากลัว ทั้งสองฝ่ายพากันปิดปากนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไรอีก คุณหมอหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ คนไข้สาวหันไปมองนาฬิกาแขวนผนัง บอกเวลาบ่ายสองตรง เธอลุกขึ้น พยักหน้าให้จิตแพทย์หนุ่ม
 
             “ฉันต้องไปแล้วค่ะ ได้เวลาแล้ว”
 
             “เฮ้...คุณยังไปไม่ได้นะ”  คุณหมอลุกขึ้นร้องห้าม เมื่อเห็นคนไข้สาวลุกจากเก้าอี้แบบ ไปไม่ลามาไม่ไหว้   ไม่ทันเสียแล้ว เธอเดินเปิดประตูเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงร้องของอีกฝ่าย ที่ยังทำงานไม่บรรลุเป้าหมาย จะเขียนบันทึกรายงานอย่างไร
 
             ด้านนอกยังมีเจ้าหน้าที่สองคนดูแลความเรียบร้อย คุณหมอร้องบอกให้ช่วยพากันนำตัวคนไข้สาวกลับมา แต่ต้องชะงัก
 
             เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนไม่สนใจคำสั่ง พากันใช้ค้อนขนาดเล็ก ฟาดลงไปบนผนังอย่างขะมักเขม้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  นอกจากนั้น คุณหมอเริ่มได้ยินเสียงดังตึกตัง ตอกอะไรสักอย่างดังมารอบทิศทาง ทุกชั้นทุกตึก มีเสียงตอกเสียงฟาดผนัง ดังประสานกันไม่ขาดระยะ  เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ทุกคนพากันเป็นอะไร
 
            โน่น... นางพยาบาลสามคน กำลังช่วยกันตอกผนังอาคาร ด้วยค้อนเป็นการใหญ่ มองออกไปทางไหน ก็เห็นแต่ทั้งคนไข้ ทั้งคุณหมอพากันตอกผนังกันตึงตัง ชนิดไม่สนใจโลกภายนอก คนที่เป็นคนไข้บางคนออกท่าทาง ตอกผนังแบบเมามัน เหวี่ยงค้อนไปโยกย้ายส่ายสะโพกไป ออกลีลาเหลือกินเหลือใช้ พวกเขาเอาค้อนมาจากไหน ใครเป็นคนนำเข้ามา  ปกติในสถาบันจะไม่ให้คนไข้พกพาอุปกรณ์อันตราย
 
             ทันใดนั้น ทุกคนชะงัก หันมามองเป็นตาเดียว

             “อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย...”  คุณหมอใจหายวาบ ร้องสุดเสียง นึกในใจว่าทุกคนพากันเป็นวิกลจริตหมู่ ขืนอยู่ต่อไป คงติดเชื้อบ้าประสาทรับประทานหลอน เป็นแน่แท้  รีบเผ่นขึ้นรถยนต์ส่วนตัว ขับกลับบ้านด้วยความรวดเร็ว แบบคนหนีบ้า
 
             ต้องกลับบ้าน... บ้านเป็นที่พักที่พิงยามกระเจิดกระเจิง ตั้งใจลาบ้าสักหลายวัน พาครอบครัวไปเที่ยวชายทะเล หนีให้ไกลจากเชื้อบ้า ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง ในเมืองอะไรมันวุ่นวายสับสนมากไป บ้านแห่งควมรัก อบอุ่น และความสงบสุข
 

             ภรรยาผู้น่ารักของคุณหมอกำลังใช้ค้อนตอกตะปู เจาะผนังบ้านจนเป็นรูเต็มไปหมด ผมเผ้าเสื้อผ้าขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น บริเวณห้องรับแขกเต็มไปด้วยเศษอิฐเศษปูนกระจายเกลื่อน ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของสามีแม้แต่น้อย ราวกับกำลังตั้งใจทำงานหน้าที่ยิ่งใหญ่เพื่อมนุษยชาติ
 
             คุณหมอร้องสุดเสียง ล้มฟาดลง สิ้นสติสมประดีในทันที
 
 
 

 จบ



ขอบคุณ ทุกท่าน ที่แวะมาเยือน ครับ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่