ไซโควิปลาส 2

กระทู้สนทนา
.



             “ถามจริงๆ มิสเตอร์เอ เถอะ ทำไมคุณถึงอยากเป็นบ้านัก”

             จิตแพทย์หนุ่มนั่งเอามือวางลงบนโต๊ะไม้สักราคาแพง จ้องหน้าคนไข้หนุ่มผู้นั่งฝั่งตรงกันข้าม ถามด้วยน้ำเสียงแบบตามสบาย แม้ว่าในใจจะรู้สึกกังวลบ้างก็ตาม ใครล่ะจะไม่กังวลในเมื่อกำลังเผชิญหน้ากับ “มนุษย์บ้า” ผู้กำลังตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก

             หนุ่มหน้ามลคนบ้าที่ถูกเรียกว่า มิสเตอร์เอ นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือวางบนเข้าตามสบาย ดูมีสีหน้าท่าทางผ่อนคลายมากกว่าคุณหมอเสียอีก แววตาของเขาแจ่มใสเป็นประกาย ใบหน้าประดับรอยยิ้มนิดๆ

             “แล้วทำไมคุณหมอไม่อยากบ้าบ้างล่ะครับ” เขาย้อมถามอย่างมีชั้นเชิง  คนถูกถามขยับแว่นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย  แต่ไม่...เขาจะต้องไม่หงุดหงิดเกินระดับมาตรฐาน   เพราะมันผิดหลักสากลของคนเป็นจิตแพทย์มือดี

             “แล้วบ้ามันดียังไง คุณถึงทำให้คนอื่นบ้าไปด้วย”

             นั่น...ต้องแบบนั้น  คุณหมอยิ้มให้กับตัวเองเมื่อรู้สึกว่ากำลังโต้ตอบกับคนไข้ด้วยการถามกลับอีกครั้ง อย่างมีชั้นเชิงเช่นกัน คนไข้จะมาลวดลายกว่าหมอได้อย่างไร

             “แล้วทำไมคุณหมอคิดว่า บ้าแล้วไม่ดีล่ะครับ”

             “แล้วการบ้ามันดียังไง”

             “แล้วบ้าไม่ดียังไงล่ะครับ”

             “ผมถามคุณก่อนนะคุณมิสเตอร์เอ คุณต้องตอบผมมาก่อน”

             “โธ่หมอ...ผมก็ตอบหมอไปแล้วไง คำถามของผม ถือว่าเป็นการตอบอย่างหนึ่ง ใช่ไหมครับคุณหมอ”

             “เอาล่ะ....เอาล่ะ..”  ในที่สุดคุณหมอเป็นฝ่ายโบกมืออย่างยอมแพ้  “ผมยอมแพ้”

             “ยอมแพ้ได้ยังไงครับหมอ เราไม่ได้ยกมวยกัน”

             “นี่คุณ...”

             “ครับใช่   นี่ผม...  นั่นคุณหมอ..  อันนี้ผมไม่เถียงครับ”

             คุณหมอพยายามนับหนึ่งถึงร้อยอย่างลำบาก สายตาของคนไข้กลับดูใสซื่อจริงใจ  ราวกับว่ากำลังตั้งใจตอบด้วยหตุผล มากกว่าจะจงใจกวนประสาท  นับว่าการการท้าทายทางการรักษาอย่างแท้จริง

             “เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณมิสเตอร์เอ   คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่า คนทำให้คนอื่นเป็นบ้าได้ยังไง  ฟังว่าคนที่ไปหาคุณ เป็นบ้ากันทุกคน”  กฏข้อสามของสถาบันแห่งนี้กล่าวว่า “ห้ามจิตแพทย์บ้าตามคนไข้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม” มิสเตอร์เอพยักหน้ายิ้มกริ่มราวกับว่ารอประโยคนี้อยู่แล้ว  เขายืดตัวตรงแล้วพูดด้วยทีท่าเป็นงานเป็นการมากขึ้น

             “มันก็ไม่ยากหรอกครับคุณหมอ สำหรับผมนะครับ ไม่ยาก ก่อนอื่นคุณหมอต้องรู้ก่อนว่า ความบ้าของคนเรา ไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัส เหมือนโรคพิษสุนัขบ้า แต่ความบ้าของคนเราเกิดจากสภาวะควอนตัมทางจิตที่สามารถเหนี่ยวนำให้มีการเกิดต่อเนื่องกันได้ อธิบายง่ายๆ ก็คงประมาณสนามแม่เหล็กทำให้เกิดสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าทำให้เกิดสนามแม่เหล็กต่อเนื่องกันไป จนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั่นล่ะครับ เพียงแต่คนมาขอ จะต้องยินยอมพร้อมใจอยากเป็นบ้าเสียก่อน ผมจึงจะเหนี่ยวนำทำให้เขาบ้าได้ครับ”

             คุณหมอพยักหน้าทำเป็นเข้าใจ  ความบ้าติดต่อกันได้ด้วยการเหนี่ยวนำอย่างนั้นหรือ  แล้วความหล่อความรวยล่ะ...จะเหนี่ยวนำได้หรือไม่ อยากหล่ออยากรวยอยากสวย ก็ไปขอให้คนหล่อคนรวยคนสวยทำการเหนี่ยวนำ คงทำให้โลกของวุ่นพิลึก

             “อย่างอื่นเหนี่ยวนำกันไม่ได้หรอกครับ”  คนไข้หนุ่มพูดขึ้นเหมือนกับจะรู้ความคิดของคู่สนทนา “ความรวยเหนี่ยวนำไม่ได้ แต่โอนถ่ายกันได้ด้วยความเสน่หาโดยใช้เงินเป็นตัวกลาง  ส่วนความหล่อสวยเป็นสมบัติเฉพาะตัว ไม่สามารถโอนถ่ายให้กันได้ ไม่อย่างนั้นคงมีการซื้อขายความหล่อความสวยกันสินะครับ คงตลกพิลึก”

             พูดจบเขาก็หัวเราะอย่างขบขันกับคำพูดของตัวเอง ด้วยท่าทางมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน

             “ดูท่าทางคุณมีความสุขกับการเป็นบ้า”  คุณหมอพยายามรักษาน้ำเสียงไม่ให้ออกแววประชดประชันจนเกินไป

             “แน่นอนสิครับ  แต่ก็ต้องบ้าอย่างมืออาชีพนะครับ ไม่ใช่บ้าไร้แก่นสารไร้สาระไปวันๆ  ต้องบ้าแบบมีความหมายและบ้าแบบสายกลาง  ไม่มากหรือน้อยเกินไป นั่นล่ะครับเป็นข้อดี”

             “คุณลองยกตัวอย่างให้ผมฟังสักข้อสิ ว่าบ้าแล้วดียังไง เอาเรื่องจริงของคุณก็ได้”

             “ฟังนะคุณหมอ”    มิสเตอร์เอโน้มตัวมาข้างหน้าจ้องมองหน้าจิตแพทย์หนุ่มด้วยสายตาจริงจังกว่าทุกครั้ง พูดต่อไปว่า

             “ผมเสียแอนนาคนรักของผมไป จากอุบัตเหตุทางรถยนต์ คงไม่มีใครคำนวณถึงความเจ็บปวดเสียใจของผมได้ แต่เมื่อผมค้นพบความลับของความบ้าอย่างไม่ตั้งใจ ผมได้เธอกลับคืนมาแล้ว”

             “อะไรนะ”

             “เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณหมอครับ”

             หมอหนุ่มหันขวับไปมองด้านหลังของตัวเอง พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น หมอนี่บ้าได้ที่จริง คุณหมอคิดพลางหมอดูนาฬิกา ท่าทางเสียเวลากับคนไข้โดยใช่เหตุ

             “เธอรอผมอยู่ จริงไหมที่รัก”    ประโยคหลังคนไข้หนุ่มทำท่าเหมือนกำลังพูดกับใครบางคนซึ่งมองไม่เห็น   “ลองจับบ่าคุณหมอดูก็ได้นะแอนนา”

             ทันใดนั้นคุณหมอรู้สึกคล้ายมีใครบางคนกำลังสัมผัสบ่าทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบา ทำให้จนลุกอย่างไม่มีเหตุผล แต่มันไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ความรู้สึกถึงลมหายใจใครบางคนกำลังเป่าท้ายทอย ราวกับจะหยอกล้อ

             “อย่าไปแกล้งคุณหมออย่างนั้นสิที่รัก”   มิสเตอร์เอทำหน้าขบขัน ยกมือโบกไปมาเป็นเชิงห้ามก่อนหันมาเอ่ยกับจิตแพทย์หนุ่มว่า

             “เธอไม่มีจริงสำหรับคุณหมอ แต่จริงสำหรับผม ผมมองเห็นเธอ รับรู้การมีตัวตนของเธอ แม้ว่ายังสัมผัสเธอไม่ได้ถนัดชัดเจนก็ตาม  แต่วันหนึ่งเธอจะสมบูรณ์แบบ  แล้วอย่างนี้จะบอกว่า ความบ้าไม่ดีได้ยังไงกันครับหมอ”

             “คุณหลอนไปเอง”   คุณหมอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องเย็นฉ่ำเพราะผลของเครื่องปรับอากาศ

             “แอนนา ลองหยิกแก้มคุณหมอเล่นสิครับ”  คนไข้พยักหน้าให้กับความว่างเปล่า แต่วูบนั้นคุณหมอรู้สึกเหมือนแก้มตัวเองถูกหยกอย่างแรงจนทำให้สะดุ้งด้วยความตกใจ

             ไม่มีใครอยู่ด้านหลัง  แต่กลิ่นน้ำหอมจางๆ  ในอากาศ มาจากไหนกัน ?  หรือว่านี่เป็นอาการเริ่มต้นของอาการฟั่นเฟือน

             “เธอไม่มีตัวตน คุณคิดไปเอง เธอตายไปแล้ว นั่นล่ะคือความจริง”

             “จริงหรือไม่จริงอะไรเป็นเครื่องตัดสินล่ะครับ เธอจริงสำหรับผม เท่านี้ ...แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าเธอไม่จริง   เป็นหมอก็คงจะยอมบ้าเหมือนกัน  ถ้าได้สิ่งที่ตนเองรักกลับคืนมา มันไม่มีอะไรเสียหาย ผมเองก็ไม่ได้ทำร้ายทำลายใคร จะบ้าก็เรื่องของผม ไม่หนักหัวใคร ว่าแต่ได้ข่าวว่าคุณหมอก็เสียคนรักไปเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

             “คุณกลับไปเถอะ”  จิตแพทย์หนุ่มโบกมือ เป็นอันว่าจบการสนทนากับคนไข้   มิสเตอร์เอลุกขึ้นยืน บอกลาแล้วหันหลังเดินออกไปด้วยท่าทางคล้ายกำลังควงแขนใครบางคนด้วยท่าทางสนิทสนม  จิตแพทย์หนุ่มเหมือนจะมองเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเดินเคียงข้างคนไข้ไปด้วย  เธอยังหันกลับมายิ้มให้ด้วยท่าทางล้อเลียนร่าเริง


             นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน....จิตแพทย์หนุ่มซบหน้าลงกับฝ่ามือ คำพูดของคนไข้ทำให้นึกถึงลิซ่า สาวคนรักที่เสียชีวิตไปเพราะอุบัตเหตุทางเครื่องบิน ก่อนจะถึงวันแต่งงานเพียงสามวัน หลังจากนั้นโลกทั้งโลกของเขาก็คล้ายเคลื่อนไปอยูในความขมขื่นมืดดำสิ้นหวัง

             “ที่รักคะ”
  
             เสียงใครบางคนกระซิบข้างหู หมอหนุ่มสะดุ้งตาสว่างทันใด จำได้ถนัดชัดเจนว่าเป็นเสียงของลิซ่าสาวคนรักผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างจริงแท้แน่นอน  เขาลุกขึ้นยืนหันไปมองรอบห้อง มือยื่นออกไปค้นหาในความว่างเปล่า แม้จะรู้ว่าคำตอบคือความว่างเปล่า

             “ลิซ่า คุณอยู่ไหน”   ความรู้สึกแข็งแกร่งของหมอหนุ่มถล่มทลายลง รู้สึกถึงอารมณ์สั่นสะท้านไหวของตัวเอง  หูแว่วเสียงกระซิบแผ่วเบาอีกครั้ง  อาการหลอนหรืออย่างไรกัน แต่ทำไมชัดเจนในความรู้สึกเหลือเกิน

             “ผมอยากพบคุณ อยากให้คุณมาอยู่ใกล้ๆอีกครั้ง”

             เสียงคุณหมอสั่นระริกร้าวเจือแววเกือบสะอื้น กวาดสายตามองรอบห้องอย่างตัดสินใจเด็ดขาด   จัดข้าวของบโต๊ะให้เป็นระเบียบก่อนเดินออกจากห้องไป ถ้ามีทางพบคนรักที่จากไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ควรทำ จะดีหรือบ้าก็ช่างหัวมัน


..........


             “มีอะไรหรือครับคุณหมอ”

             “ช่วยเหนี่ยวนำให้ผมบ้าที ได้โปรด....”







จบแล้วครับ
ขอบคุณ ทุกท่านที่แวะมาเยือน เด้อครับ
เม่าหอยทาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่